ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 133 ลงแรง
แต่เข้าใจแล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า อ่านไม่เข้าใจก็คืออ่านไม่เข้าใจอยู่ดี อวี้ถังนึกถึงคำของเผยเยี่ยน หากในตำราอ่านไม่เข้าใจให้ถามบิดา ไม่หรอก นางตัดสินใจจะศึกษาด้วยด้วยตนเอง อ่านไม่เข้าใจก็ไปเปิดตำรา ‘แจกแจงอักษร’ ในเรือนเล่มนั้น นางจะรวบรวมคำถามเขียนลงบนกระดาษไว้ รอวันไหนอากาศไม่ร้อนอบอ้าว นางค่อยกลับไปบ้านเก่าเพื่อถามพวกผู้เฒ่าที่ทำไร่ไถนาเป็น
เมื่อไม่มีการคัดค้านของอวี้ถัง เรื่องที่อวี้เหวินจะลงหุ้นกับนายท่านเจียงจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นไร้ข้อติดขัด
เขาไม่เพียงพานายท่านอู๋ไปพบนายท่านเจียง ทั้งยังเดินทางไปเมืองหนิงปัวกับนายท่านอู๋อีกรอบ นายท่านอู๋หลังจากกลับมาก็เหมือนกับอวี้เหวิน เตรียมจะเพิ่มเงินลงหุ้นอีกห้าร้อยตำลึง แต่ดีชั่วก็ถูกอวี้หย่วนกล่อมแล้วกล่อมอีกจนห้ามเอาไว้ได้
หลังจบเรื่อง ตอนอวี้หย่วนมากินข้าวที่เรือนอวี้ถังก็อดจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ “นายท่านเจียงเก่งกาจไม่เบา ขอเพียงมีคนได้พูดคุยกับเขา ก็ได้รับอิทธิพลจากเขามาด้วย จุดนี้ข้าต้องเรียนรู้จากเขาแล้ว”
อวี้ถังก็คิดแบบเดียวกัน
นางหยิบดอกจำปีเหลืองที่เพิ่งเด็ดมาใส่ลงกล่องน้อยแล้วส่งให้อวี้หย่วน “ให้ป้าสะใภ้กับพี่สะใภ้เจ้าค่ะ ข้าคงไม่ไปแล้ว ท่านพี่ช่วยมอบให้พวกนางด้วย”
เรือนของอวี้ถังไม่มีได้ปลูกต้นจำปีเหลืองเสียหน่อย
อวี้หย่วนถามอย่างแปลกใจว่า “ดอกไม้มาจากไหน? หลายวันนี้เจ้าทำอะไรบ้างเนี่ย? ข้าไม่เห็นเจ้าไปเล่นที่เรือนข้าเลย?”
ช่วงนี้เขามักเฝ้าร้านค้าอยู่ตลอด
หน้าร้อนเป็นช่วงที่ร้านเครื่องลงรักมีงานต้องทำมาก งานแกะสลักลงรักสีแดงมีกรรมวิธีที่ต้องลงสีทับซ้ำ จำนวนครั้งที่ลงสีมีผลต่อจำนวนปีที่ใช้งานกับรูปลักษณ์ของสินค้า จึงไม่อาจสะเพร่าแม้แต่น้อย ปกติช่วงเวลานี้คนในสกุลอวี้มักจะไปขลุกอยู่ที่ร้านเพื่อคุมงานด้วยตนเอง
อวี้ถังเอ่ยว่า “จำปีเหลืองเป็นนายหญิงน้อยจางให้มาน่ะ สองสามวันนี้นางใกล้จะคลอดเต็มแก่แล้ว ข้ากับท่านแม่จึงตั้งใจไปเยี่ยมนาง”
