หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 417 กินข้าวกระตือรือร้นที่สุด
บทที่ 417 กินข้าวกระตือรือร้นที่สุด
ดังนั้น เลยกล่าวตรงๆว่า:
“เซียวซื่อจื่ออาจจะไม่รู้ เดิมเจ้าพระยาเซียวก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ท่านทำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้เขาเป็นกังวลมากขึ้น
และหลังจากที่เจ้าพระยาเซียวนั่งบนรถเข็นแล้ว ร่างกายไม่ได้รับการออกกำลัง ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อนแน่นอนอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือปัญหาทางด้านจิตใจ
หากข้าทายไม่ผิด เจ้าพระยาเซียวต้องมีความในใจ สั่งสมอยู่ในใจเดือนแล้วเดือนแล้วปีแล้วปีแล้ว เดิมทีในใจก็ไม่มีความสุขอยู่แล้ว บวกกับเห็นการกระทำที่จงใจเช่นนี้ของท่าน
ในใจจะต้องยิ่งหดหู่มากขึ้นไปอีก นี่ไม่ดีต่อร่างกายและจิตใจของเขาอย่างมาก ถึงแม้เจตนาแรกของเจ้าจะดี แค่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นการทำร้ายเขา
ข้าพูดได้แค่นี้ เซียวซื่อจื่อลองคิดทบทวนคำพูดของข้าดีๆ”
หลังจากฟังที่นางพูดแล้ว เซียวจิ่นหยูรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
เขาแค่ทำไปเพื่อไม่ให้ท่านพ่อเป็นห่วง แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า การที่เขาทำเช่นนี้กลับมีผลกระทบต่อท่านพ่อด้วย โทษตัวเองในใจมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น เขายกมือคำนับหลานเยาเยาด้วยความเคารพนับถือ:
“ขอบคุณมากที่บอก!”
“เรื่องเล็กน้อย(ออกแรงเหมือนแค่ยกมือ)เท่านั้นไม่ต้องเกรงใจ แต่ว่าคืนนี้ต้องขอค้างคืนในจวนของท่านแล้ว”
“ไม่มีปัญหา เทพธิดาอยากอยู่นานเท่าไหร่ก็อยู่ได้นานเท่านั้น”
รอจนกระทั่ง หลังจากหลายเยาเยาเข้าไปในห้องและปิดประตูลง เซียวจิ่นหยูแอบมีรอยยิ้มขึ้นมาเงียบๆ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องอื่น สีหน้าท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นซับซ้อนขึ้นมา
วันต่อมา
ฟ้าเพิ่งจะสางขึ้นมาไม่นาน หลานเยาเยาที่ไม่ได้นอนทั้งคืน เดิมก็นั่งพิงข้างกำแพงอยู่แล้ว ด้านหน้าของนางมีโต๊ะหรูหราวางอยู่
บนโต๊ะมีการจัดวางที่เรียบง่าย มีถาดอันหนึ่ง หนึ่งกาน้ำชาถ้วยชาสี่ใบ
หนึ่งในถ้วยชาถูกนางบีบเอาไว้ในมือเบาๆ กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ ไม่ทันรู้สึกตัวก็ยกมือที่ถือถ้วยชาขึ้นแล้วส่งไปถึงปาก
เอ๋?
ไม่มีน้ำชา?
ตอนหยิบถ้วยชามาถึงปากแล้วถึงพบว่า ถ้วยชานี้ว่างเปล่าแล้ว เปิดฝากาน้ำชาออกก็ไม่มีน้ำชาแล้ว
ทันใดนั้น!
แววตาหลานเยาเยาเป็นประกายขึ้นมา เอียงศีรษะเล็กน้อย
“ดงๆๆ……”
“พวกเจ้าเข้ามา รีบเข้ามา เสียงเบาๆหน่อย”
เสียงฝีเท้ามากมายดังมาจากข้างนอก ดูเหมือนยังมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งจงใจลดเสียงลง
ไม่รู้ว่าพวกนางจะทำอะไร หลานเยาเยาเลยวางถ้วยชาไว้บนโต๊ะ รอคอยอย่างเงียบๆ ไม่ช้าก็มีเสียง “ซีๆซูๆ” ดังออกมา
เหมือนกำลังทำความสะอาด และเหมือนจงใจเดินไปเดินมาหน้าประตูห้อง
ผ่านไปนานพักใหญ่
สาวใช้ที่ทำความสะอาดอยู่ข้างนอกก็มองไปที่ท้องฟ้า พบว่าข้างในยังไม่มีการเคลื่อนไหว อดที่จะวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบาขึ้นมาไม่ได้:
“นี่เป็นผู้หญิงคนแรกที่ซื่อจื่อพากลับมา ไม่รู้ว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร?”
