หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 508 ภาพหลอนที่คุ้นเคยเป็นพิเศษ
บทที่ 508 ภาพหลอนที่คุ้นเคยเป็นพิเศษ
มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในสมอง แต่เป็นเพียงภาพด้านหลัง ชุดขาวปลิวไสว ร่างสูงดูคุ้นเคยเป็นพิเศษ
ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ที่ชายคนนั้นอยู่ เหมือนกับที่ใต้ต้นบุพเพตรงระเบียงวังหิมะ แต่เพียงครู่เดียว ภาพหลอนในสมองนั้นก็หายวับไป
เสียงแปลกๆของส้งเย่นกุยอยู่ข้างหู
“ห้ามคิดอะไรทั้งนั้น ทิ้งความคิดที่วุ่นวายไปให้หมด”
ได้ยินดังนั้น!
หลานเยาเยาก็ตกใจ หันไปมองเขาทันที ดวงตาฉายแววตาที่แปลกๆ
เขารู้ว่านางเกิดภาพหลอน
พอจะเอ่ยปากถาม……
จู่ๆสมองก็จมเข้าไปในกลุ่มธาตุอากาศที่เต็มไปด้วยหมอก สภาพแวดล้อมสกปรกเกินทน
หลังจากนั้นก็มีร่างนึงกวัดแกว่งอยู่ในเมฆหมอก ทันใดนั้นชายที่เหมือนกับเทพบุตร ก็ค่อยๆเดินมาทางนาง ชุดขาวราวหิมะ เส้นผมดำสนิทราวกับหมึกมัดเอาไว้เล็กน้อย ใบหน้าขาวสะอาดหมดจน เผยให้เห็นความงดงามเย็นชาที่ไม่ให้ใครเข้าใกล้
ดวงตาล้ำลึกเหมือนน้ำวน ราวกับว่าความสูงส่งและความเป็นราชาได้แพร่ไปยังทุกอณูในร่างกายของเขา
เขามายืนตรงหน้านาง รอยยิ้มบางๆยกขึ้น เอ่ยพึมพำกับนางว่า:
“หนานซู่ เจ้ามาแล้ว”
ทันใดนั้น!
ฝ่ามือก็เจ็บ ความเจ็บนั้นลามไปถึงหัวใจ ภาพหลอนในสมองถูกโจมตีจนเป็นผุยผง ใบหน้าของส้งเย่นกุยก็ประทับเข้าไปในดวงตา แขนถูกบีบเนื้อขึ้นมา หยิกจนเกิดความเจ็บ
หลังจากนั้น แขนก็ถูกเขาจับไว้แน่น พานางบินไปยังรูปปั้นหินทารกยักษ์หลับนอนนั้นโดยเร็ว
นี่เป็นครั้งแรก ที่ส้งเย่นกุยเผยวิชาตัวเบาต่อหน้านาง มีความเร็วที่เร็วมาก
รู้สึกเพียงแต่เสียงลมที่พัดผ่านหูไป พวกเขาเป็นเหมือนกับภาพเบลอที่ผ่านทุกคนที่อยู่ด้านล่างไป และบินไปยังด้านบนสุด ของรูปปั้นหินทารกยักษ์หลับนอน
หลังจากหลานเยาเยายืนมั่นคงแล้ว ก็มองเขาอย่างประหลาดใจ ในใจไม่อาจสงบอยู่นาน สายตาก็ซับซ้อน
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
เขารู้ว่าตนเองเกิดภาพหลอน
อีกทั้งยังน่าจะรู้ว่าเป็นภาพหลอนยังไง นางรู้สึกได้ว่า ถ้าเกิดภาพหลอนตลอดแบบนี้ เป็นไปได้ว่านางจะจมลึกเข้าไป ไม่อาจถอนตัวขึ้นมาได้
เมื่อสบตากับหลานเยาเยา ส้งเย่นกุยก็ช้าลงทันที ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย ในดวงตามีแต่ร่างเล็กๆของนาง
สุดท้ายก็ถอดหายใจ พูดขึ้นมาเรียบๆว่า:
“คนโบราณ!”
คนโบราณคนนึงพูดออกมาด้วยความรู้สึกอ้างว้าง……
นี่คือคำตอบอะไร?
