ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 120 รังควาญ
กู้ฉ่างที่ถูกเผิงสืออีเดียดฉันท์นั้น ขณะนี้เขากำลังนั่งอยู่กับเผยเยี่ยนในศาลาริมน้ำกลางสวนดอกไม้จวนสกุลเผย จิบชาซีหูหลงจิ่งที่เก็บเกี่ยวก่อนวันเช็งเม้ง ซึ่งเพิ่งจะถูกส่งมาจากเมืองหังโจว ทอดสายตาชมปลาจิ๋นหลี่ ถกเถียงเรื่องกระดาษคำตอบในการสอบระดับหัวเมืองของเจียงซูเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว “…แม้วิถีของผู้ปกครองจะขึ้นอยู่กับการรักษากฎเมืองและกฎของบรรพบุรุษ และการรักษากฎเมืองจำต้องเป็นไปอย่างเคร่งครัดไม่ตกหย่อน ผู้ที่ได้เป็นเจี่ยหยวน[1]นามว่าหวังชุนเหอผู้นั้นหยิบยกตำรา ‘ฮั่นในภายหลัง ฉบับหลี่กู้’ ตอนหนึ่งที่ว่า นั่งเล่นอยู่ก็เห็นเงาเหยาบนกำแพง กินข้าวอยู่ก็เห็นเงาเหยาในชามข้าว[2]ขึ้นมาพูด เห็นได้ว่าผู้สอบผ่านในการจัดสอบระดับหัวเมืองปีนั้นมิใช่จะดูแคลนได้เลย”
เผยเยี่ยนไม่อยากสนทนากับกู้ฉ่างเลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องการมาวิจารณ์เรื่องใต้หล้าร่วมกับเขา แต่เพราะเสิ่นซ่านเหยียนนั่งอยู่ข้างๆ หลายวันนี้เขาก็เอาแต่แนะนำบัณฑิตในเมืองหลินอันให้กู้ฉ่างได้รู้จักอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังมาเป็นเพื่อนกู้ฉ่างแวะเวียนมาหาเขาอยู่บ่อยๆ อย่างผิดวิสัย เขาไม่รู้ว่าเสิ่นซ่านเหยียนกับกู้ฉ่างมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่เห็นแก่ที่เสิ่นซ่านเหยียนเคยมีบุญคุณต่อศิษย์พี่เฟ่ยของเขา เขาถึงยังแสร้งต้อนรับกู้ฉ่างอย่างมีน้ำอดน้ำทน
บัดนี้ได้ยินเขายกเรื่องการสอบระดับหัวเมืองที่เจียงซูขึ้นมาถกเถียง จึงอดจะตอบกลับอย่างเบื่อหน่ายมิได้ว่า “ข้าเคยเห็นกระดาษคำตอบของหวังชุนเหอ คิดว่าเขาไม่เลวเลยทีเดียว เขาเชื่อว่า ‘ความทะเยอทะยานของผู้ปกครองอยู่บนฐานของความว่างเปล่า ความว่างเปล่าเป็นแก่นรากของกฎหมาย ความเห็นแก่ได้ล้นเหลือเหนือทุกสิ่ง ผู้ปกครองทรงคุณธรรมยิ่งต้องเคารพกฎ ปวงประชาแซ่ซ้องสรรเสริญ เป็นครรลองแห่งแคว้นที่ยั่งยืน’ ไม่พูดถึงสิ่งอื่น แค่เขากล้าเขียนประโยคนี้ออกมา ข้าคิดว่าที่ใต้เท้าหยางเลือกหวังชุนเหอให้เป็นเจี่ยหยวน ก็ถือว่าไม่ผิดต่อเส้นทางวิญญูชนที่เขายึดมั่นแล้ว”
กู้ฉ่างเลิกคิ้วสูง
สนามสอบระดับหัวเมืองที่เจียงซูเมื่อปีก่อน มีหัวหน้าผู้คุมสอบเป็นมหาบัณฑิตสำนักฮั่นหลินนามว่าหยางโซ่วเต้า
และหยางโซ่วเต้าก็คือบุตรเขยของจางอิงผู้เป็นอาจารย์ของเผยเยี่ยน
“จะว่าไปแล้ว สยากวงเจ้าเห็นด้วยกับแนวคิดของใต้เท้าเฝิงอย่างนั้นสิ!” เขาหันไปมองเผยเยี่ยนยิ้มๆ แล้วก็ยกชาขึ้นจิบ
ฮ่องเต้ในราชวงศ์ปัจจุบันอายุมากแล้ว ทั้งโปรดปราณสุราน้ำจัณฑ์ ทุกครั้งที่ดื่มต้องเมามาย ทุกคราที่เมาเมาต้องอาละวาด ไล่สังหารคนไม่เลือกหน้า ทั้งขันทีและนางในต่างก็กล้ำกลืนไม่กล้าร้องทุกข์ เทศกาลโคมไฟเมื่อปีก่อน พระองค์ถึงกลับพลั้งมือฆ่าขุนนางตายไปคนหนึ่ง เรื่องนี้แม้จะถูกเก็บเงียบ แต่พอเวลาผ่านไป เสียงเล่าลือก็ค่อยๆ แผ่ออกมา
