หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 465 เลือดล้างเรือแห่งความสิ้นหวัง
บทที่ 465 เลือดล้างเรือแห่งความสิ้นหวัง
จากนั้น ก็ได้มาถึงตำแหน่งที่พวกเขาได้กำหนดให้เฝ้าดู คนด้านข้าง แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม ยืนตรงดิ่ง จ้องมองด้านหน้าด้วยแววตาเย็นชา
แต่กลุ่มที่หลานเยาเยาได้ปนเปเข้ามาอยู่ เป็นกลุ่มที่อยู่ด้านในสุดติดกับห้องหนังสือกลุ่มนั้นพอดี ใช้โอกาสที่คนด้านข้างไม่สนใจ นางแฉลบตัว แล้วก็เหาะไปที่คานบนเสาข้างห้องหนังสือ
แต่มาถึงตรงนี้ หลานเยาเยากลับพบปัญหาที่ร้ายแรงปัญหาหนึ่ง
ประตูใหญ่ห้องหนังสือถูกลงกลอนด้วยโซ่เหล็ก หน้าต่างก็เปิดไม่ออก
หากนางใช้ยาผงที่กัดกร่อนเหล็กใส่บนโซ่เหล็ก หยดลงไปบนโซ่เหล็กทีละหยดทีละหยดจากบนคานอย่างตรงเป๊ะไม่มีพลาด เช่นนั้นจะเสียเวลามาก
เพราะว่ากัดกร่อนโซ่เหล็กต้องใส่ยาน้ำน้อยๆ เช่นนี้ถึงจะไม่ออก “ซื่อซื่อซื่อ” เสียงดัง ปริมาณยาน้อยก็หมายความว่าการกัดกร่อนจะค่อนข้างช้า
แต่โชคดีอยู่ด้านหลัง จากการเพิ่มปริมาณหยดยาน้ำ โซ่เหล็กก็ละลายอย่างรวดเร็ว
แล้วเวลาที่โซ่เหล็กจะถูกละลายขาด ผู้นำองครักษ์วังหลวง พากองกำลังองครักษ์วังหลวงลาดตระเวนรอบหนึ่ง และกลับมาถึงที่ห้องหนังสืออีก
พวกเขาเดินไม่ช้าไม่เร็ว
แต่ว่า สำหรับหลานเยาเยานี้นับว่าเป็นจังหวะที่ลำบาก
เพราะหากเมื่อโซ่เหล็กละลายขาด นางจับไว้ไม่ทันเวลา โซ่เหล็กขาดตกพื้นส่งเสียงดัง ถึงเวลานั้นนางก็ถูกเปิดเผย
ดังนั้นสายตาของหลานเยาเยา เคลื่อนไปมองไปมาที่โซ่เหล็กที่ค่อยๆถูกกัดกร่อนและผู้นำที่นำกองกำลังนั้นเดินมาอย่างช้าๆอยู่ตลอด
กลัวว่าจะพลาดอะไรจนถึงรอจนนาทีสุดท้าย
โซ่เหล็กถูกกัดกร่อนขาดแล้ว และตกลงไป……
และผู้นำองครักษ์วังหลวงก็พากองกำลังนั้นมาถึงด้านหน้ากองกำลังด้านหน้าสุดพอดี
โซ่เหล็กตกพื้นในเวลานั้น หลานเยาเยาเหาะลงมาอย่างเงียบกริบ รับโซ่เหล็กไว้เบาๆ
แต่ว่า……
ก็ยังส่งเสียงออกมาเล็กๆน้อยๆ
มีคนในกองกำลังนั้นที่อยู่ใกล้ประตูใหญ่หันกลับมา มองครู่หนึ่ง ไม่เห็นอะไร และไม่ได้ใส่ใจกลอนบนประตู จึงหันหน้ากลับไปด้วยความสงสัย
หลานเยาเยาที่ถือโซ่เหล็กอยู่บนคานห้องแอบถอนหายใจ เหงื่อออกในอุ้งมือ
เกือบจะถูกเปิดโปงแล้ว
โชคดีที่ตัวเองฉลาดปราดเปรื่อง!
หลังจากที่หลานเยาเยาวางโซ่เหล็กลงเบาๆดีแล้ว เปิดประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง และปิดลงค่อยๆ
ก็ไม่รู้ว่าผู้นำคนนั้นสังเกตเห็นอะไรได้แล้วหรือไม่?
มองไปทางด้านหลัง กลับไม่พบความผิดปกติ
หลานเยาเยาที่อยู่ในห้องหนังสือแล้ว เริ่มค้นตู้ลิ้นชักอย่างเบาๆ ค้นแทบจะทั่วทุกมุมแล้ว ยังคงหาเบาะแสของตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่าไม่เจอ
ทันใดนั้นนางก็ได้ตีหัวตัวเอง
โง่ตายแล้ว!