“คิดว่าคงไม่เท่าไหร่หรอก เวลานี้แล้ว ยังไม่รู้จักลุกขึ้นมา ไม่ใช่คุณหนูตระกูลใหญ่อะไรแน่ๆ”
“เจ้าอย่างพูดไปเรื่อยเปื่อย ฟังจากองครักษ์ที่ทำความสะอาดห้องนี้เมื่อคืน เป็นสาวงามที่สวยงามมากๆ”
“ชิ บนโลกนี้จะมีสาวงามที่สวยงามมากๆเยอะแยะขนาดนั้นได้อย่างไร? คิดว่าฟ้ามืดลมแรง(คืนที่ไม่มีแสงจันทร์และลมพัดแรง) องครักษ์สองสามคนนั้นไม่ได้ดูให้ชัดเจนเลยจงใจพูดออกมา”
“……”
พวกสาวใช้ยังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเซ็งแซ่ หลานเยาเยาที่อยู่ในห้องอดขมวดคิ้วไม่ได้
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในตระกูลใหญ่ทุกตระกูลมักจะมีสาวใช้บางคนที่ชอบพูดจานินทาคนอื่น และพอดีสาวใช้ของจวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์ก็นินทากันอย่างเที่ยงตรงเปิดเผย
มันก็ไม่น่าแปลก จวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์นี้ดูเหมือนเซียวจิ่นหยูจะเป็นคนดูแล
และเวลาที่เซียวจิ่นหยูอยู่ในจวนก็น้อยมาก คนรับใช้ในจวนไม่มีคนมาสนใจ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ก็ต้องจองหองอวดดีเล็กน้อยอยู่แล้ว
หลานเยาเยาลุกขึ้นไปเปิดประตู ก็เห็นคนสองสามคนทำความสะอาดข้างนอกอย่างขอไปที พวกนางแต่งกายด้วยสีสันสดใสดอกๆเขียวๆ แต่งหน้าหนาเตอะ
นี่เป็นการมาทำความสะอาดที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นการมาประชันความงามกัน!
เห็นประตูห้องเปิดออก ทุกคนต่างก็มองไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเห็นใบหน้างดงามเยือกเย็นของนาง พวกนางแต่ละคนตกใจจนตะลึงไป
ที่องครักษ์พูดไม่ผิดเลย
ผู้หญิงคนนี้สวยงามจริงๆ
ถึงแม้จะละสายตาไปไม่ได้ แต่เมื่อพวกนางได้สติกลับมา สีหน้าท่าทางก็ต่างออกไปทันที มีอิจฉา มีริษยา และยังมีจิตตกหดหู่ใจ
“พี่สาวเกิดมาสวยจัง! ไม่ทราบว่าเมื่อคืนพี่สาวนอนหลับดีไหม?”
“พี่สาวต้องการจะล้างหน้าแปรงฟันก่อนไหม? ข้าจะไปตักน้ำมาให้”
ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงที่ซื่อจื่อมากลับมาครั้งแรก แถมยังสวยงามมากเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นพระชายาซื่อจื่อในอนาคตได้ ดังนั้นพวกนางแต่ละคนสองคนต่างก็แย่งกันเรียกพี่สาว แถมยังแย่งชิงเพื่อเป็นคนแรกกลัวว่าจะเป็นคนสุดท้ายในการปรนนิบัติรับใช้นาง
ทำให้หลานเยาเยาอดตะโกนขึ้นมาอย่างดุดันไม่ได้
“ไม่ต้อง พวกเจ้าไปทำธุระของพวกเจ้าเถอะ!”
ล้างหน้าแปรงฟันไม่จำเป็นแล้ว
เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้อง นางใช้น้ำแร่สีเหลืองล้างอย่างหรูหรามากมาแล้ว ถือโอกาสแต่งตัวให้ตัวเองด้วย ถึงแม้จะไม่เหมือนกันกับในวันปกติ แต่ก็ไม่ถึงกับเปิดเผยตัวตนอย่างที่เป็น
ภายใต้สายตาของสาวใช้พวกนั้น หลานเยาเยาเดินออกจากลานของห้องรับแขกไปด้วยใบหน้าไม่แยแส
สาวใช้ที่คิดเอาเองว่าพอจะมีความงามอยู่บ้าง กล่าวออกอย่างรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย:
“ถึงจะมีหน้าตาสวยงามก็ไม่มีประโยชน์? ไม่รักษาความสะอาดเลยสักนิด ตื่นเช้ามา แม้แต่หน้าก็ยังไม่ล้าง ไม่เข้าใจจริงๆทำไมซื่อจื่อถึงชอบนาง?”