บทความที่ทำให้หวังชุนเหอถูกเลือกเป็นเจี่ยหยวนนั้น ช่างเหมาะเจาะในการใช้เตือนสติโอรสสวรรค์ว่าสมควรผดุงคุณธรรมของผู้ปกครอง นับว่าเป็นบทความที่เขียนได้อาจหาญและเฉียบคมเป็นที่สุด ทั้งหยางโซ่วเต้าที่เป็นคนเลือกหวังชุนเหอให้เป็นเจี่ยหยวนนั้นยิ่งนับว่ากระดูกเที่ยงตรงไม่คดงอ เป็นวิญญูชนที่มีใจห่วงใยปวงประชาอย่างแท้จริง
ส่วนเฝิงจือที่กู้ฉ่างพูดถึงนั้น ก็คือศิษย์พี่ของกู้ฉ่าง รับตำแหน่งเจ้ากรมอยู่ที่สำนักตรวจการ หลังจากฮ่องเต้สังหารขุนนางตายหนึ่งคน เขาก็ยื่นฎีการ้องเรียนฮ่องเต้เป็นคนแรก
ปัจจุบันเขาถูกขังอยู่ที่คุกหลวง
ทว่าเขาชนะใจเหล่าบัณฑิตในใต้หล้า โดยเฉพาะเหล่าบัณฑิตในแถบเจียงหนาน
ส่วนอาจารย์ของกู้ฉ่างมีนามว่าซุนเกา เป็นเจ้ากรมสำนักตรวจการฝ่ายซ้าย กุมอำนาจสำนักตรวจการร่วมกันกับนายท่านเจ็ดสกุลเผิงนามว่าเผิงอวี่
เผยเยี่ยนได้ยินคำของกู้ฉ่าง ก็แค่นยิ้มเย็นในใจ สีหน้ากลับราบเรียบไร้อารมณ์ “เจาหยางอยากช่วยใต้เท้าเฝิงหรือ? น่าเสียดายที่ข้าและพี่ชายต่างอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ทั้งข้าต้องสืบทอดกิจการของสกุล ต่อไปไม่อาจเป็นขุนนางได้อีกแล้ว เกรงว่าไม่อาจช่วยเหลืออะไรเจาหยางได้หรอก”
กู้ฉ่างยอมรับว่าเขามีความคิดนั้นอยู่จริงๆ
สมควรพูดว่า มิใช่เขาที่มีแผนการ แต่เป็นอาจารย์ของเขาซุนเกาต่างหาก นี่เป็นสาเหตุให้เขาต้องออกเดินทางมายังแดนเจียงหนานแห่งนี้
การรู้จักเผยเยี่ยน เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น
เดิมเขาคิดว่าสกุลเผยเป็นงูเจ้าถิ่นของเมืองหลินอัน เรื่องของสกุลหลี่นั้น เผยเยี่ยนนับว่าเป็นคนกลาง แทนที่จะไปตามสืบเหตุการณ์จากคนโน้นทีคนนี้ที มิสู้ถามกับเผยเยี่ยนตรงๆ ดีกว่า แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือ คนที่ถูกอาจารย์เขาปรามาสว่า ‘สูงส่งอวดดี ไม่เห็นใต้หล้า’ อย่างเผยเยี่ยนนั้น กลับทำให้อาจารย์ของเขากลายเป็นผู้ที่ประเมินคนผิด
เขาใช่ว่าสูงส่งยโสที่ใดกัน นี่คือดวงตากระจ่างใสไร้เศษฝุ่น และดวงตากระจ่างใสไร้เศษฝุ่นนี่เองที่ทำให้เขาเห็นความยิ่งใหญ่และเชื่อมั่นในเรื่องต่างๆ อย่างถ่องแท้ ตรงกันข้ามกับ ‘ไม่เห็นใต้หล้า’ ตามที่อาจารย์เขาบอกโดยสิ้นเชิง เขาถึงได้อาศัยวาสนาที่เคยเป็นศิษย์ได้รับการสั่งสอนวิชาพิณจากเสิ่นซ่านเหยียน ขอให้เขาช่วยแนะนำและพาตนมาที่จวนสกุลเผย
ส่วนเผยเยี่ยน แค่เขาเอ่ยถึงหัวข้อ ก็คาดเดาจุดประสงค์ที่เขามายังเจียงหนานได้ในทันที
กระทั่งผู้ที่เคยโลดโผนบนเส้นทางขุนนางอย่างเสิ่นซ่านเหยียนยังมองไม่ออก ทว่าเผยเยี่ยกลับพูดมันออกมาอย่างเปิดเผยได้โดยไร้ซึ่งความยำเกรง
