หัตถ์เทวะธิดาพญายม - ตอนที่ 293 ร่างกลั่นสายโลหิต
“สารเลว เจ้าคิดว่าตนคือผู้ใดจึงกล้ามาสอดมือเรื่อง ของเรา ?”
ทันทีที่บุรุษสวมหน้ากากผู้เป็นหัวหน้าคืนสติกลับมาและได้ใช้สายตาสํารวจดูร่างที่บอบบางใบหน้างดงามผิวพรรณที่ขาวละเอียดผุดผ่องภายใต้สภาพกายอันไร้สิ้นกระแสพลังปราณอย่างใกล้ชิดแล้ว มันกลับส่งเสียงเยาะเย้ยอย่างไรนความหวาดกลัวแตกต่างจากเมื่อครู่ก่อน
“เจ้าอาศัยเพียงอาวุธเวทซึ่งไม่ต้องใช้ขุมพลังปราณใดเท่านั้นก็กล้าคิดเหิมเกริมกับพวกเราแล้วกระนั้นหรือ ? ฝันไปเถิด !”
“ข้าคงยังไม่ได้บอกเจ้ากระนั้นสิว่าข้าคือผู้ฝึกยุทธร่างก ลั่นสายโลหิตหาใช่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปไม่ แม้เจ้าจะพกอาวุธวิเศษใดก็จงอย่าได้คิดว่าจะเหลือรอดชีวิตจากน้ํามือข้าได้ !”
พร้อมกันนั้น ร่างของบุรุษผู้สวมหน้ากากพลันระเบิดคลื่นพลังกดดันอันรุนแรงหนักหน่วงดั่งขุนเขาไท่ซาน” ทั่วร่างของมันถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างสีส้มสด
* ขุนเขาไท่ซาน” คือยอดเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองไทอาน
ในโลกแห่งนี้ ยอดฝีมือทั้งหลายล้วนอาศัยการฝึกฝนพลังปราณในการฝึกยุทธหากทว่าคงมีเพียงผู้ฝึกยุทธไม่กี่คนเท่านั้นซึ่งมีคุณสมบัติต่ําเตี้ยจึงตัดสินใจอาศัยร่างของตนเองในการควบกลั่นพลังเข้าแทนที่
่ ่
ด้วยการใช้เนื้อร่างของตนในการกลั่นขุมพลังปราณล้วนเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างหนักหนายิ่งกว่าการฝึกยุทธ โดยทั่วไปทั้งโดยส่วนใหญ่ย่อมไม่หลงเหลือชีวิตรอดในช่ว งการฝึกฝนที่สุดพวกเขาเหล่านั้นล้วนต้องตายตกในสภาพมิ ต่างใดกับคนธรรมดาผู้ไร้สิ้นพลังฝีมือเช่นนั้น บุคคลผู้มีคุณสมบัติพิเศษดังเช่นหนานกงยีผู้มีรากฐานพลังทวิคู่วิญญาณ นั้นอาจเรียกได้ว่าแทบไม่อาจปรากฏขึ้นได้
่ ่
ระดับชั้นแห่งร่างกลั่นกระแสปราณประกอบด้วย ขยาย เส้นเอ็นกลั่นสายโลหิตชาระลงไขกระดูก ซึมซาบซ่านกระ ดูก ปลดทิ้งกายร่าง ถือกําเนิดคืนใหม่เคลื่อนสู่อมตะ
ทว่าจงอย่าได้คิดว่าผู้ฝึกยุทธในระดับขั้นกลั่นสายโลหิตจะอ่อนแอด้วยหากพวกเขาต้องการเลื่อนขั้นพลังยุทธล้วนไม่จําเป็นต้องตรากตรําฝึกฝนเนิ่นนานถึง 10 ปีทันทีที่พวกเขา สามารถบรรลุขั้นพลังร่างกลั่นระดับต้นนั่นคือร่างกลั่นสายโลหิตพลังฝีมือของพวกเขาล้วนสามารถเทียบได้กับผู้บรรลุขอบเขตพลังปราณระดับสูงขั้นที่ 2 อันมีนามว่าปฐมภูมิโลกันตร์
ทันทีที่เกอซีสังเกตเห็นร่างของบุรุษเบื้องหน้าปลดปล่อย แสงพลังสีส้มออกมานางทั้งอยากรู้อยากเห็น ทั้งรู้สึกอัศจรรย์ใจ
แน่นอนว่านางย่อมไม่รู้สึกหวั่นเกรงต่อพลังความแข็งแกร่งใดหากทว่ากลับกันสิ่งที่คิดกลับกลายเป็นความแตกต่างกันระหว่างขั้นตอนการฝึกฝนของผู้อาศัยร่างเนื่อในการคว บกลั่นขุมพลังกับกลวิธีที่นางใช้ฝึกฝนพวกซีเจีย
แม้ยามนี้ ด้วยวิธีการฝึกฝนขณะนี้ พลังฝีมือจะพัฒนา นอย่างรวดเร็วหากทว่านางยังหาหนทางในการเร่งพลังฝีมือ ให้รุดหน้าอย่างก้าวกระโดดมิได้หากสามารถหลอมรวมกล วิธีที่ใช้ฝึกฝนในยามนี้ประสานเข้ากับขั้นตอนการฝึกฝนร่างกลั่นโลหิต อาจช่วยให้พวกซีเจียผลักดันตนเองเข้าสู่ขอบเขตพลังปราณขั้นต่อไปได้อย่างเต็มกําลังก็เป็นได้
ยิ่งเห็นใบหน้าแปลกประหลาดใจของเกอซี บุรุษผู้นําซึ่งสวมใส่ผ้าคลุมหน้าอยู่นั้นยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองมันยกขวานยักษ์ในมือขึ้นวิ่งตรงออกไปพลางส่งเสียงตะโกนลั่น “ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาติขวานยักษ์ของข้า !”
