หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่181 เจ้าเชื่อใจข้าบ้างไหม
บทที่181 เจ้าเชื่อใจข้าบ้างไหม
หลานเยาเยาหาที่นั่งหลบข้างชายฝั่ง ในปากคาบดอกหญ้าไว้ต้นหนึ่ง มือข้างนึงเท้าคาง มืออีกข้างนึงเขี่ยหญ้าบนพื้นอย่างเบื่อหน่าย
บ่อยครั้งก็ใช้มือปัดใบเฮาเช่าที่ติดอยู่บนตัว มองเรือแห่งความสิ้นหวังที่กำลังจะเข้ามาใกล้ฝั่งว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ในไม่ช้า!
นางเห็นว่ามีคนเอาคนที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิตขึ้นมาจากน้ำไปไว้บนเรือ มองจากรูปร่างและร่างกายเปลือยท่อนบนแล้วน่าจะเป็นป่ายเม่ยเซิงหยิ่งผยองนั่น
ตายหล่ะ เย่แจ๋หยิ่งคงจะไม่ได้ตีคนตายจริงๆใช่ไหม?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลานเยาเยาก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
แอบดีใจกับตนเองเงียบๆที่อยู่ฝั่งเดียวกับเขา
พอเห็นมีคนมารักษาป่ายเม่ยเซิงนางก็เข้าใจว่าไม่ได้ถูกตีตาย เพียงแค่ถูกตีอย่างโหดร้ายเท่านั้น
ชิ!
บาปที่ทำไม่สามารถจะหนีได้ ป่ายเม่ยเซิงก็เป็นอย่างนั้นล่ะ
“ยังไง? สงสารเขา?”
เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างฉับพลันทำให้หลานเยาเยาตกใจสะดุ้งโหยงอีกครั้ง
คนนี้……
เสียงกระโดดลงทะเลดังขนาดนั้น ทำไมเสียงขึ้นฝั่งถึงเงียบเชียบ?
นางจึงมองรอบๆฝั่งอย่างตั้งใจและละเอียด แต่ก็ไม่เห็นใครขึ้นมาจากน้ำเลย!
เย่แจ๋หยิ่งขึ้นมาได้อย่างไร?
“สงสารอะไรหล่ะ ข้าแทบอยากจะตีเขาให้ตาย”
นางเก็บสายตาตกใจและเหล่ตามองเย่แจ๋หยิ่งเงียบๆ เห็นว่าเขาเปียกโชกไปทั้งตัว สายน้ำบางๆยังไม่หยุดไหลลงพื้น
เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ แม้แต่จะบิดเสื้อผ้าให้แห้งก็ยังไม่มีเวลา ตรงดิ่งมาหานางทันที
แต่นางยังพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า:
“ผู้อื่นหล่ะ?”
นางหมายถึงหานแส
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือแห่งความสิ้นหวัง เย่แจ๋หยิ่งบอกให้นางคอยดูต้นทาง ที่จริงเขาได้ช่วยหานแสออกมาแล้ว
ใช้นางไปช่วยคนเป็นเพียงแค่ให้นางดึงดูดความสนใจของผู้อื่นไปก็เท่านั้น แล้วเขาจะเป็นคนพาหานแสออกจากเรือแห่งความสิ้นหวังอย่างเงียบๆ
อุบายนี้ดีก็ดี
แต่ทำไมไม่บอกนางก่อนเสียหน่อย?
นางกลัวจนแทบไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“อยู่ในที่ที่ปลอดภัย”
หลานเยาเยามองเขาอีกครั้ง เม้มริมฝีปากแดงแล้วพูดเรียบๆว่า: “งั้นไปกัน!”
พูดจบก็ลุกขึ้นหันกลับเดินนำหน้าไปด้วยตนเอง
แต่เดินไปไม่กี่ก้าว นางก็ต้องถอยกลับมามองเย่แจ๋หยิ่งด้วยสีหน้าจำใจ:
“เจ้านำทางไป!”
ผีที่ไหนจะรู้ว่าเขาเอาคนไปซ่อนไว้ที่ไหน เขาไม่นำทางแล้วนางจะไปหาคนได้ที่ไหน?
“เจ้ายังโกรธอยู่รึ?”
