หัตถ์เทวะธิดาพญายม - ตอนที่ 286 หมอกขาวกลืนวิญญาณ
หัตถ์เทวะธิดาพญายม ตอนที่ 286 หมอกขาวกลืนวิญญาณ
หวูอวี้ยกมือขึ้นกุมอกพร้อมเสียงกล่าว “บอกมาสิว่าเจ้าหมอกขาวประหลาดนี้มีความลับใดซ่อนอยู่ ? ไยเจ้าสวะจากตระกูลมู่หรงพวกนั้นจึงใช้คํากล่าวว่าแม้กระทั่งผู้มีพลังยุทธสูงส่งก็ยังไม่อาจพลิกวายุ และคลื่นทะเลได้เช่นนั้น ?”
มีหรือที่พวกด้อยฝีมือเช่นคนผู้นี้จะกล้าปกปิดความจริง ? เขารีบละล่ำละลักตอบ “อาวุโส โปรดละเว้นชีวิตน้อย ๆ ของข้าเถิด ! ข้ายอมบอกแล้ว ข้าจะบอกทุกสิ่งที่รู้ !”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังม่านหมอกแห่งนี้มีสิ่งใดก่อตัวขึ้น หากแต่ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีพลังฝีมือสูงส่งสักเพียงไร ขอเพียงพวกมันผ่านเข้าไปในม่านหมอกขาวนั้นแล้ว พลังปราณของพวกมันล้วนถูกกลืนหายไปอย่างฉับพลัน ยังมี แม้จะใช้กลยุทธทุกหนทางอย่างสุดความสามารถในการควบคุมพลังปราณในกายย่อมกลับกลายเป็นไร้ผลในทันทีเมื่อล่วงผ่านเข้าสู่ด้านใน กระทั่งยอดฝีมือระดับย้ายเคลื่อนจิตวิญญาณยังกลับกลายเสมือนหนึ่งคนธรรมดาสามัญที่ไร้พลังยุทธ”
“พลังปราณถูกสูบกลืนสลายอย่างรวดเร็วกระนั้นหรือ ? หวูอวี้ลูบคางคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันก่อนจะกล่าวคําต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับผู้ที่ล่วงผ่านเข้าสู่ด้านใน ?”
ใบหน้าของคนผู้นั้นดูหวาดผวาตื่นกลัว มันส่ายหน้าไปมา “เราก้าวเข้าสู่ด้านในครูใหญ่ จึงพบว่าเส้นทางเบื้องหน้าที่แลเห็นกลับคลุมเครือทั้งไร้ปลายทางสิ้นสุด เมื่อพวกเราเริ่มตระหนักถึงขุมพลังปราณในร่างที่ถูกสูบกลืนด้วยความเร็วจนน่าใจหาย พวกเราจึงรีบหนีออกมาด้วยความตื่นกลัว ข้าผู้น้อยไปกับสหายอีกสองคน หากทว่าทั้งคู่ต่างไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ เช่นนั้นพวกเขาจึงพากันล่วงล้ำเข้าสู่ด้านใน ทว่า…หยกพลังชีวิตของพวกเขาทั้งคู่ที่ทิ้งไว้ในมือข้าผู้น้อยกลับแหลกละเอียดลง”
หยกพลังชีวิตเสมือนสัญญาณบอกชีวิต หากหยกแตก หมายถึงคนผู้นั้นได้เสียชีวิตลงแล้ว
เมื่อมันผู้นั้นยกมือขึ้นปาดหยาดเหงื่อบนหน้าผาก ยอดฝีมีอผู้นั้นเปล่งน้ำเสียงสั่นเครือต่อมา “ทันทีที่ข้าผู้น้อยออกมาจากม่านหมอกนั้นได้จึงพบว่า เพียงชั่วระยะหนึ่งชั่วยาม* ขุมพลังจิตวิญญาณก็เริ่มฟื้นคืน น่าเสียดายยิ่งนักที่ในช่วงเวลาดังกล่าวพลังปราณในร่างของข้าผู้น้อยนั้นลดลงไปกว่า 5 ในสิบส่วน และด้วยเหตุนั้น ข้าผู้น้อยจึงเกือบต้องสังเวยชีวิตให้แก่เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่รายล้อมอยู่โดยรอบม่านหมอกขาว ด้วยหวังเก็บเกี่ยวประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆอันจะพึงมีพึงได้ หากมิใช่เพราะข้าผู้น้อยได้ส่งมอบสมบัติให้แก่พวกมันไปเป็นอันมาก ข้าผู้น้อยคงได้เดินทางไปสู่ปรโลกนานแล้ว”
“หนึ่งชั่วยามคือ 2 ชั่วโมง
หวูอวี้นิ่วหน้าพลางหันไปหาหนานกงยว และเกอซี
ม่านหมอกขาวสูบกลืนวิญญาณกระนั้นหรือ ? สิ่งนี้นับเป็นปัญหาอย่างยิ่งยวด เมื่อสวนสมุนไพรเวทล้วนถูกหุ้มห่อไว้เด้วยม่านหมอกขาวนี้ มิรู้ว่ายอดฝีมือที่ก้าวล่วงเข้าไปสู่ด้านในก่อนหน้านี้ต้องเผชิญกับการซุ่มโจมตีภายในสวนสมุนไพรมากมายสักเพียงไร ทั้งพวกเขาเหล่านั้นล้วนอาจต้องประจันหน้ากับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อก้าวล่วงพ้นจากสวนสมุนไพรแห่งนี้ในสภาพอันสูญสิ้นพลังปราณไม่เหลือกําลังยุทธย่อมมิอาจต้านทานแรงพลังโจมตีใด พวกมันย่อมไม่ต่างกับหมู่มัจฉาที่รอการไล่ล้างทําลายภายใต้ถังกักน้ำ