เห็นได้ชัดว่าเผยเยี่ยนผู้นี้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากเพียงใด
ผู้ที่มีความสามารถยืนอยู่เหนือคนอื่น มักจะชื่นชอบคนที่สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่หรือไม่ก็คนที่ยืนอยู่จุดที่สูงกว่าตนเอง
กูฉ่างเอ่ยเป็นนัยว่า “ใต้เท้าเฝิงห่วงใยบ้านเมืองรักใคร่ปวงประชา เหล่าบัณฑิตเคารพยกย่องเขา อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้คนถ่อยกำเริบเสิบสาน วิญญูชนต้องจนตรอกน่าสังเวช!”
คุกหลวงในตอนนี้ ถูกกุมอยู่ในมือขุนนางคนสนิทซึ่งมีตำแหน่งเป็นซือหลี่เจี้ยน[3]
ทุกๆ ปีไม่รู้มีคนมากมายเท่าไรที่ตายไปอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม
เผยเยี่ยนกลับไม่แยแส กระทั่งมารยาทในการชงชาให้แขกก็คร้านจะแสร้งทำต่อแล้ว เขาเอนหลังพิงหมอนอิงใบใหญ่อย่างเกียจคร้าน แล้วรินน้ำชาให้ตัวเองแทน “เจาหยางอาจจะยังไม่รู้ พี่ชายของสะใภ้ใหญ่บ้านพี่ชายคนโตของข้า ก็เป็นขุนนางอยู่ที่ไท่ฉางซือหลายปีแล้ว”
ไท่ฉางซือเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องจารีตและดนตรีในพิธีการ งานเซ่นไหว้เทพเจ้ารวมทั้งศาลบรรพชน ทว่าใต้หล้านี้ ล้วนเป็นแผ่นดินของโอรสสวรรค์ เรื่องของราชวงศ์จะขีดเส้นแบ่งระหว่างครอบครัวหรือบ้านเมืองให้ชัดเจนได้อย่างไร เหล่าขันทีในสำนักยี่สิบสี่[4]บางครั้งไม่อาจรายงานบัญชีคลังออกมาได้ ก็จะโยนไปทางไท่ฉางซือ ส่วนบางครั้งที่ไท่ฉางซือไม่อาจบอกที่มาที่ไปของบัญชีได้ ก็จะเชิญให้ขันทีในสำนักยี่สิบสี่ช่วยพูดแก้ต่าง ความสัมพันธ์ของคนสองกลุ่มจึงแน่นแฟ้นยิ่ง
ความหมายของเผยเยี่ยนก็คือ เรื่องของเหล่าขันที เขาไม่คิดเข้าแทรก
ซึ่งนี่เป็นท่าทีที่ต่างจากเหล่าบัณฑิตทั้งหลายไปคนละโยชน์
เสิ่นซ่านเหยียนกลัวว่าสองคนจะไหลตามน้ำไปไกล ชายหนุ่มมากด้วยพรสวรรค์ที่ครอบครองตำแหน่งต้นๆ ของสองสกุลต่างไม่มีใครยอมถอย เกรงว่าจะเกิดปากเสียงแล้วผิดใจกัน ต่อไปยิ่งไม่ต้องถามถึงการร่วมมืออย่างจริงใจแล้ว แค่ได้ยินชื่อของอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมจะนั่งร่วมโต๊ะด้วย นี่นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของเหล่าบัณฑิตเลยทีเดียว
เขารีบพูดแทรกว่า “วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส พวกเจ้าดีชั่วอย่างไรก็เป็นผู้เล่าเรียนวิชา เหตุใดเอาแต่คุยเรื่องราชสำนักจนละเลยต่ออากาศที่สดชื่นเช่นนี้? เจาหยาง วันนี้เจ้าเป็นคนเริ่มเรื่อง ให้ดื่มน้ำชาสามจอกเป็นการรับโทษ” พูดจบ เขาก็รีบชงชาแล้วแบ่งไปให้กู้ฉ่าง พลางหัวเราะแล้วเอ่ยเร่งว่า “ดื่มเร็วเข้าสิ”
กู้ฉ่างเพียงแค่ทนไม่ไหว อยากลองหยั่งเชิงความรู้ความสามารถของเผยเยี่ยนดู สองคนเดิมก็ไม่มีบัญชีความแค้นต่อกัน แล้วเขาจะล่วงเกินเผยเยี่ยนได้อย่างไร?
