หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 446 มือข้างเดียวตีจนตาย
บทที่ 446 มือข้างเดียวตีจนตาย
เมื่อพวกเขาไป
ภายใต้การแนะนำของหานแส ป่ายเม่ยเซิงและซาหมั่นเฉิงก็ได้รีบขึ้นจากร่องบันไดเพื่อตามพวกของจื่อซีไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้
มีคนเพียงสามคนที่เหลืออยู่ในอุโมงค์ ได้แก่ หลานเยาเยา หานแสและเย่หลีเฉิน
แม้ว่าเย่หลีเฉินจะกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านั้น แต่ก็มีคนจำนวนมากมายได้ขึ้นไปแล้ว อีกทั้งคนเหล่านั้นดูเหมือนจะเหมือนกันกับเทพธิดา ที่รู้วิธีจัดการกันคนโดนมนต์ดำ
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตามขึ้นไป
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ จะต้องทำลายสถานที่เพาะพันธุ์พิษกู่จิ้นของราชครูเทียนเวิง
ดังนั้น!
ในเวลาเดียวกันพวกเขาทั้งสามก็มองไปที่ประตูหินที่มีรอยร้าวอยู่หลายสาย
“เทพธิดา นี่มันดอกกระดูกขาวในตำนานไม่ใช่หรือ”
เย่หลีเฉินได้จ้องมองดอกไม้ที่งอกออกมาจากรอยแตก สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก
กดอกไมม้แดงดั่งเลือดนี้ ดูมีเสน่ห์และงดงาม แต่กลับเผยให้เห็นถึงความแปลกประหลาดบ้างเป็นบางครั้ง เมื่อได้เห็นก็รู้ว่าไม่ใช่ดอกไม้ที่ดีอะไร
“ใช่เลย!”
เมื่อได้รับคำตอบยืนยัน เย่หลีเฉินก็ยิ่งจริงจังขึ้นมา จากนั้นจึงพูดกับหลานเยาเยา
“ดอกกระดูกขาวเป็นดอกไม้ที่ดูแลยากชนิดหนึ่ง มันสามารถอยู่ได้โดยไม่มีแสงแดด และอดทนต่อความแห้งแล้งแต่กลับไม่สามารถขาดศพไปได้ ดังนั้นหากต้องการปลูกดอกกระดูกขาว ก็ใช้ได้เพียงศพมาเลี้ยงมัน
จากนั้นดอกที่ตูมของดอกกระดูกขาวจะหล่อเลี้ยงพิษกู่จิ้น จึงจะได้พิษกู่จิ้นที่บริสุทธิ์ กล่าวได้ว่าเป็นการบำรุง มากกว่าจะบอกว่าเป็นกาฝาก”
หลังจากได้ฟัง เย่หลีเฉินก็ตกใจอย่างไม่หยุดหย่อน ถึงในใจจะแอบตัดสินใจไปแล้ว ว่าจะต้องทำลายดอกกระดูกขาวที่มีอยู่บนโลกนี้ให้หมด
หลังจากที่พวกเขาเปิดประตูหินนั้น
ดอกกระดูกขาวที่เปื้อนเลือดขนาดใหญ่ดุจเปลวไฟก็มาปรากฏต่อหน้า หลานเยาเยาและหานแสยังโชคดี แม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นดอกกระดูกขาวขนาดใหญ่มาแล้ว แต่เมื่อเห็นดอกกระดูกขาวที่นี่ ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง
ไม่นึกเลยว่าจะมากมายขนาดนี้……
ดูแล้วเหมือนว่า ทั้งสวนว่างฮัวนี้จะได้ถูกขุดไปหมดแล้ว
เป็นสิ่งที่เย่หลีเฉินตกใจที่สุด
เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นดอกไม้ชนิดนี้ และทันทีที่เขาเห็นนั้นก็ได้เห็นขนาดใหญ่โตเช่นกัน ตะลึงอยู่ในใจ ไม่เชื่อในสายตาของตนเอง
“ทำไมมีมากมายขนาดนี้”
เย่หลีเฉินกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ
เพียงพิษกู่จิ้นเขมือบคนแค่คนเดียว ก็สามารถแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้อีกมาก ดอกกระดูกขาวมากมายขนาดนั้น ก็แสดงว่ามีพิษกู่จิ้นมากมายเช่นกัน และนี่คือหนึ่งในสถานที่แหล่งเพาะพันธุ์……
การที่ราชครูเทียนเวิงต้องการสร้างกองทัพให้แข็งแกร่งและไม่กลัวตายนั้น เป็นเรื่องที่ง่ายดาย
“มากหรือ นี่มันเป็นแค่ส่วนปลายของภูเขาน้ำแข็ง”
“ว่าไงนะ” เมื่อได้ยินคำตอบของหานแส เย่หลีเฉินก็มองไปที่เขาอย่างไม่น่าเชื่อ
ก่อนที่เทพธิดาจะพูดว่าราชครูเทียนเวิงต้องการสร้างกองทัพเพื่อรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นนั้น เมื่อเห็นดอกกระดูกขาวเหล่านั้นด้วยตาในตอนนี้ เขาก็เชื่ออย่างไม่สงสัยแล้ว
“เมื่อรู้ว่าราชครูเทียนเวิงสามารถรวมแผ่นดินใหญ่ได้อย่างง่ายดาย แต่ทำไมกลับทำได้ช้าแบบนี้ล่ะ”
“ทำไมน่ะหรือ”
เย่หลีเฉินไม่รู้ ดังนั้นเขาจึงมองไปที่หานแสอย่างจริงจัง เพื่อรอคำตอบของเขา
“เพราะยาฉางตานไง!”