เสียงตูมดังกึกก้อง ม่านหมอกขาวพลันฟุ้งตลบโอบล้อมคนทั้งสองผู้กําลังประพลังฝีมือให้อยู่ภายใต้การบดบังปิดกั้นจากทุกสายตา
หากทว่าบุรุษร่างกํายําที่เหลืออีกเพียงสองสามคนยังคงเปี่ยมด้วยความมั่นใจในพลังมือของผู้เป็นหัวหน้า ทั้งคู่ต่าง ตะโกนส่งเสียงหยอกเย้า “หัวหน้าอย่าลืมเก็บเจ้า กระต่ายน้อยนั่นไว้เล่า ! แม้มันจะเป็นหนุ่มน้อย พวกเราก็หาได้รังเกียจที่จะร่วมหาความสุขสันต์กับมันไม่ !”
“หัวหน้า หากท่านมั่นแขนขาของมันเสียแล้ว ก็จงละเว้นใบหน้างดงามของมันไว้เสียหน่อยเถิด ! อย่างน้อยก็นามาเก็บไว้ร่วมกับของสะสมที่พวกเราปล้นมาได้ย่อมจะดีไม่น้อย ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เสียงหัวเราะดิบเถื่อนของพวกมันยิ่งส่งให้สาวน้อยผู้ยังกองอยู่กับพื้นขดร่างที่สันเทาอย่างรุนแรง กระทั่งกลมประดุจดูกหนัง หยาดน้ําตาแห่งความสิ้นหวังไหลหลั่งลงอาบแก้ม /
หากหนุ่มน้อยผู้นั้นสิ้นใจลง นางชะตาของนางย่อมจะต้องน่าสลดสังเวชอย่างเกินจะเอ่ย ยังมี หากหนุ่มน้อยผู้นั้นยื่นมือเข้ามาช่วยนางแล้ว…แล้ว
ฉับพลัน หญิงสาวผู้นั้นจ้องตรงออกไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
เมื่อนางสังเกตเห็นกลุ่มหมอกที่เคยหนาทึบยามนี้ค่อย ๆ เลื่อนสลายลงทีละน้อยและปล่อยให้เสียงฝีเท้าดังขึ้นเป็นจังหวะผ่านกระทบหูทุกคนกระทั่งที่สุดเสียงนั้นก็หยุดนิ่งลงเมื่อม่านหมอกจางหาย
ครู่ถัดมา นางจึงเห็นหนุ่มน้อยผู้อยู่ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ย่างสามขุมเข้ามาอย่างไม่เร่งร้อน ที่ตวัดพันรัดรอบท่อน แขนขวานั้นคือเถาวัลย์สีม่วงขณะในฝ่ามือซ้ายถือศีรษะมนุ ษย์ แม้โลหิตจะยังคงไหลหยดร่วงลงจากศีรษะไร้ร่างทว่าอาภรณ์ขาวสะอาดของหนุ่มน้อยผู้นั้นกลับมิได้แปดเปื้อนมลทินประดุจเทพบุตรผู้สะอาดบริสุทธิ์ไร้ราคีที่แม้ฝุ่นผงแห่ง โลกโลกีย์ก็มิอาจทําให้หม่นหมองทั้งในขณะเดียวกันคนผู้นี้ก็ให้ความรู้สึกประดุจดั่งเทพเซียนผู้เหยียดมองทุกผู้คนด้วยความรู้สึกที่เหินห่างจนเกินเอื้อม
***จบตอน ร่างกลั่นสายโลหิต* *