เสิ่นซ่านเหยียนหาบันไดให้เขาปีนลง เขายิ้มอย่างปลอดโปร่งทีหนึ่ง แล้วยกถ้วยชาขึ้น กล่าววาจาตามมารยาทสองสามคำ แล้วเอ่ยอย่างจริงใจว่า “สยากวง ข้าอาศัยอยู่เมืองหลวงมานาน กลายเป็นคนหยาบคายไปแล้ว พอเห็นใครก็ชวนคุยไปหมดทุกเรื่อง สยากวงได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี จึงไม่ไล่ตะเพิดข้าออกไปเสียก่อน ข้าขอคารวะเจ้าจอกหนึ่ง”
เผยเยี่ยนหน่ายใจกับท่าทางจอมปลอมของเขาเต็มแก่ ตัดสินใจจะไว้หน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย
หากว่ากู้ฉ่างยังวางตัวเช่นนี้ไม่เลิก เขาก็จะตะเพิดคนออกไปทันที
ยังดีที่ภายหลังกู้ฉ่างเอาแต่ชวนเขาคุยเรื่องความเป็นมาของขาตั้งสำริดเล็กๆ ใบหนึ่งซึ่งพบในเมืองหลวง พวกเขาสนทนาต่ออย่างไร้ข้อพิพาท มองแล้วคล้ายคุยกันอย่างออกรสจนถึงช่วงสุดท้าย
เสิ่นซ่านเหยียนเห็นแล้วก็ชื่นใจ
ใต้หล้านี้คงไม่มีใครจะโชคดีเท่าเผยเยี่ยนอีกแล้ว
จางอิงเจ้าจิ้งจอกเฒ่าก่อนจะเกษียนราชการกลับบ้านเดิมก็รับเขาเอาไว้เป็นศิษย์ในสำนัก ทำให้เขากลายเป็นผู้ที่มีเส้นสายและต้นทุนในแวดวงการปกครองจนผู้อื่นได้แต่อิจฉาตาร้อนในชั่วข้ามคืน
ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยไม่เพียงเรียกตัวเผยเยี่ยนกลับไปทั้งยังให้เขาเป็นผู้สืบสกุล…เสิ่นซ่านเหยียนคิดว่าท่านผู้เฒ่าก่อนตายคงสติเลอะเลือน แต่ตอนที่เขารู้เรื่องมันก็สายเกินไปเสียแล้ว ต่อให้เกลี้ยกล่อมท่านผู้เฒ่าอย่างไรก็ไม่ทันการ เขาคาดหวังอย่างยิ่งที่จะเห็นเผยเยี่ยนเก็บซ่อนตัวเองอย่างโลกภายนอก เป็นเก๋อเหล่าในชุดขาว ทุ่มเทความคิดเรี่ยวแรงให้กับบัณฑิตในเจียงหนาน
สิบกว่าปีมานี้ พวกเขาถูกบัณฑิตทางเหนือกดข่มไว้อยู่กลายๆ หากว่าไม่พุ่งชนสักครั้ง บัณฑิตเจียงหนานคงจะได้รับผลกระทับครั้งใหญ่
นี่มิใช่เรื่องของหนึ่งหรือสองสกุลเท่านั้น
แต่เกี่ยวพันกับทุกสกุลที่เป็นบัณฑิตในเจียงหนานเลยทีเดียว
เผยเยี่ยนยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง กู้ฉ่างก็เข้าใจความเป็นไปตามครรลอง ทำให้เขาพอมองเห็นความหวังของบัณฑิตในเจียงหนานขึ้นมาบ้างแล้ว
เสิ่นซ่านเหยียนกับกู้ฉ่างรั้งตัวเองอยู่กินมื้อเย็นที่จวนสกุลเผย ภายหลังถึงยอมกลับสำนักศึกษาประจำอำเภอไป
กู้ฉ่างอาศัยค้างแรมอยู่กับเสิ่นซ่านเหยียน
บ่าวรับใช้ข้างกายเสิ่นซ่านเหยียนเห็นดวงตาเขาแจ่มใส ก็อดจะถามอย่างงุนงงมิได้ว่า “นายท่านวันนี้ไม่ดื่มสุราหรือขอรับ?”