ส่วนว่าหลายวันนี้นางมัวแต่ทำอะไรอยู่ในเรือน นางละอายเกินกว่าจะบอกให้อวี้หย่วนฟัง
หลักๆ ก็คือนางพบว่าแม้จะมีตำรา ‘แจกแจงอักษร’ เล่มนั้น นางก็ยังอ่านตำราที่เผยเยี่ยนให้มาอย่างยากลำบากอยู่ดี
นี่คงเป็นเพราะนางไม่ได้มีสติปัญญามากเท่ากับเผยเยี่ยนกระมัง
อวี้หย่วนได้ฟังอวี้ถังพูดเช่นนั้น ดวงหน้าก็ขึ้นสี ทำท่าอึกอัก
อวี้ถังเห็นก็ประหลาดใจ แต่คนสกุลเฉินตะโกนเรียกนางให้ไปช่วยป้าเฉินยกไหเหล้าไปให้อวี้เหวินกับนายท่านอู๋ที่ดื่มกินอยู่ด้านหน้าเสียก่อน นางจึงไม่ทันได้ถามอย่างละเอียด รอจนคิดออกอีกครั้ง อวี้หย่วนก็ประคองนายท่านอู๋ที่มึนเมากลับไปแล้ว
นางยังติดใจเรื่องนี้อยู่ คิดหาโอกาสไปถามอวี้หย่วน แต่เช้าวันถัดมา สกุลจางก็ส่งข่าวดีมาบอก แจ้งว่าหม่าซิ่วเหนียงคลอดบุตรสาวคนหนึ่งเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา
ความยินดีกระจายทั่วหน้าคนสกุลเฉิน ทางหนึ่งก็รวบรวมเสื้อผ้าและผ้าห่มที่ทำเตรียมเอาไว้ให้ลูกของหม่าซิ่วเหนียง ทางหนึ่งก็มิวายร่ำไรกับอวี้ถังว่า “ซิ่วเหนียงช่างวาสนาดีนัก ได้คนแรกเป็นบุตรสาว แล้วค่อยคลอดบุตรชายออกมาสักคน รวมเป็นคำว่า ‘ประเสริฐ[1]’ พอดี ไม่รู้ว่างานแต่งของเจ้าเมื่อไรจะกำหนดเรียบร้อย ข้าเองก็ไม่สบายใจ บิดาเจ้าก็เอาแต่พูดว่าไม่รีบๆ ปีนี้เจ้าอายุสิบเจ็ด ผ่านอีกปีก็จะสิบแปดอยู่รอมร่อแล้ว”
อวี้ถังไม่กล้าออกเสียง
ช่วงปลายปีมีหลายสกุลมาสู่ขอนาง ไม่ว่าคนสกุลเฉินหรือว่าอวี้เหวินต่างไม่พอใจทั้งสิ้น อวี้เหวินเอาแต่ยึดติดกับวาจาของเสิ่นซ่านเหยียน คิดว่าอวี้ถังมีทั้งความสามารถและมีความคิดเป็นของตัวเอง จะยกนางให้แต่งกับผู้อื่นอย่างลวกๆ เป็นเรื่องน่าเสียดาย จึงตัดบทไปว่า “สกุลเรานั้นแต่งลูกเขยเข้าบ้าน ไม่ได้แต่งลูกสาวออกไปเสียหน่อย ยังต้องห่วงว่าอายุมากเกินไปอีกรึ? อีกอย่างเช่นอาถังของเรานี้ ยิ่งอายุมากกว่านี้หน่อย ยิ่งจะหนักแน่นมั่นคงกว่าเก่า หากไม่มีคนที่ดีก็ค่อยๆ เลือกไป ไม่ต้องรีบร้อน มิใช่มีคำพูดหรือว่า แก่กว่าหุ้มทองสามก้อน[2]รึ? หากไม่ไหวจริงๆ ก็หาที่เด็กกว่าสิ”
ทำเอาคนสกุลเฉินร้อนรนยิ่งกว่าเดิมอีก
นางคิดว่าตอนไปเยี่ยมหม่าซิ่วเหนียงก็จะคุยกับนายหญิงหม่าสักหน่อย ขอให้นายหญิงหม่าช่วยเมียงมองว่ามีผู้ใดเหมาะสมหรือไม่ เพื่อหาคู่ครองให้กับอวี้ถัง