สิ่งของสำคัญขนาดนี้ ฮ่องเต้ทำไมจะสามารถ วางไว้ในที่ที่เห็นได้ชัดขนาดนี้?
ตรงนี้จะต้องมีช่องลับแน่ ดังนั้นนางจึงได้ค้นหาช่องลับที่กำแพงทีละด้านทีละด้านอย่างละเอียด เกือบครึ่งชั่วยาม กำแพงทั้งสี่ด้านถูกนางค้นหาไม่เพียงแค่รอบเดียว กลับยังคงไม่พบช่องลับ
ด้วยเหตุนี้สายตาของนางก็ทอดไปบนพื้น
กำแพงไม่มี เป็นไปไม่ได้ว่าบนพื้นก็จะไม่มีหรอกนะ!
แต่หลังจากที่นางได้ค้นหาที่พื้นทีละนิ้วทีละนิ้วเสร็จแล้ว ก็ยังไม่พบช่องลับ
หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ล้วนไม่มี?
หรือว่าฮ่องเต้จงใจทำที่ซ่อนได้อย่างรอบคอบ
ทำสถานที่เก็บวางตราราชลัญจกรหยกปลอมหลายที่?
ความเป็นไปได้ประเภทนี้มีมาก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เวลาเช่นนี้ ฮ่องเต้ระแวดระวังเป็นที่สุด
สถานที่ดูแลตราราชลัญจกรหยกไม่อยู่ หากแม้แต่ห้องหนังสือก็ไม่อยู่ เช่นนั้นฮ่องเต้เอาตราราชลัญจกรหยกซ่อนไว้ที่ห้องบรรทมหรือ?
ความเป็นไปได้ประเภทนี้ถือว่าเป็นร้อยละห้าสิบ
ดังนั้นขณะที่นางเตรียมตัวจะออกไป กำหนดฝีเท้า พริบตานั้นสายตาก็มองไปที่โต๊ะทำงาน พูดให้ถูกคือ นางมองเก้าอี้ตัวนั้นที่อยู่หลังโต๊ะทำงาน
ทำไมเก้าอี้ตัวนี้มองดูแล้วค่อนข้างแปลกตา?
ด้วยเหตุนี้นางจึงเดินเข้าไปเงียบๆ เพียงแค่ตรวจสอบดูรอบหนึ่งจึงนึกได้ทันใด ที่แปลกตาของเก้าอี้ตัวนี้อยู่ที่ด้านล่าง ลักษณะหนากว่าเก้าอี้ปกติอยู่มาก
อีกทั้ง ความหนานี้สามารถทำเป็นช่องลับได้พอดี พอที่จะใส่ตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่าได้
คราวนี้ หลานเยาเยาเปล่งเสียงไม่พอใจออกมาเสียงหนึ่งอย่างเย็นชา
เจ้าเล่ห์ดังคาด!
น่าเสียดายที่พบกับข้า ฮ่องเต้ชั่ว ท่านทำได้เพียงยอมรับแล้ว
ในไม่ช้า!
หลานเยาเยาก็ออกจากห้องหนังสือไปอย่างไร้วี่แวว จากนั้นก็ปนเปเข้าไปอยู่ในองครักษ์วังหลวง เพื่อไม่ทำให้คนอื่นสงสัย นางจำเป็นต้องเปลี่ยนโซ่เหล็กเส้นที่เหมือนกัน
ดังนั้นช่วงเวลาตั้งแต่เริ่มจนจบนางใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม เปลี่ยนโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง และลงกลอนกลับไป ลงกลอนประตู โซ่เหล็กที่ลงกลอนห้องหนังสือคล้ายกับก่อนหน้านี้
เมื่อนางยืนอยู่บนกำแพงพระราชวัง ดูเหล่าองครักษ์วังหลวงถือคบเพลิงยังอยู่ในเมืองหลวง หาเบาะแสนางทีละที่ทีละที่
หลานเยาเยาเลิกคิ้วเล็กน้อย บอกลาทุกคน พรุ่งนี้ค่อยเจอกันแล้ว!
……
ดึกสงัดแล้ว
จันทร์แรมในท้องฟ้า แสงจันทร์สาดแสงบนผิวทะเลสาบ ข้างฝั่งเป็นโรงน้ำชาตั้งเรียงรายแน่นขนัด ที่ไกลๆคือเงาสะท้อนกลับหัวในน้ำของกลุ่มภูเขาสีเขียวมรกต
ทุกอย่างเงียบสงบ!