“พวกเราไปจวนสกุลเผยมา!” เสิ่นซ่านเหยียนตอบกลับ หยุดล่ำลากับกู้ฉ่างไม่กี่คำ จากนั้นก็นัดแนะว่าพรุ่งนี้จะหาวิธีลากเผยเยี่ยนไปเที่ยวที่วัดเจาหมิง แล้วแยกย้ายกันไป
บ่าวรับใช้ข้างกายกู้ฉ่างเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบกว่าชื่อว่าเกาเซิง เป็นท่านตาส่งมาให้ดูแลพวกเขาสองพี่น้องด้วยกลัวจะถูกคนรังแกหลังจากที่มารดาเสียไป หากจะบอกว่าเกาเซิงเป็นบ่าวรับใช้ ไม่สู้พูดว่าเขาเป็นทั้งองครักษ์ บ่าวผู้ซื่อสัตย์ และสหายรู้ใจจะถูกต้องกว่า
เห็นว่ากู้ฉ่างกลับมา เขาก็รับใช้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้
กู้ฉ่างเห็นว่าในห้องไม่มีคน จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปทำเป็นอย่างไรบ้าง?”
เกาเซิงเป็นคนร่างสูงใหญ่ หน้าตาสามัญ ทว่ากิริยาท่าทางของเขากลับทำให้คนรู้สึกอุ่นใจน่าพึ่งพา
“ทำตามที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้วขอรับ” เขาตอบ นัยน์ตาวาบแสงดูแคลน เอ่ยต่อหลังหยุดคิดไปครู่หนึ่งว่า “สกุลหลี่เหมือนแมลงวันไร้หัว ตอนนี้ก็ยังตามสืบไม่ได้ว่าเป็นฝีมือของใคร”
“พวกสวะ!” กู้ฉ่างได้ยินดวงหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ ตอบกลับไปอย่างดุดันว่า “มิใช่บอกว่าเป็นคุณชายผู้มากพรสวรรค์รึ? กระทั่งครอบครัวพ่อค้าธรรมดาๆ ยังจัดการไม่ได้ วิชาที่ร่ำเรียนมาคืนใส่ท้องสุนัขไปแล้วรึ? ตอนนั้นทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้มากมาย เขากลับสืบอะไรไม่เจอสักอย่าง ก็ไม่แปลกที่น้องสาวข้าจะดูถูกเขา! ข้าว่าเขาคงเป็นพวกท่าดีทีเหลวแน่แล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าให้คนไปส่งจดหมายถึงคุณหนูหน่อย เล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง บอกว่าข้าเห็นด้วยให้นางถอนหมั้นเสีย”
“ขอรับ” เกาเซิงรับคำอย่างนอบน้อม
กู้ฉ่างเอ่ยถึงเผยเยี่ยนว่า “มิน่าตอนที่เขาอยู่เมืองหลวงถึงไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมแต่งกลอน แต่ชื่อเสียงก็ยังกะฉ่อนไปทั่ว ที่แท้ก็เก่งกาจไม่เบา น่าเสียดายที่เขาต้องคอยเฝ้าจวนไว้ทุกข์ ไม่เช่นนั้นคงเป็นตัวเลือกที่ดีมากแน่ๆ”
เกาเซิงไม่ได้ส่งเสียง
กู้ฉ่างเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าหวีผมใหม่ไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถึงเผยเยี่ยนอีกครั้ง “แต่ก่อนข้าคิดว่าที่เขาเก็บตัวอยู่หลินอัน คงเพราะสกุลเขามีรากฐานไม่มั่นคงพอ ตอนนี้ดูท่าแล้ว ข้าคงประเมินสกุลเผยและเผยเยี่ยนต่ำไปหน่อย พวกเรามีญาติที่เกี่ยวดองผ่านการแต่งงานสายใดที่พอจะสนิทสนมกับสกุลเผยและหาเรื่องคุยกับท่านแม่เฒ่าได้หรือไม่? หากว่ามีก็ให้น้องสาวข้าไปโผล่หน้าให้ท่านแม่เฒ่าเห็นสักครั้ง ไม่แน่อาจจับคู่สำเร็จก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ต้องถอนหมั้นให้เรียบร้อยก่อน อย่าได้พัวพันไม่ชัดเจน เผยสยากวงเป็นคนมีเกียรติ ไม่อาจทำให้เขาเสียหน้าได้”
คุณชายใหญ่ถูกใจเผยเยี่ยนอย่างนั้นรึ?
เกาเซิงละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “เช่นนี้ดีหรือไม่ขอรับ ข้าไปสืบเรื่องของสกุลเผยให้กระจ่างสักหน่อยก่อน ตามหลักแล้ว คนอย่างนายท่านสาม ใครๆ ต่างก็จับจ้องอยากได้เขามาเป็นเขยทั้งนั้น หากว่าเขามีคู่หมายอยู่แล้วจะทำอย่างไร?”
คุณหนูใหญ่หากว่าถอนหมั้นกับคนของสกุลหลี่ แล้วต่อไปนางจะแต่งให้ใครเล่า? อีกอย่างคุณหนูใหญ่อายุก็ไม่น้อย หลี่ตวนแม้ไม่อาจใช้งานได้ แต่ดีชั่วพูดออกไปก็ยังเป็นผู้เล่าเรียนวิชาคนหนึ่ง หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ อาศัยฝีมือของคุณหนูและคุณชายใหญ่แล้ว คาดว่าน่าจะคุมเขาได้อยู่หมัด คิดเสียว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง
กลัวแต่ว่าเรือทั้งสองลำจะคว้าเอาไว้ไม่ได้ สุดท้ายกลายเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแทน
คำพูดของเกาเซิงเตือนสติกู้ฉ่าง
“เจ้าพูดถูก” เขาสั่งเสียงขรึมว่า “คุณหนูใหญ่ แต่เดิมนางก็ไม่พอใจกับคู่ครองในครั้งนี้ โดยเฉพาะฮูหยินหลี่ที่คุกเข่าให้ท่านพ่อต่อหน้าผู้คนมากมาย ทำให้นางต้องแบกชื่อว่าอกตัญญูทั้งที่ยังไม่ทันได้แต่งเข้าสกุลนั้นเสียด้วยซ้ำ อย่างไรข้าก็อยู่ที่นี่ต่ออีกหลายวัน เจ้าก็จัดการเรื่องงานแต่งของคุณหนูใหญ่ให้เรียบร้อยแล้วค่อยเดินทางกลับเถอะ”
————————————————————-
[1]เจี่ยหย่วน ชื่อเรียกของผู้ที่สอบได้เป็นอันดับหนึ่งในสนามสอบระดับหัวเมืองซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี
[2]นั่งเล่นอยู่ก็เห็นเงาเหยาบนกำแพง กินข้าวอยู่ก็เห็นเงาเหยาในชามข้าว เป็นส่วนหนึ่งของตำรา ‘ฮั่นในภายหลัง ฉบับหลี่กู้’ อุปมาถึง การชื่นชมและระลึกถึงคุณธรรมอันสูงส่งของบรรพบุรุษอยู่ทุกขณะจิต
[3]ซือหลี่เจี้ยน เป็นตำแหน่งที่ถูกตั้งขึ้นในสมัยฮ่องเต้หมิงเซวียนจง มีหน้าที่เป็นผู้ตรวจและอ่านฎีกาถวายแก่ฮ่องเต้
[4]สำนักยี่สิบสี่ เป็นเพียงโครงสร้างที่แต่งตั้งคนให้คอยรับใช้ฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์อื่นๆ ไม่ใช่ระบบของขันทีในราชสำนัก