หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 47 เคารพผู้อาวุโสและรักเมตตาเด็ก?
บทที่ 47 เคารพผู้อาวุโสและรักเมตตาเด็ก?
เวลานี้ไหล่ของนางถูกมือแห้งเหี่ยวตบเบาๆ จากนั้นเห็นเจ้าของมือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นเดินตรงไปข้างหน้า ใบหน้าของเขานิ่งสงบดุจน้ำ นัยน์ตากลับมีอารมณ์ที่ต่างออกไป
อากาศวันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม แม้ว่าไม่มีวี่แววว่าฝนจะตก แต่ทว่ามีลมเย็นๆพัดผ่านมา ดั่งมีดเล่มเล็กกรีดเข้าที่หน้า เย็นสบาย แต่ให้ความรู้สึกที่อึดอัด
ภาพสะท้อนในดวงตาของหลานเยาเยาเป็นภาพสถานที่ทิ้งร้างอันกว้างขวาง แต่ทว่าดูออกไม่ยากว่าที่นี่เคยมีความรุ่งโรจน์มากเพียงใด
แต่ว่าไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดจึงกลายเป็นสภาพเช่นนี้ไปได้
หลานเยาเยายืนอยู่ตรงนั้น มองดูชายชราผมขาวเดินเข้าไปตรงที่เป็นซากปรักหักพังทีละก้าว แผนหลังที่ดูเศร้าๆเหงาๆราวกับว่าได้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
เห็นเขาเหยียบใส่ก้อนหินหนึ่งก้อนราวกับว่าจะหกล้ม หลานเยาเยารีบเดินตรงไปหวังว่าจะจับตัวเขาไว้ กลับพบว่าเขายืนนิ่งได้แล้ว และเดินต่อไปข้างหน้า
เป็นตาแก่ที่ดื้อดึงเสียจริง
มือที่ยื่นหวังจะจับตัวเขาไว้ของหลานเยาเยาได้เปลี่ยนทิศไปทางเสาหินด้านข้างที่หักเป็นท่อนๆ สัมผัสที่หนาวๆเย็นๆตรงสู่ก้นบึงหัวใจ
ฝุ่นหนาบางส่วนหล่นลงมาจากเสาหินหลังจากที่นางสัมผัสโดนจากนั้นก็ผสมเข้ากับผงคลีดินบนพื้น
ที่นี่เป็นที่อะไรกันแน่?
ชายชราผมขาวคนนี้คือใครกันแน่?
ความสงสัยมากมายที่ไร้คำตอบปั่นป่วนในจิตใจ แต่ว่านางไม่ได้ไปถามตรงๆ
เมื่อนางปีนขึ้นไปบนเสาหักที่สูงที่สุด นางมองไปที่สถานที่ไม่ไกลจากซากปรักหักพังซึ่งมีอาคารเหลืองอร่ามตระการตาตั้งอยู่ ยืนตระหง่านใต้ท้องนภาอย่างมั่นคง
ในใจของหลานเยาเยายิ่งงงงันหนักขึ้น…
“เว่ย ตาแก่ ตรงนั้นคือสถานที่อะไร?” นางถามขึ้น
“สุสาน”
ชายชราผมขาวตอบกลับทั้งที่ไม่เงยหน้า ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดาย
สุสาน?
ไหงเป็นสุสาน
ถ้าหากที่นั่นคือสุสานที่นี่ก็ต้องเป็นสุสานน่ะสิ ก็แค่คนที่อยู่และยุคราชวงศ์แตกต่างกันก็เท่านั้นเอง
เฮ้อ
คำว่าสุสานในราชวงศ์ยุคก่อนหน้าลอยเข้ามาในหัว
คิดไม่ถึงว่าจะถูกทำลายถึงเพียงนี้…
นี่น่าจะเป็นประจักษ์พยานถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และเป็นการดูถูกหมิ่นเกียรติจากราชวงศ์ปัจจุบัน
“ออ”
หลังจากที่รู้ว่าสถานที่นี้คืออะไร ในใจของหลานเยาเยาอยู่ไม่นิ่งอีกต่อไป ก็เลยพูดอย่างระมัดระวังว่า “หรือว่า…เราไปกันเถอะ”
“ทำไม? นังเด็กบ้า เจ้ากลัวหรือ?”
