หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่228 การปรากฏตัวของเย่แจ๋หยิ่ง
บทที่228 การปรากฏตัวของเย่แจ๋หยิ่ง
แม้แต่ผู้อาวุโสสามก็เกือบตาย ถ้าไม่ดึงเอาคนในเผ่าคนนึงขึ้นมากั้นเขาไว้ คาดว่าคนที่ถูกกัดก็จะเป็นเขา
“ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน พวกเราไปด้านนั้น”
หลานเยาเยามองตรงกลางหน้าผา ตรงนั้นมีปากถ้ำอยู่
พวกเขาแค่ต้องผ่านผืนดอกกระดูกขาวไปก็จะถึงปากถ้ำฝั่งนั้น อาจจะปลอดภัย
แต่หลานเยาเยาอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ที่นั่นเป็นสถานที่ที่นางไม่อยากรำลึกถึงในชีวิตนี้
เพราะปากถ้ำนั้น นางเห็นคนคนนึง ซึ่งผู้นั้นได้นำพาความเจ็บปวดที่ไม่อาจลบล้างไปชั่วชีวิตมาให้นาง……
——
เมื่อมาถึงหน้าผาใต้ปากถ้ำ
ด้านหลังพวกเขาก็คือผืนดอกกระดูกขาวผืนใหญ่ ถ้าดอกไม้ผืนนี้ใหญ่ไป พวกเขาก็ต้องใช้เวลาการข้ามมานานมาก
แต่สรุปแล้ว
ผืนดอกกระดูกขาวนี้อยู่ใต้ปากถ้ำ
ตอนแรกหลานเยาเยาคิดว่าจะเหมือนกับปากถ้ำอันก่อนที่มีเถาวัลย์
แต่ว่า!
ที่นี่ไม่เพียงแต่จะไม่มีเถาวัลย์แล้ว แม้แต่วัชพืชก็ไม่มี
แต่กลับพบเชือกที่ทำเป็นบันได อยู่ในมุมอำพราง
มันปล่อยลงมาจากปากถ้ำ แต่ดูเหมือนจะนานแล้ว ไม่รู้ว่าจะแข็งแรงหรือไม่
แต่ว่า!
สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ก็คือโอกาสของการอยู่รอด
“พระชายา เชิญขึ้นก่อน”
จื่อซีคอยระวังมองด้านหลัง
ตอนนี้คนโดนมนต์ดำ จากผู้อาวุโสรองคนนึงได้กลายเป็นสี่คนแล้ว เพราะคนที่ถูกผู้อาวุโสรองกัด ก็จะถูกแพร่เชื้อกลายเป็นคนโดนมนต์ดำ
หลานเยาเยามองเท้าของจื่อซีแว็บนึง เท้าเขาเคยถูกมดกินคนกัด อีกทั้งยังบาดเจ็บหนักกว่าจื่อเฟิงอีก
บวกกับก่อนหน้านี้ที่เขาถูกงูเหลือมยักษ์กลายพันธุ์รัด เกิดบาดเจ็บภายใน
ดังนั้น!
หลานเยาเยาจึงรีบตัดสินใจให้พวกเขาขึ้นไปก่อน
“จื่อซี เจ้าขึ้นไปก่อน จากนั้นก็จื่อเฟิง นี่คือคำสั่งไม่อาจขัด เร็ว”
เขาเอาจริงเอาจังขึ้นมาแม้แต่ตนเองยังกลัว
ดังนั้น
ด้วยสีหน้าที่เด็ดเดี่ยวของนาง จื่อซีเรียกนางด้วยจิตใจที่สับสน
“พระชายา……”
“รีบขึ้นไป!”หลานเยาเยาหรี่ตา
จื่อซี่เกิดความหนาวสั่นอย่างแปลกประหลาด “ขอรับ!”
จื่อซีไม่ลังเลอีกต่อไป รีบบินขึ้น ครู่เดียวก็ปีนไปถึงที่สูง
วินาทีต่อมา หลานเยาเยามองจื่อเฟิง
จื่อเฟิงก็เข้าใจทันที บินขึ้นไปปีนบันไดเชือก
ตอนนี้เหลือเพียงแต่หานแส!
หลานเยาเยาแค่มองแล้วก็ไม่พูดจาอะไรตรงดิ่งไปปีนบันไดเชือก เพิ่งปีนไปไม่กี่ก้าวก็มีเสียงเหยียดหยามของหานแส
“อา ถึงตาข้าแล้ว เจ้าไม่เป็นคนดีแล้วรึ?”