หวูอวี้เหลือบมองยอดฝีมือระดับปฐพีสะท้านสะเทือนสองสามคนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก พวกมันเพียงจ้องเขม็งมายังกลุ่มของเกอซีโดยไม่กล้ากระทําการนุ่มบ่ามแต่ประการใด การกระทําเยี่ยงนี้ย่อมสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ดูแลหอรื่นรมย์ เขาจึงเอ่ยปากกล่าวคํา “เช่นนั้น การที่ยามนี้พวกเจ้าทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ในที่นี้ล้วนเพียงเพื่อหวังรอผู้ที่ก้าวล่วงออกมาจากด้านในด้วยหมายจะฉกฉวยประโยชน์อันจะพึงมีพึงได้ยามเมื่อพวกเขาเหล่านั้นสูญเสียพลังปราณในกายกระทั่งแห้งเหือด พวกเจ้าย่อมสามารถปล้นจี้ได้ตามใจชอบเช่นนั้นสิ ? สกุลมู่หรงคือผู้ดูแลอาณาบริเวณแห่งนี้มิใช่หรือ ? พวกมันยอมให้พวกเจ้ามารอฉกฉวยประโยชน์เช่นนี้ด้วยกระนั้นรึ ?”
ผู้ฝึกยุทธพลังฝีมือต่ำต้อยผู้นั้นเนื้อกายสั่นสะท้าน หยาดเหงื่อเย็นแตกพลั่กร่วงไหลผ่านศีรษะยามเมื่อเขากล่าวตอบคํา “สิ่งที่ตระกูลมู่หรงปรารถนาล้วนเพียงพฤกษาเวทล้ำค่าที่แสวงหาได้ยากยิ่ง อันเพาะหว่านอยู่ภายในสวนสมุนไพรแห่งนี้ ทั้งดูคล้ายพวกมันกําลังติดตามหา พฤกษาเวทขั้นเจ็ดอันมีนามว่า สมุนไพรดวงจิตในตํานาน สกุลมู่หรงค้นตัวทุกผู้คนที่ผ่านออกมาจากหมอกขาว นอกจากสิ่งที่พวกมันต้องการแล้ว ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดล้วนไร้ความหมายสําหรับพวกมู่หรง เช่นนั้นพวกมันจึงยอมให้พวกเราค้นหาสมบัติส่วนที่เหลือเพื่อนําแจกจ่ายแก่กัน”
หวูอวี้หมดสิ้นข้อกังขา ชายหนุ่มยกมือโบกให้ผู้ฝึกยุทธผู้นั้นกลับไปยืนประจําในที่เดิมของตนก่อนจะหันมาหาหนานกงยวี่เพื่อเอ่ยกล่าว “นายท่าน การเข้าสู่ด้านในม่านหมอกขาวนี้นับว่าสุ่มเสี่ยงทั้งยังเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งนัก เช่นนั้นขอให้ข้า และชิงหลงเป็นผู้เข้าสู่ด้านในสวนสมุนไพร ส่วนท่านและคุณชายซีโปรดรั้งรออยู่ด้านนอก”
“เป็นเช่นนั้นไม่ได้ !” เกอซีคัดค้านทันควัน “เจ้าย่อมไม่อาจจดจําสมุนไพรเวททั้งหมดได้ ทั้งตัวเจ้าย่อมไม่อาจเด็ดมันกลับมาได้ในสภาพที่ยังคงความสมบูรณ์ ตัวข้าจําต้องเข้าสู่สวนสมุนไพรแห่งนี้ด้วยตนเอง พวกเจ้าจงรออยู่ด้านนอก”
น่าขันสิ้นดี ! มิติเวทของนางคือสถานที่เหมาะสมที่สุดในการเคลื่อนย้ายสมุนไพรเวท ! หากภายในสวนสมุนไพรแห่งนี้มีสมุนไพรเวทล้ำค่าอยู่จริง นางย่อมสามารถยักย้ายลําต้นสมุนไพรเหล่านั้นเข้าสู่มิติในสภาพคงชีวิต และคงความสมบูรณ์อย่างที่สุด เรื่องเช่นนี้หากนางไม่เข้าไปด้วยตนเอง และเกิดความเสียหายต่อสมุนไพรนั้นนับเป็นสิ่งสําคัญจนเกินจะแบกรับได้
เพียงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหนานกงยวี่กลับหม่นมัวขึ้นในทันใด “ซีเอ๋อ เจ้าไม่สมควรกล่าวเช่นนั้น ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าทิ้งข้าไปอีก ยิ่งมิต้องกล่าวถึงการปล่อยให้เจ้าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงในสถานที่อันตรายเช่นนี้เพียงลําพัง ล้วนไม่อาจเป็นได้ !”
***จบบท หมอกขาวกลืนวิญญาณ**