ครั้งนี้ ชายชราผมขาวยืนตัวตรง หันหน้ากลับมายิ้มอ่อนๆให้นาง มีสีหน้าแปลกๆ
“กลัวน่ะไม่กลัวหรอก แต่ว่าทำแบบนี้มันเสี่ยงเกินไป หากไม่ระวังตัวถึงขั้นหัวขาดเลยนะ” ไม่ไกลจากนี้ก็คือสุสาน ที่นั่นจะต้องมีคนเฝ้าดูแลอยู่เป็นแน่
หากถูกพวกเขาพบเจอละก็ จะต้องถูกจับแน่เพราะคิดว่าเป็นฝ่ายราชวงศ์ยุคก่อน
ถึงตอนนั้นจะได้ไม่คุ้มเสียนะ
“เหรียญเงินหนึ่งพันตำลึงไม่เอาแล้วหรือ?” ชายชราผมขาวมองจ้องไปที่ใบหน้าซีดเซียวคิ้วโก่งหน่อยๆ
“นี่…เร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม?”
แค่ได้ยินคำว่าเหรียญเงิน หลานเยาเยาลังเลทันที
มีเหรียญเงินอ่ะนะ ทั้งยังหนึ่งพันตำลึงเชียว ไม่เอาก็แค่ไม่เอา เอาก็เอาฟรี เอาฟรีๆใครจะไม่เอาล่ะ?
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ผ่านไปครู่เดียว ชายชราผมขาวเดินเข้ามาหานาง ในมือถือมุกหนึ่งเม็ดที่เกาะเต็มไปด้วยฝุ่นหนา หลังจากที่เดินมาถึงตัวนาง มุกหนึ่งกำมือถูกวางในฝ่ามือของนาง แล้วพูดขึ้นอย่างเบาๆว่า
“ไปเถอะ”
เออ…
เหรียญเงินหนึ่งพันตำลึงไม่ใช่หรือ?
ทำไมเป็นแค่มุกหนึ่งเม็ดที่ดูแล้วไม่ได้มีมูลค่าอะไรล่ะ
ทว่าหลานเยาเยารีบเช็ดมุกที่มีฝุ่นหนาเกาะบนตัวนาง จากนั้นรีบเดินตามฝีเท้าของชายชราผมขาวอย่างรวดเร็ว
นางถามทั้งที่กำลังจ้องมองมุกสีเลือดไปด้วยและสงสัยไปด้วย
“มุกอันนี้มีมูลค่าถึงหนึ่งพันตำลึงหรือ?”
“วางใจเถอะ มีแต่มากไม่มีน้อย” ชายชราผมขาวเดินไปด้วยส่ายหัวอย่างเอือมๆไปด้วย แม้ว่าสีหน้าดูเหมือนเศร้าโศก แต่ว่ามุมปากกลับมีรอยยิ้มบางๆ
หลังจากที่เขาสองคนจากไป มีเงาร่างสีดำปรากฏหลังเสาหักของสถานที่ซากปรักหักพัง สายตาที่ดุร้ายของเขามองจ้องไปยังแผนหลังของพวกเขาที่ค่อยๆห่างออกไป จากนั้นทำเสียง ฮึ่ม และแอบตามไปอย่างเงียบๆ
——
บ้านที่ถูกปล่อยร้าง โต๊ะเก่าตัวหนึ่งถูกเช็ดจนสะอาดสะอ้าน ข้างบนวางจานสามใบไว้ จานตรงกลางวางหัวหมูที่ต้มแล้ว จานซ้ายกับขาววางผลไม้กับหมั่นโถว
ข้างหน้าจานทั้งสามวางกระถางธูปเล็กๆไว้หนึ่งอัน และข้างบนเสียบเทียนสีแดงยาวยาวหนึ่งเล่มไว้ ซึ่งตอนนี้ได้จุดไฟไว้แล้ว
ชายชราผมขาวนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ เขายิ้มกริ่มๆมองไปทางหลานเยาเยาที่ตอนนี้วิ่งเข้าวิ่งออกดูยุ่งมาก
หลานเยาเยาในเวลานี้ดีอกดีใจใหญ่ หลังจากที่กลับจากสุสานหลวงของราชวงศ์ก่อน นางก็ไปที่โรงรับจำนำเพื่อสอบถามราคาของมุกสีเลือด
หลังจากที่รู้ราคา ดีใจจนเปิดตากว้าง และขายมุกในเวลานั้นทันที
ตอนนี้นางก็นับว่าเป็นเศรษฐีคนหนึ่งเลยล่ะ
เฮย เฮย เฮย…
ตอนนี้นะมาทั้งธูปทั้งหัวหมู ก็ใช้เพื่อนับญาติ หลังจากที่ทุกอย่างเข้าที่