สายตาลึกซึ้งมองนางนิ่ง เม้มริมฝีปากแน่น
“ไม่โกรธได้หรือ? อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเราก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว เจ้ามีแผนอะไรไม่บอกข้าก่อนสักคำ
ถ้าเจ้าไม่เชื่อใจข้าแต่อย่างน้อยเจ้าก็ต้องบอกมาเป็นนัยๆเสียหน่อยว่ามีอันตรายหรือไม่ ถ้าข้าตายขึ้นมาเจ้าก็จะไม่สนใจใช่ไหม?”
ที่นางโกรธก็คือโกรธตรงนี้
ให้นางมาเป็นเป้าแม้แต่คำอธิบายสักคำก็ไม่มี ไม่โกรธได้หรือ?
ตอนนี้หน้าของหลานเยาเยามองไปยังเย่แจ๋หยิ่งอย่างหดหู่ นัยน์ตาเหมือนมีความไม่เป็นธรรมอย่างใหญ่หลวง
เย่แจ๋หยิ่งมองนางนิ่งๆจากนั้นเอื้อมมือไปจับคางนางเบาๆ ริมฝีปากเปิดออกเสียงเรียบๆ:
“เจ้าหล่ะ เคยเชื่อใจข้าไหม?”
เมื่อประโยคนี้ออกไป!
หลานเยาเยาก็ตกตะลึงนิ่ง
นางไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้เลย
ลองถามใจตนเองดูว่า นาง……เคยเชื่อใจเขาไหม?
ดูเหมือนจะไม่……
ตั้งแต่เจอเขาไปจนถึงแต่งงาน จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ไม่เคยเชื่อใจเขาเลย
เมื่อมองสีหน้าของนางโดยรวม นัยน์ตาของเย่แจ๋หยิ่งก็ประกายความโดดเดี่ยวออกมา จากนั้นพูดเสียงแผ่วเบาว่า:
“ไปเถอะ!”
พูดจบ เขาก็เดินไปข้างหน้า นำนางไปพบหานแส
ระหว่างทาง หลานเยาเยาเงียบกริบไม่ส่งเสียง เพียงแค่เดินตามหลังเขาชิด บ่อยครั้งที่มองไปยังเบื้องหลังสูงหล่อของเขา
ทันใดนั้น!
ก็มีเสียง “โครม” หลานเยาเยาล้มลงไปที่พื้น
“โอ๊ย เจ็บจะตายแล้ว”
หลานเยาเยาจับเท้าอย่างโอดโอยด้วยท่าทางจะเป็นจะตาย
“เจ็บมาก?”
เย่แจ๋หยิ่งหยุดฝีเท้าลงหันกลับมามองนาง อดขมวดคิ้วไม่ได้
“อื้อ! เจ็บมากถึงขนาดไม่อุ้มก็ลุกไม่ขึ้นอย่างนั้นเลย”
“……”
“แต่ดูรูปร่างเจ้าสูงใหญ่ กำลังอย่างกับวัว ดูแล้วจะอุ้มข้าไม่ขึ้นแน่ ช่างเถอะ เจ้าก็ปล่อยข้าไปอย่างโหดเหี้ยมอย่างนี้หล่ะ!”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ มุมปากของเย่แจ๋หยิ่งก็ยกขึ้น
เขายกเท้าหมุนตัวเตรียมจะไปแต่จู่ๆก็ได้ยินเสียงร้องไห้ฮือฮือฮือของหลานเยาเยา
“ฮือฮือฮือ……เจ้าคนที่เล่นกับความรู้สึกคนอื่น ตอนอยู่ด้วยกันกับข้าพูดคำหวานมากมาย ตอนนี้ข้าท้องลูกของเจ้า เจ้ากลับจะทิ้งข้าไป”
พูดๆไปก็ไม่รอให้เย่แจ๋หยิ่งเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลานเยาเยาก็ร้องไห้ฟูมฟายน้ำหูน้ำตาไหลบอกกับคนที่เดินบนถนน
“วะฮ่าๆๆ……คุณอาคุณน้า คุณลุงคุณป้าทุกท่าน พวกท่านตัดสินให้แก่ข้าหน่อย พวกท่านดูเขาสิ ไม่สนใจความสัมพันธ์สามีภรรยาเลยสักนิด ข้าล้มลงอย่างนี้ยังไม่มาประคองเลย
เขาช่างใจร้าย! แล้วหลังจากนี้จะให้ข้ากับเด็กในท้องอยู่ต่อไปได้อย่างไร? ฮือฮือฮือ……”
หลานเยาเยาร้องไห้ได้สมจริงมาก ไม่รู้ว่าน้ำลายหรือน้ำตาจริงๆที่ไหลออกมาจากดวงตานาง
ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาท่าทางใครเห็นก็สงสาร ทำให้คนเห็นแล้วสงสารเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นคนที่ล้อมดูอยู่ก็พากันพูดคุย คนส่วนใหญ่เห็นอกเห็นใจนาง พากันตำหนิเย่แจ๋หยิ่ง
“คุณชาย ท่านทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ ภรรยาของท่านท้องอยู่ ท่านจะทอดทิ้งไม่สนใจนางได้อย่างไร?”