เรือที่เหมือนกับเรือรบที่อยู่กลางทะเลสาบ แสงไฟสว่างไสวของเรือแห่งความสิ้นหวังกลับดูหรูหราโอ่อ่ากว่าเรือรบ เงียบสงบจนค่อนข้างแปลกประหลาด
กลางน้ำรอบด้านของเรือแห่งความสิ้นหวัง เป็นไม้ไผ่ปากแหลมเป็นห่วงๆโผล่จากผิวน้ำ ด้านในไม้ไผ่เหล่านี้ทั้งหมดล้วนว่างเปล่า ใช้หายใจสำหรับผู้ที่ดำน้ำโดยเฉพาะ
คนเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มกันรอบนอกสุดของเรือแห่งความสิ้นหวัง พวกเขามีทักษะในการว่ายน้ำดีมาก หมุนเวียนกันเฝ้าเวรในน้ำ เป็นกลุ่มกำลังที่ค่อนข้างลึกลับ คุ้มครองความปลอดภัยของเรือแห่งความสิ้นหวัง
ฉับพลันนั้น!
ไม้ไผ่รอบนอกสุดนั้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย ไม่นาน ด้านล่างไม้ไผ่ที่สั่นสะเทือนก่อนหน้านี้ ก็มีแผ่นสีแดงปรากฏออกมาช้าๆ แผ่นสีแดงนั้นเชื่อมต่อกันเป็นวงกลมสีแดง สีแดงสดเห็นได้ชัด
ต่อจากวงกลมสีแดนนั้นค่อยๆแผ่กระจาย ด้านล่างของไม้ไผ่ด้านในก็ปรากฏวงสีแดงออกมาอีก อีกทั้งวงกลมสีแดงเหล่านั้นก็ยิ่งกระจายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ระยะยิ่งใกล้กับเรือแห่งความสิ้นหวังเรื่อยๆ
แน่นอน กลิ่นคาวเลือดที่แผ่กระจายออกมาก็กลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ……
ณ เวลานี้!
เรือแห่งความสิ้นหวังเงียบสงบไร้ที่เปรียบ ไม่มีเสียงหัวเราะใดๆ
บนดาดฟ้า เสื้อผ้าบางๆของชายผู้หนึ่งพลิ้วไหวเล็กน้อย ลมเย็นพัดเสื้อผ้าของเขาพลิ้วขึ้น ทำให้หน้าอกที่เปิดโล่งของเขาพัดจนเปิดโล่งมากขึ้น
ป่ายเม่ยเซิงเงยหน้ามองจันทร์แรมกลางท้องฟ้า หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย สีหน้าค่อนข้างกลัดกลุ้มใจ ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
จากนั้นติดๆ สีหน้าของป่ายเม่ยเซิงเปลี่ยนทันที
แรกเริ่มเขาไม่ได้สนใจถึงผิวน้ำ ทันใดนั้น หลังจากมีกลิ่นคาวเลือดพรั่งพรูเข้าในจมูก เขาก็รีบมองไปทางในน้ำทันที สีแดงที่บาดตาทำให้เขาเหมือนดังเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง เบิกตากว้างขึ้นทันใด สะท้อนเข้าในวงกลมสีแดง
สังเกตเห็นถึงความผิดปกติแล้ว ป่ายเม่ยเซิงรีบหยิบของอย่างหนึ่งออกมาจากช่วงเอวทันที “ฟิ้ว” เสียงหนึ่ง ปล่อยสัญญาณเสียดหูออกไป
สัญญาณเพิ่งจะหลุดมือ เขาก็เห็นศพลอยขึ้นมากลางทะเลสาบ นั่นคือพวกเขาเจ้าหน้าที่คุ้มกันของเรือแห่งความสิ้นหวัง วิทยายุทธเทียบได้กับนักฆ่าระดับสูงสุดของยิงจวน ความระแวดระวังและวิทยายุทธเห็นได้ว่าไม่ธรรมดา
แต่ทว่ากลับตายอย่างไร้วี่แววเช่นนี้……
ต่อจากนั้นก็เห็น เงาดำคล้ายปีศาจร้ายทีละคน พุ่งขึ้นมาจากน้ำ เหาะขึ้นมาบนเรือแห่งความสิ้นหวังในพริบตา
พวกเขาแต่ละคนร่างกายหลังค่อม ประหนึ่งว่าไม่มีกระดูกเช่นนั้นเคลื่อนไปมาตามอำเภอใจที่ราวบันได เพียงในพริบตา ก็มีเงาสองเงาพุ่งโจมตีไปทางป่ายเม่ยเซิง ผัวพันเขาเหมือนดั่งโบผ้าไหมอ่อนนุ่ม
ป่ายเม่ยเซิงก็ไม่ได้กินผัก ใช้ความชำนาญทั้งหมดสลัดออกจากการพัวพันของเงาปีศาจสองเงานั้น ในใจตื่นตระหนกไปแล้ว
คนเหล่านี้มาจากที่ไหนมาทำอะไร?
ทำไมจึงไม่เคยพบเห็นมาก่อน?