“ศิลปะการต่อสู้เจ้าไม่เป็นรองใคร วิชาตัวเบาก็ได้ ไม่ต้องให้ข้าเป็นคนดี ครู่เดียวเจ้าก็สามารถบินไปถึงจื่อซีด้านบนแล้ว”
ที่นางพูดคือความจริง
อีกอย่าง!
หนึ่ง หานแสไม่ได้บาดเจ็บ สอง หยิ่งยโส
ถ้านางให้เขาขึ้นไปก่อน ไม่แน่เขาอาจจะพูดคำพูดเสียดสีอีก
นางไม่อยากแกว่งเท้าหาเสี้ยน!
“เฮอะ! ข้าแย่งชิงโอกาสหนีตายกับผู้หญิงไม่ได้หรอก”
อา!
แย่งชิงไม่ได้?
เกรงว่าจะไม่ถึงช่วงความเป็นความตายใช่ไหม?
“รู้ก็ดี!”
พวกเขาเพิ่งปีนไปได้ครึ่งนึง ผู้อาวุโสสามก็ถูกคนโดนมนต์ดำสี่คนวิ่งไล่จนไม่เหลือภาพลักษณ์ใดๆ วิ่งด้วยความเร็วมาทางนี้
แล้วก็ปีนขึ้นบันไดเชือกไม่พูดจาอะไร
คนโดนมนต์ดำที่ตามมาติดๆก็ปีนขึ้นบันไดเชือกทีละคน
เพราะคนเยอะเกินไป
บันไดเชือกที่เก่ามากก็ส่งเสียง “แคว่ก” หนึ่งในนั้นมีเชือกหนาเท่าข้อมือเริ่มปริออกทีละนิด
ยังดี
จื่อซีปีนไปถึงข้างบนแล้ว
ส่วนจื่อเฟิง เพื่อให้หลานเยาเยามีเวลาปีนมากพอ สายตาก็เหลือบไปเห็นช่องว่างระหว่างปากถ้ำ จึงไม่ปีนต่อ แต่บินขึ้นไปเลย
แต่ว่า……
ขาดอีกนิดเดียวถึงจะถึงปากถ้ำ
ถ้าไม่ใช่จื่อซีมาจับเขาได้ทันเวลา เกรงว่าเขาจะตกลงไปแล้ว
ในไม่ช้าหลานเยาเยาก็ปีนถึงปากถ้ำ นางมองบันไดเชือกที่หนาเท่าข้อมือปริออกจนเหลือหนาเท่านิ้วมือ
ก็รีบโถมตัวเข้าปากถ้ำ ยื่นมือไปที่หานแส
“ขึ้นมาเร็ว บันไดเชือกจะขาดแล้ว!”
หานแสมองนาง
ด้วยแววตาสีหน้าที่มองไม่ออก แล้วก็หายวับไป
เขาที่เดิมทีเหยียดหยาม มองจ้องหลานเยาเยานิ่ง
นาง กำลังห่วงเขา!
ดังนั้น เขาจึงเอื้อมมือไปจับมือนางอย่างเก้ๆกังๆ
หลังจากที่ขึ้นไป
หานแสรีบเดินปราณกำลังภายใน หมายจะตัดบันไดเชือก
แต่กลับถูกหลานเยาเยาห้ามไว้
“คนเยอะ กำลังเยอะ!”
แม้ผู้อาวุโสสามจะเป็นคนต่ำช้าเห็นแก่ตัว แต่ดอกกระดูกขาวของจริงยังหาไม่พบ เขาก็ยังมีค่าอยู่
“เฮอะ! ความใจอ่อนของผู้หญิง”
พูดก็พูดไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายหานแสก็เก็บกำลังภายใน
หลานเยาเยายิ้มอย่างนิ่งๆ
ในไม่ช้า!
ผู้อาวุโสสามก็ปีนขึ้นมาอย่างหืดหอบ เขารีบตัดบันไดเชือก จากนั้นก็มองพวกเขาอย่างสับสน ไม่พูดอะไรอยู่ครู่
ทันใดนั้น!
หลานเยาเยารู้สึกถึงแรงกดดันขนาดใหญ่ กดนางไว้ให้หายใจไม่ออก ในไม่ช้าก็คุกเข่าข้างนึงลงกับพื้น
นางมองคนข้างๆ
ก็ต้องตกใจ อย่าพูดถึงจื่อเฟิงเลยเพราะแม้แต่หานแสก็ได้รับแรงกดดันอันรุนแรงนี้เหมือนกัน
เขาถึงขนาดต้องใช้แรงทั้งหมดที่มี ถึงทำให้ตนเองไม่ต้องคุกเข่าต่อไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง!