หลานเยาเยาถือแก้วชาไว้หนึ่งแก้ว คุกเข้าลงบนเบาะรองเข่า และพูดด้วยความเอาจริงเอาจัง
“คุณปู่ที่เคารพ ขอน้อมรับการไหว้จากหลานสาวด้วยเถอะ นับจากวันนี้ไป ไม่ว่าจะยากดีมีจน ไม่ว่าดีหรือร้าย หลานสาวคนนี้จะเคารพรักต่อท่าน ขอให้ท่านรับแก้วน้ำชาแก้วนี้ด้วยเถอะ”
ก็แค่มีปู่เพิ่มมาอีกคน
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ดีดีดี หลานรัก”
ชายชราผมขาวยิ้มและลูบหัวนางเบาๆ จากนั้นรับแก้วชาไปดื่มจนหมดแก้ว แล้ววางแก้วชาไว้ด้านข้าง หยิบมุกออกมาจากในอกเสื้อหนึ่งเม็ด
ครั้งนี้มุกเม็ดนี้ไม่ใช่สีเลือด แต่เป็นสีขาว
แต่ทว่ากลับเม็ดใหญ่กว่ามุกสีเลือดหลายเท่า ทั้งยังใสเป็นประกายสวยงาม
“มุกเม็ดนี้แม้ว่ามูลค่า จะไม่สูงเท่ามุกสีเลือดก่อนหน้า แต่กลับมีคนที่ชอบเล่นมันมาก”
หลังจากที่เขาตายข้าจึงฝั่งมุกเม็ดนี้ไว้บนเสาหิน โชคดีที่ไม่ถูกพวกหน้าเนื้อใจเสือค้นเจอ
มิเช่นนั้น เขาคงไม่ได้เห็นมุกเม็ดนี้อีกแล้ว
“โอโห้ มุกเม็ดนี้สวยจังเลย ยังมีอีกไหม?”
แค่แวบเดียวหลานเยาเยาก็หลงรักมุกเม็ดนั้นที่ชวนให้คนหลงใหล
“…ไม่มีแล้ว”
นางเด็กบ้านี้ คิดว่านางจะดีใจจนก้มกราบขอบคุณเสียอีก
คิดไม่ถึง…
หลานเยาเยาก็ไม่ได้สนใจว่ามุกยังมีอีกหรือไม่ หลังจากที่ชายชราผมขาวให้นางลุกขึ้น นางก็เล่นมุกนั้นไม่หยุดไม่หย่อน จนกระทั่งท้องของทั้งสองเริ่มประท้วงหิว
“จ๊อก จ๊อก จ๊อก จ๊อก…”
“จ๊อก จ๊อก จ๊อก จ๊อก…”
หลานเยาเยากับชายชราผมขาวต่างลูบที่ท้องของตัวเอง ตามด้วยมองไปที่หัวหมูที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างห้ามไม่ได้
หัวหมูนั้นมีกลิ่นเนื้อหมูหอมอบอวล ทั้งยังร้อนๆ
พวกหิวจนน้ำลายย้อยและกลืนลงคอหลายอึก
“นังหนู หัวหมูอันนี้ใช้เพื่อไหว้ข้าเป็นปู่ของเจ้า ในเมื่อใช้เพื่อกราบไหว้ มันก็ต้องเป็นของข้า”
“เว่ย ตาแก่ หัวหมูอันนี้ข้าใช้เหรียญเงินที่ขายมุกได้ซื้อมันกลับมานะ ตอนซื้อยังสั่งให้คนขายใส่หัวหอมและพวกเครื่องเทศเพิ่มเป็นพิเศษ ข้าเตรียมไว้เพื่อตัวข้าเอง ไหงกลายเป็นของท่านไปได้ล่ะ?”
“ไม่ได้ ข้าน่ะตอนนี้เป็นปู่เจ้า เมื่อครู่เจ้ายังพูดอยู่เลยว่าจะเคารพข้า ตอนนี้เป็นโอกาสให้เจ้าได้แสดงความกตัญญูแล้ว ยังไง พูดแล้วคิดคืนคำงั้นหรือ?”
“ตาแก่ เจ้าแก่จนเพี้ยนไปแล้ว ชีวิตเจ้ายังอยู่ในกำมือข้า ต่อให้เจ้าจะเป็นปู่ข้าแล้ว ก็ไม่อาจแย่งหัวหมูกับหลานสาวได้นะ”
…
ทั้งสองทะเลาะถกเถียงกันครึ่งค่อนวัน หลังจากที่ไร้ผลสรุปก็ลงมือเองเลย
จับกินหมั่นโถวและหัวหมูต้มสุกที่อยู่ในจาน จนกระทั่งทั้งสองกินจนอิ่มท้องมาก
ภาพเปลี่ยนไปทันที
“คุณปู่แสนดี แอปเปิลลูกนี้คือสิ่งแทนความกตัญญูจากข้า มา ให้ท่านกินนะ”
“ไม่ต้องแล้ว หลานรัก ปู่น่ะเอ็นดูเจ้า เจ้ากินเองเถอะ”