““เจ้าเบาๆหน่อย ถ้าหากแม่นางคนนั้นได้ยินเข้า จะโกรธเอาได้” สาวใช้บางคนกล่าวเกลี้ยกล่อม
“ข้าพูดผิดไปหรือ? ก็แค่มีใบหน้าที่เป็นภัยต่อประเทศต่อประชาต่อสังคมไม่ใช่หรือ? มีอะไรที่น่าอยู่สูงส่ง? ไม่แน่ชาติกำเนิดอาจต่ำต้อย บางทีอาจจะเป็นผู้หญิงประเภทที่ไม่สะอาดในสำนักนางโลมก็ได้!”
เมื่อเซียวจิ่นหยูที่สวมชุดที่ขาว ท่าทางสุภาพเรียบร้อยมาถึงก็ได้ยินคำพูดแสลงหูไม่น่าฟังเช่นนี้ และคนที่พูดยังเป็นสาวใช้ในจวนของเขา
“พวกเจ้ามาทำอะไรตรงนี้?” เสียงของความโกรธดังขึ้นมา
บรรดาสาวใช้ตกใจจนคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยความตื่นตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูก
“ซื่อจื่อ พวกข้าน้อยมาปรนนิบัติแม่นางตื่นนอน เลยถือโอกาสทำความสะอาดลานบ้านเสียหน่อย” หนึ่งในสาวใช้ที่สวยมากคนหนึ่งรวบรวมความกล้ากล่าวขึ้น
“ให้เวลาพวกเจ้าเก็บข้าวของออกจากจวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์ภายในสิบห้านาที มิเช่นนั้น……” เซียวจิ่นหยูแอบใช้กำลังภายใน ทุบหินที่อยู่ด้านข้างแตกสลายไปโดยตรง “นี่จะเป็นจุดจบของพวกเจ้า”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา
เหล่าสาวใช้หน้าซีดเผือด แต่ละคนตกใจจนตัวสั่นไปทั้งตัว ขอความเมตตาด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
“ซื่อจื่อ ข้าน้อยผิดไปแล้ว ซื่อจื่อโปรดให้โอกาสพวกเราอีกครั้ง”
“ซิกๆๆ ซื่อจื่อ พวกเราไม่กล้าอีกแล้ว ท่านอย่าไล่พวกเราออกไปเลยนะ”
“……”
เซียวจิ่นหยูฮึเย็นชาออกมาโดยตรง กล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า: “ข้าพูดจริงทำจริง”
สาวใช้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงพวกนี้ เขาอยากจะจัดการทิ้งตั้งนานแล้ว
เขามองผ่านพวกสาวใช้ไป มองไปทางประตูที่เปิดออก จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เดินไปทางลานด้านนอก เพิ่งจะยกเท้าก็เห็นหลานเยาเยาในชุดสีแดงเลือดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มองดูเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม
เซียวจิ่นหยูเดินเข้าไปด้วยสีหน้าขอโทษเล็กน้อย
“ให้ท่านหัวเราะเยาะแล้ว”
พิจารณาถึงชื่อเสียงของนาง นอกจากท่านพ่อแล้ว ไม่มีใครรู้ฐานะเทพธิดาของนาง คิดไม่ถึงว่าสาวใช้ใจกล้าพวกนั้น กลับวิ่งไปก่อความวุ่นวายถึงที่ที่นางพักอยู่กันเองโดยไม่ได้รับอนุญาต
“ไม่เป็นไร”
เห็นหน้าตาแบบนี้จนชินตั้งนานแล้ว แม้แต่จะพูดนางก็ยังขี้เกียจจะพูด
เซียวจิ่นหยูเห็นว่านางไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา: “เทพธิดา เมื่อคืนนอนหลับดีไหม? ทำไมไม่นอนต่ออีกหน่อย?”
ได้ยินคำพูดนั้น
หลานเยาเยายิ้มอย่างยั่วยวน กล่าวอย่างฝืนความตั้งใจของตัวเองมาก: “ชินแล้ว ตอนที่อยู่ในตำหนัก ข้าก็นอนเช้าตื่นเช้าตลอด”
เวลานางพูดโกหกขึ้นมาหน้าไม่แดงใจไม่เต้นแรง
โชคดีที่ตาเฒ่าหนังเหนียวไม่อยู่ คำพูดที่สวนทางกับความจริง คิดว่าคงจะถูกโค่นล้มไปโดยตรง บอกว่านางนอนจนตะวันสายโด่ง ดวงอาทิตย์ก็ส่องมาถึงก้นแล้วยังไม่รู้จักตื่นนอน
“อาหารเช้าเตรียมพร้อมแล้ว เชิญเทพธิดาไปที่ห้องโถงใหญ่(ห้องสำหรับงานเลี้ยงและรับรองแขก)”
“ได้!”
ไม่กินก็เสียเปล่า กินแล้วก็กินเปล่าๆ กินฟรีใครไม่กิน?
กินให้อิ่มท้องก่อนถึงจะทำงานใหญ่ได้ง่ายขึ้น!
เกี่ยวกับเรื่องกินแล้ว นางกระตือรือร้นอย่างมาก