“ว่ากันว่าสามีภรรยาก็คือนกในป่าเดียวกัน พอเจอภัยพิบัติจะมาบินไปคนเดียวได้อย่างไร! รีบไปพยุงภรรยาท่านขึ้นมาเร็ว พานางไปหาหมอเถิด!”
“ใช่! คุณชาย ท่านดูภรรยาท่านสิเปียกไปหมดแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะได้รับอากาศหนาวเอา”
“……”
ทุกคนต่างแย่งกันต่อว่าเย่แจ๋หยิ่งว่าไม่ถูก ส่วนหลานเยาเยาที่ได้รับความเห็นใจก็ยิ่งแสร้งทำเป็นร้องไห้อย่างหนัก
เย่แจ๋หยิ่งรู้สึกได้ทันทีว่านี่มันวุ่นวายไปแล้ว เมื่อเห็นนัยน์ตาหลานเยาเยาประกายความภูมิใจ เขาก็ถอนหายใจอย่างหมดคำพูด
เดินมาไม่กี่ก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าหลานเยาเยา ก้มตัวแล้วอุ้มนางขึ้นมา แทบจะในเวลาเดียวกันหลานเยาเยาก็ใช้สองมือโอบคอเขาไว้ทันทีแล้วก็มีรอยยิ้มอวดๆยกขึ้นที่มุมปาก
เย่แจ๋หยิ่งเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางนั้นของนาง พานางออกไปจากถนนที่นับว่าครึกครื้น
ไม่นานก็มาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ไม่เล็กไม่ใหญ่
ตอนอยู่ในอ้อมแขนของเย่แจ๋หยิ่ง หลานเยาเยาเห็นว่าโรงเตี๊ยมนี้นับว่าอยู่ห่างจากชายฝั่ง จึงอดถามไม่ได้ว่า:
“ในเวลาสั้นขนาดนี้ เจ้าพาหานแสออกมาจากเรือแห่งความสิ้นหวังแล้วพามาที่โรงเตี๊ยมที่ไกลขนาดนี้ แล้วยังกลับไปอีก เจ้าทำได้อย่างไร?”
แม้ตลอดทางจะใช้วิชาตัวเบาบินไปก็น่าจะทำไม่ได้นะ!
“เจ้าจะโง่ที่จะลงมือทำเองรึ?”
เอ่อ……
ไม่ลงมือทำเอง หรือจะหาเหล่าองครักษ์ลับมา?
เป็นไปไม่ได้หรอก!
จะเร็วขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน
ถ้าไม่ใช่หาเหล่าองครักษ์ลับมา หรือว่าจะเป็น……
“เจ้าจ้างนักฆ่าที่นี่”
ใครจะรู้ เย่แจ๋หยิ่งมองนางราวกับมองคนโง่แล้วอธิบายอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า: “ข้าแค่จ้างรถม้าคันนึงให้คนขับม้าพาเขามายังโรงเตี๊ยมที่ไกลจากที่นี่ที่สุด”
“เป็นอย่างนั้น?”
“เจ้าคิดว่าไงหล่ะ?”
ถูกแล้ว!
ดูเหมือนแค่นั้นก็ได้แล้ว
จู่ๆหลานเยาเยาก็พบว่าไอคิวของตนเองค่อยๆลดลง จนวันนึงอาจจะโง่ไปหมดเลยก็ได้!
ผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงเย็นชาของเย่แจ๋หยิ่งก็ดังขึ้น
“ลงมา!”