ก็มีคนแถวหนึ่งเดินออกมาจากปากถ้ำที่มืดสนิท
พวกเขามีพลังที่แข็งแกร่ง ราวกับไม่สนใครเลย
คนสองคนที่เดินอยู่หน้าสุด ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะหลานเยาเยา
ท่าทางของเขาใช้ความแข็งกร้าวและซับซ้อนมาอธิบาย
เพราะคนสองคนที่เดินอยู่หน้าสุดนั้น หนึ่งในนั้นก็คือเย่แจ๋หยิ่ง!
ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ ชายชราคนหนึ่งที่มีอายุประมาณเจ็ดสิบแปดสิบ
ผมขาวของเขาครึ่งนึงใช้กวานหยก(สิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนใช้ครอบศีรษะ)ม้วนขึ้น อีกครึ่งนึงปล่อยให้มันตกลงมาตามธรรมชาติ
ชายชราผู้นั้นสวมชุดสีขาว ถ้าพูดให้ถูก ไม่ว่าจะเป็นคิ้วหนาๆ เครายาวๆ ทุกอย่างล้วนขาวจนทำให้คนตัวสั่น
ดวงตาของเขาเย็นชา กระจายความเย็นน่าเกรงขาม แค่มองแว็บเดียวก็เพียงพอต่อการดูหมิ่นทุกสรรพสิ่งบนโลก
เมื่อหานแสเห็น!
สีหน้าก็แสดงความเกลียดชังท่วมท้นกระจายออกมาจากนัยน์ตาทันที……
ส่วนหลานเยาเยาแค่มองไปที่เขา
ความหนาวเหน็บชนิดหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พุ่งมาโจมตีใจนาง
คนคนนนี้ นางไม่ชอบ
คนคนนี้ น่ากลัวมาก……
ส่วนเย่แจ๋หยิ่งที่ยืนอยู่เคียงข้างแถวเดียวกับเขา ก็ดูเหมือนไม่เคยรู้จักนางมาก่อน สายตาที่มองมาที่นางนั้นก็เย็นชามาก
มีเสียงดัง “ตุ้บ”
ผู้อาวุโสสามคุกเข่าลงบนพื้นอย่างแรง
“คารวะราชครูใหญ่!”
คนนี้ไม่ได้เป็นราชครูใหญ่คนปัจจุบัน แต่เป็นราชครูใหญ่ราชวงศ์เก่าที่ล่มสลาย
คนนั้นได้ถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้า เหมือนเทพเจ้าของมนุษย์
ราชครูใหญ่?
ราชครูใหญ่ที่หายสาบสูญไปนานแล้วงั้นหรือ?
ที่แท้คนที่เย่แจ๋หยิ่งต้องการมารับก็คือเขา!
หลานเยาเยามองจื่อซีกับจื่อเฟิง ก็พบว่าพวกเขาคุกเข่าอยู่ที่พื้นแล้ว และคำนับไปทางเย่แจ๋หยิ่ง
ราชครูใหญ่ไม่มองผู้อาวุโสสามแม้แต่น้อย เพียงแค่พูดขึ้นมาอย่างไม่มีใครเข้าใจความหมาย
“ผู้อาวุโสใหญ่จะทำอย่างไร? ข้าเพิ่งกลับมาก็เห็นคนบุกเข้าเขตหวงห้ามของข้า ควรตายเสียจริง”
ผู้อาวุโสสามมองหลานเยาเยาด้วยสายตาหวาดผวา ร่างกายสั่นเหมือนตะแกรง
“เรียนราชครูใหญ่ ผู้อาวุโสใหญ่หายไป ผู้อาวุโสรองก็……ตาย”
เขาไม่ได้เอ่ยถึงหลานเยาเยา
“แล้วเจ้าหล่ะ? มีชีวิตรอดได้ยังไง?”
เมื่อผู้อาวุโสสามได้ยิน
ก็ตกใจจนซีด
รีบโคกหัวขึ้นลง “ปึกปึกปึก” วิงวอนอย่างขมขื่น
เพื่อความอยู่รอด นางจึงทำได้เพียงผลักให้หลานเยาเยาเป็นแพะรับบาป
“ท่านราชครูใหญ่โปรดไว้ชีวิต ท่านราชครูใหญ่โปรดไว้ชีวิต! ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหลานเยาเยา ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของนาง
ผู้อาวุโสใหญ่ถูกนางจับตัวไป ผู้อาวุโสรองก็ถูกนางฆ่าตาย ตอนนี้กลายเป็นคนโดนมนต์ดำ”
“พอแล้ว!” ราชครูใหญ่พูดอย่างเย็นชา “เจ้าลงไปกับพวกเขาเถอะ!”