อวี้ถังกลับคิดว่าคำพูดของบิดานั้นสมเหตุสมผล
ตอนนี้นางไม่อยากจะสร้างครอบครัวเลยสักนิด หากเพราะต้องแต่งงานจึงต้องมองหาใครสักคน มิสู้รอให้เจอคนที่เหมาะสมจะดีกว่า
แต่นางก็เข้าใจความรู้สึกของคนสกุลเฉิน ทุกครั้งที่คนสกุลเฉินพูดเรื่องนี้ขึ้นมา นางถึงได้ตีหน้ายิ้มอยู่ข้างๆ เสมอ ด้วยกลัวมารดาจะปวดใจ
สองคนจ้างเกี้ยวสองหลังเดินทางไปที่เรือนสกุลจาง
นายหญิงหม่ากับนายหญิงสกุลอื่นล้วนมาถึงตั้งนานแล้ว ตอนนี้กำลังรุมล้อมอยู่รอบกายหม่าซิ่วเหนียงซึ่งคาดผ้าไว้บนศีรษะ สอบถามไล่เลียงด้วยความเป็นห่วงเป็นใย พอเห็นว่าคนสกุลเฉินสองแม่ลูกมาถึง นายหญิงหม่าก็ลุกขึ้นแล้วสั่งสี่เชวี่ยไปยกไข่หวานต้มน้ำตาลเข้ามา นายหญิงหม่ากับนายหญิงท่านอื่นต่างขยับเว้นพื้นที่ให้คนสกุลเฉินแม่ลูกเข้ามานั่ง
คนสกุลเฉินลากมืออวี้ถังเข้าไป แล้วเอ่ยปากถามเหตุการณ์เมื่อคืนตอนที่คลอด
อวี้ถังเห็นหม่าซิ่วเหนียงหน้าซับสีแดงเรื่อ ดูมีชีวิตชีวา คิดว่าแม้ตอนคลอดจะต้องอดทนอย่างทุกข์ทรมาน แต่สามารถฟื้นร่างกายได้ขนาดนี้เพียงข้ามคืน สุขภาพคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผู้อื่นจึงไม่ให้ความใส่ใจนางเท่าไรนัก ทว่าความสนใจทั้งหมดกลับพุ่งไปอยู่ที่เด็กน้อยข้างกายซึ่งเพิ่งคลอดออกมา
ผ้าอ้อมสีเขียวอ่อนห่อหุ้มทารกตัวน้อยความยาวประมาณหนึ่งแขนเอาไว้ ดวงหน้าจุ๋มจิ๋มสีแดงก่ำ ดวงตาสองข้างปิดสนิท ริมฝีปากที่เล็กกว่าผลอิงเถาเผยอเปิดน้อยๆ ท่าทางน่ารักน่าชัง จนเกิดเป็นกระแสอุ่นวาบไหลผ่านอกของอวี้ถัง
ชาติก่อน นางข่มกลั้นสุดแรงประคองป้ายชื่อของหลี่จวิ้นแต่งเข้าไปเป็นม่ายในสกุลหลี่ หลังจากนั้นก็มีเพียงความเงียบเหงาโดดเดี่ยวอันยาวนาน ได้สัมผัสอย่างจริงแท้ว่าการอยู่เป็นม่ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พออายุย่างเข้าวัยยี่สิบสี่ นางก็เฝ้ามองกู้ซีที่มีเด็กตัวเล็กๆ วิ่งอยู่รายล้อม คิดว่าชีวิตนี้ตนคงไม่อาจมีลูกเป็นของตัวเองได้แล้ว ในใจนางทั้งเปรี้ยวฝาดและขมขื่น มองดูเด็กคนอื่นหัวเราะออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะลูกๆ ทั้งสองคนของกู้ซี แม้ตอนที่นางทะเลาะกับกู้ซีจนถึงขั้นแตกหัก บางครั้งที่ได้เจอเด็กสองคนนั้น นางก็มักจะหยิบของอร่อยๆ ให้พวกเขาเสมอ