ยาฉางตานงั้นหรือ
ยาอมตะที่สามารถทำให้ชีวิตยืนยาว!
ใช่
แม้ว่าราชครูเทียนเวิงจะรวมแผ่นดินใหญ่ได้เป็นหนึ่งเดียว อายุในตอนนี้ของเขา อย่างมากสุดก็มีชีวิตอยู่ได้เพียงเจ็ดถึงแปดปีเท่านั้น ความทะเยอทะยานอย่างเขานั้น จะยอมตายได้อย่างไร
ดังนั้นการตามหายาฉางตานจึงเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเขา
“แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรกันดีล่ะ”
พิษกู่จิ้นพวกนี้จะต้องถูกทำลาย ไม่อย่างนั้น ราษฎรจะได้รับความเดือดร้อน
“ไม่ต้องกังวล เทพธิดามีวิธีจัดการ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าจะทำทำลายเรื่องแบบนี้ แค่พวกเราค่อยสอดส่องก็ได้แล้ว”
ได้ยินดังนั้น!
หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปทางหานแส
เหอะ หากไม่ใช่ครั้งแรกแล้วจะทำอย่างไรล่ะ
เมื่อนึกถึงสวนดอกกระดูกขาวที่ถูกเผาไหม้ไปในครั้งแรก หากไม่ใช่เย่หลีเฉินที่ช่วยเอาไว้ นางก็คงจะตายไปเสียแล้ว
หานแสไม่ใช่คนที่เคยรู้ดีที่สุดหรือ
“เทพธิดา……”
เย่หลีเฉินตะโกนเรียกหลานเยาเยาอย่างเป็นกังวลใจ
ขณะที่หันกลับมา หลานเยาเยาก็เห็นดวงตาที่ซับซ้อนของเย่หลีเฉิน
“ไม่ต้องกังวล ใต้ดินที่ปลูกดอกกระดูกขาวล้วนเป็นซากศพทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสารอินทรีย์ขาวจำนวนมากก็จะปรากฏบนพื้นดิน จุดไฟสารอินทรีย์ขาวแค่นิดเดียว ไฟก็พอที่จะเผาพิษกู่จิ้นให้ตายไป
ถึงแม้จะไหม้ตายไม่หมด ดอกกระดูกขาวก็ไม่มีแล้ว พิษกู่จิ้นก็อยู่ไม่ได้แล้ว
แน่นอนว่า ข้อสันนิษฐานคืออย่าปล่อยให้พิษกู่จิ้นที่ยังอยู่ในดอกกระดูกเหล่าทะลักออกมา มิเช่นนั้นพวกเขาจะต้องโกลาหล และเป็นอันตรายอย่างมาก
แต่ไม่เป็นไร พิษกู่จิ้นแบบนี้ไม่สามารถที่จะอยู่เดี่ยวๆ ได้ทำได้เพียงเป็นกาฝาก แค่สัมผัสกับอากาศ เพียงไม่นานมันก็จะตายในทันที ดังนั้นก่อนที่พวกมันจะตายอย่าปล่อยให้พวกมันหาที่พึ่งพิงใหม่ก็เป็นการดีแล้ว”
นี่เป็นการพูดถึงประสบการณ์ และเป็นผลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าของนางอีกด้วย
สำหรับสิ่งที่นางพูดไปทั้งหมดนั้น นางเย่หลีเฉินและหานแสมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ
แต่!
ความหมายโดยรวมฟังเข้าใจแล้ว
แค่อย่าให้พิษกู่จิ้นแทรกเข้าไปในร่างกายได้ก็เพียงพอแล้ว
แม้ว่าหานแสจะเคยผ่านมาด้วยกันกับหลานเยาเยา แต่ตอนนั้นเขาได้หมดสติไป จึงไม่ได้เห็นมาก่อนว่าหลานเยาเยาเผาทุ่งดอกไม้ได้อย่างไร
แม้แต่นางช่วยเขาอย่างไรนั้น ก็ไม่อาจรู้ด้วยซ้ำ
ดังนั้น!
ที่เขาไม่ลงมือนั้น เพียงอยากเห็นด้วยตาตนเองว่าหลานเยาเยาทำได้อย่างไร
เพราะเหตุนั้น!
หลานเยาเยาจึงเดินไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง จากนั้นสอดมือเข้าไปในชุดคลุม และหยิบห่อจื๋อจื่อ(ของที่มีบทบาทคล้ายไม้ขีดในสมัยโบราณจีน)ออกมาก้านหนึ่ง ในสายตาของเย่หลีเฉินและหานแสนั้น กล่องของห่อจื๋อจื่อก็ได้ถูกเปิดออก เป่าลงไปเบาๆ ก็เห็นเปลวไฟแล้ว
จากนั้น นางก็วางห่อจื๋อจื่อบนนิ้ว และสะบัดไปอย่างแรง ห่อจื๋อจื่อก็ตกลงไปกลางทุ่งดอกกระดูกในแนวโค้งอย่างสมบูรณ์แบบ
“ฟู่ฟ่าฟู่ฟ่า……”
เมื่อจุดไฟสารอินทรีย์ขาวจะติดไฟ และไฟจะลุกโชติช่วงในทันที ราวกับราดน้ำมันก๊าด
เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน
พวกเขาสองคนก้าวถอยหลังออกมา และเห็นไฟด้านในเริ่มลุกหนักขึ้นเรื่อยๆ ควันก็ยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ หลานเยาเยาก็ได้สอดมือเข้าไปในเสื้อคลุม จากนั้นหยิบผ้าเช็ดมือที่แช่น้ำยาฆ่าเชื้อผืนหนึ่งออกมาคลุมตัว และปิดปากปิดจมูกเอาไว้
ทั้งสองคนที่ยังคงเฝ้าดูไฟที่โหมกระหน่ำอยู่นั้น เมื่อสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของหลานเยาเยา ก็มองไปในชุดคลุมของนางในเวลาเดียวกัน
น่าแปลก·
ชุดคลุมของนางใหญ่แค่ไหนกันแน่ ดูเหมือนว่าจะเป็นของอะไรล้วนแต่สามารถยัดใส่เข้าไปได้หมด แต่เมื่อยัดใส่ของได้เยอะขนาดนั้น ทำไมเวลาเดินไปไหนก็ไม่หลุดออกมาเลย
แม้ว่าเย่หลีเฉินจะงุนงง แต่กลับไม่อาจจะจับมือถือแขนได้
แต่แตกต่างกันกับหานแส
เขาค่อยๆ หรี่ตาลง และจับแขนของนางโดยตรงด้วยการกระทำที่เป็นประโยชน์ จากนั้นยกแขนขึ้น และมองไปข้างในแขนเสื้อ ดูเหมือนกระเป๋าที่อยู่ตรงเสื้อคลุมนั้นไม่มีสิ่งของอะไรเลย
สายตาที่ดูงุนงงนั้นยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ……
ในที่สุดเขาก็ยังยื่นมือออกไปและบีบแขนเสื้อกว้างๆ สองสามครั้ง กระเป๋าที่อยู่ด้านในก็ไม่มีของอะไรเลย นอกจากเนื้อผ้าแล้วก็มีแต่เพียงเนื้อผ้า
“ทำอะไรน่ะทำอะไร” ไม่ใช่แค่เตรียมผ้าเช็ดมือให้พวกเจ้าหรือไง! จะต้องจับมือถือแขนหรือ”
หลานเยาเยาดึงแขนเสื้อของตนเองกลับ จากนั้นมองไปที่หานแสด้วยท่าทางเตือน กล้าที่จะหยาบคายอีกครั้งและนางก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป
“ทำไมชุดคลุมของเจ้าถึงได้ยัดของใส่ได้เยอะขนาดนี้” หานแสถาม
แล้วยังมีพวกขวดกระป๋องสิบกว่าขวด และห่อจื๋อจื่อ(ของที่มีบทบาทคล้ายไม้ขีดในสมัยโบราณจีน)อีก ตอนนี้ผ้าเช็ดหน้าก็มาอีก เหมือนสิ่งของก็ยังรับมาไม่หมด
“ตอนนี้ไม่มีแล้วไม่ใช่หรือ”
หลานเยาเยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ยกมุมปากขึ้นตามรอยยิ้มมาตรฐานของเทพธิดา
ล้อเล่น!
จะบอกให้พวกเขารู้หรือ
เมื่อเห็นพวกเขายังคงสงสัย นางจึงค่อยๆ แง้มริมฝีปาก “พวกเจ้ามองข้าจะมีประโยชน์อะไร ไม่ได้มีอะไร ข้าก็แค่ดึงผ้ามาปิดเอาไว้ ข้าไม่เอาของที่ใช้แล้วให้พวกเจ้าหรอก”
เย่หลีเฉินและหานแสเงียบไปครู่หนึ่ง
นางและพวกเขาหมายความว่าอย่างนี้หรือ
แยกไม่ชัด!
ทันใดนั้น สีหน้าของเย่หลีเฉินก็เปลี่ยนไป และเขาก็แผดเสียง
“ระวัง”
แมลงประหลาดตัวเล็กๆ ที่เล็กแต่ไม่เล็กตัวหนึ่ง ไต่ออกมาจากบนกำแพง และเทพธิดาก็พิงไปบนผนัง แมลงประหลาดนั้นก็ได้ไต่ไปบนคอของนาง
หลานเยาเยาก็รู้สึกได้
ยกมือขึ้นตบคอ จากนั้นลูบสองสามครั้ง แล้วดีดแมลงลงไปในกองไฟโดยตรง……
“……”