คลุมเครือ ตอบกับไม่ตอบก็แทบไม่ต่างกัน
เมื่อเห็นว่าเขาย้ายสายตาไปมองอีกด้าน ก็คงจะไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่ม
หลานเยาเยาก็ไม่ไปสืบสาวอะไรอีก แต่มองไปยังผู้คนที่วิ่งอยู่ข้างล่างด้วยความเร็ว
งูทองทะเลทรายไล่พวกเขาทันแล้ว เย่หลีเฉินที่ดูจนตรอกเล็กน้อย เหลือบมองสองคนที่อยู่ด้านบนรูปปั้นหินทารกยักษ์หลับนอนก็วางใจ จากนั้นจึงหยุดฝีเท้า หมุนตัวยกกระบี่ขึ้น รวบรวมกำลังภายใน และฆ่างูทองไปสองสามตัว
แต่ทว่า……
งูทองบางพวกก็โจมตีมาทางเขา เขาเหวี่ยงกระบี่ไปทางซ้ายอีกครั้ง เพื่อไล่งูทองที่อยู่ด้านซ้ายส่วนหนึ่งออกไป แต่งูทองทางด้านขวา เขาไล่ไปไม่ทัน
ในขณะนั้นเอง ก็มีเงาคนร่างหนึ่งแว็บขึ้นมา ใช้พลังของกระบี่ทำให้งูทองที่อยู่ด้านขวาของเย่หลีเฉินกระเด็นออกไป
เมื่อร่างนั้นลอยลงมา ชายที่หน้าปากเบี้ยวสุดๆ ก็กวาดกระบี่ไปอีกครั้ง หลังจากที่พลังของกระบี่ขับไล่พวกงูทองฝูงใหญ่ออกไปได้ในทันที
ถึงจะหันมามองเขา พูดเสียงเย็นว่า: “รีบไป!”
ผู้ที่มาคือจื่อเฟิงที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความโหดเหี้ยม มีเลือดเปื้อนบนตัวเขามากมาย นั่นคือสิ่งที่เหลือไว้จากการฆ่างูทอง
เมื่อเห็นผู้ที่มาชัดเจน
ก็พยักหน้าหนักแน่น จากนั้นทั้งสองคนก็ใช้พลังดาบด้วยกัน โจมตีไปยังงูทองที่เข้ามาอีกครั้งจนกระเด็นไป พอได้จังหวะว่าง ก็รีบหมุนตัวบินจากไป
หลานเยาเยาที่เห็นสถานการณ์!
ก็รีบแฉลบตัวบินลงมาจากรูปปั้นหินทารกยักษ์ หยิบยาผงบนตัวที่เหลือเพียงสองถุงออกมา เมื่อเห็นขบวนขึ้นมาทีละคนแล้ว
หลานเยาเยาก็สั่งให้พวกเขาอ้อมไปยังด้านหลังรูปปั้นหิน
รอจนกระทั่งหลังจากเย่หลีเฉินและจื่อเฟิงบินมา ก็รีบใช้ปลายนิ้วกรีดถุงยาผง กำลังจะโปรยไปทางงูทอง
แต่ก็ต้องประหลาดใจ ที่พบว่าพวกงูทองไม่ได้บุกโจมตีขึ้นมา แต่หยุดอยู่ในระยะหนึ่งและเงยหน้าพ่นภาษางูอย่างดุร้าย อยากจะพุ่งมา แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้
ราวกับมีฉากมาบังรูปปั้นหินทารกยักษ์เอาไว้ ทำให้มันเข้ามาไม่ได้ ทำได้เพียงล้อมรอบรูปปั้นหินทารกยักษ์ไว้เป็นวงกลม รออย่างเงียบๆ บางตัวถึงขนาดมุดเข้าไปในทรายเหลือง
หรือว่า……
พวกมันกำลังหวาดกลัว จึงไม่กล้าบุกรุกรูปปั้นหินทารกยักษ์!
ยู่หลิวซูที่เดินมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นท่าทางนี้คิ้วก็ยิ่งขมวด พูดตรงๆว่า:
“นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี ที่พวกมันกำลังกลัว”
หลานเยาเยาได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า ส่งเสียงอื้มเบาๆ บ่งบอกว่าเห็นด้วย จากนั้นก็หมุนตัวไปทางรูปปั้นหินทารกยักษ์ ที่สูงใหญ่ราวกับวัง
ตอนนี้มันนอนเอนไป เหมือนกับกำลังนอนคว่ำหลับอยู่ที่พื้น แต่หน้ากลับหันมาทางพวกเขา ใบหน้าสงบของทารกยักษ์ตรงหน้า เหมือนกำลังนอนหลับอย่างสบาย
ปากจู๋เชอร์รี่เล็กๆ ซึ่งเป็นท่าทางที่เกิดขึ้นบ่อย หลังจากที่ทารกหลับสนิทแล้ว
แต่พอมองอย่างละเอียด
ก็จะพบว่า ยิ่งมองมันเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความรู้สึกถึงรอยยิ้มเล็กๆบนหน้า รอยยิ้มนั้นเผยความแปลกประหลาด
เย่หลีเฉินที่มาพร้อมกระบี่ ก็เช็ดๆเลือดของงูทองที่เปื้อนตามร่างกาย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสะอิดสะเอียน พอมาถึงตรงหน้าหลานเยาเยา ก็ได้ยินบทสนทนาที่พวกเขาพูดคุย จึงรีบหันไปมองรูปปั้นหินทารกยักษ์
รีบพูดขึ้นว่า:
“ข้าจะไปกำชับพวกเขาว่าห้ามแตะอะไรทั้งนั้น”
ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ แต่ระวังไว้ก่อนดีกว่า
พูดประโยคนั้นจบ เขาก็มุ่งไปทางด้านหลังของรูปปั้นหินทารกยักษ์โดยเร็ว
“มือของเจ้าเป็นอะไรไป?”
ก่อนหน้านี้ที่เห็นจื่อเฟิง จู่ๆหลานเยาเยาก็รู้สึกโล่งใจ นางมองไปยังจื่อเฟิงก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า เดิมทีที่คุ้นเคยใช้มือขวาในการจับกระบี่ ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นมือซ้าย
ส่วนมือด้านขวานั้นก็ตกลงมาตามธรรมชาติ ราวกับว่าสูญเสียพลังไป
“แค่ก เคล็ด เคล็ดแล้ว”
หากคุณหนูไม่พูด เขาก็ลืมไปแล้ว หลังจากที่ถูกม้วนเข้าไปในมรสุมทะเลทรายขนาดใหญ่ ก็กระแทกกับพื้นหลายครั้ง ทำให้มือเคล็ด
หลังจากที่หล่นพื้น เขาจะต่อเองก็ต่อไม่ได้ บวกกับการโจมตีของงูทอง เขาจึงทำได้เพียงอดทนความเจ็บปวด ปล่อยให้มือขวามันห้อยลงมาอย่างงั้น
ตามหาคุณหนูไปตลอดทาง และก็ฆ่างูทองไปตลอดทาง มันเจ็บจนชา จนลืมไปแล้วว่ามีเรื่องมือเคล็ดนี้อยู่
ตอนนี้พอคุณหนูพูดถึง จื่อเฟิงรู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย
หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากหัวเราะ มันหายากจริงๆ ว่าผู้ที่ควบคุมกองกำลังซึ่งเป็นองครักษ์ลับใต้บัญชาของอ๋องเย่ จะมีช่วงเวลาที่หดหู่
ดังนั้นจึงก้าวไปข้างหน้า ใช้โอกาสในตอนที่เขาไม่ได้ระวัง มือนึงวางบนไหล่เขา อีกมือนึงก็ดึงแขนของเขา
มีเสียงดัง “กร๊อบ”“กร๊อบ”สองครั้ง มือบอกว่าจะเชื่อมกันก็เชื่อมกันแล้ว ไม่ได้ทำลวกๆสักนิด
“ลองดู ว่าออกแรงได้ไหม”
มือเคล็ด ไม่ใช่หัก พอต่อแล้วก็ยังคงปวด แต่ก็สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ
ได้ยินดังนั้น!
จื่อเฟิงก็กวัดแกว่งมือขวาได้ตามอำเภอใจโดยไม่ขมวดคิ้วสักนิด มือดีแล้ว ความปวดในตอนนี้ก็ไม่เป็นอันตรายอะไร
รีบคำนับพูดว่า: “ขอบพระทัยคุณหนู”
“เอาหล่ะ ไปสำรวจรูปปั้นหินทารกยักษ์ที่กำลังพักผ่อนอยู่กับข้าก่อน”
“ขอรับ!”
ทั้งสองคนกำลังจะวางแผนเดินไปด้านหลังรูปปั้นหินทารกยักษ์ ก็มีเสียงไม่พอใจรีบดังขึ้นมาจากด้านข้างไม่ไกล