ตอนนี้ได้เห็นบุตรสาวตัวน้อยของหม่าซิ่วเหนียง ทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทของนาง ไม่ทันไรหัวใจนางก็อ่อนยวบเป็นน้ำ ก้มลงไปคิดจะอุ้มเด็กขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“อย่าก่อเรื่องเชียวนะ!” คนสกุลเฉินรั้งตัวนางไว้ แล้วหัวเราะพลางกระซิบว่า “เด็กยังตัวเล็กอยู่ ให้เจ้าเล่นด้วยตามใจไม่ได้ เจ้าแค่มองด้วยตาก็พอแล้ว จะเข้าไปอุ้มไม่ได้เด็ดขาด ระวังจะทำให้เอวน้อยๆ แขนน้อยๆ นั่นเคล็ดเข้า”
นายหญิงหม่าฉีกยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไรๆ นางอยากอุ้มก็ให้นางอุ้มเถอะ สอนนางหน่อยว่าอุ้มอย่างไรก็ใช้ได้แล้ว” พูดจบ ยังเอ่ยล้อเลียนต่อว่า “ไม่แน่ต่อไปซิ่วเหนียงของข้าอาจต้องให้อาถังมาช่วยอุ้มลูกด้วยเช่นกัน!”
คนสกุลเฉินตอบอย่างเกรงใจว่า “ไม่มีทางข้ามขั้นไปถึงนางแน่!”
อวี้ถังกลับร้อนใจอยากลอง แต่ถูกคนสกุลเฉินฟาดมือเข้าใส่
ทุกคนต่างพากันหัวเราะเสียงดัง
ทันใดนั้นสี่เชวี่ยก็เดินเข้ามาแล้วเชิญทุกคนไปกินไข่หวานต้มน้ำตาลที่โถงรับรอง
แต่ละคนลุกขึ้นยืนแล้วเคลื่อนตัวไปยังห้องโถง
อวี้ถังออกตัวแข็งขันว่าจะอยู่เป็นเพื่อนหม่าซิ่วเหนียง ทั้งยังตั้งใจเรียนรู้อยู่ครู่หนึ่ง จนสามารถอุ้มเด็กตัวเล็กๆ ได้
เพียงแต่พอเด็กเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน นางก็อุ้มแล้วโยกกล่อมเด็กน้อยไปมา
หม่าซิ่วเหนียงได้เป็นมารดาครั้งแรก คิดว่าตอนเล็กๆ ก็เห็นมารดาอุ้มน้องชายเช่นนั้น จึงไม่ได้สนใจ ปล่อยให้อวี้ถังอุ้มไปตามสบาย แล้วคุยเล่นกับอวี้ถังว่า “…ตอนแรกตั้งชื่อเล่นไว้หลายชื่อ ทั้งอาฝูเอย อาเป่าเอย อาจูเอย แต่ก็ดูเชยสิ้นดี เจ้าว่า พี่เขยเจ้าอย่างไรก็เป็นถึงบัณฑิต เหตุใดการตั้งชื่อจึงยากเย็นเพียงนั้นเล่า? ความคิดข้า เด็กคนนี้คลอดตอนดึก สมควรเรียกว่าหว่านเสียหรือไม่ก็หว่านฉิงจะเพราะกว่า!”
อวี้ถังอิจฉาแทบกระอัก นางเม้มปากยิ้มพลางฟังเสียงของหม่าซิ่วเหนียงไป กระทั่งตกเย็นกลับถึงเรือน นางเพิ่งพบว่าแขนของตนยกไม่ขึ้นแล้ว
คนสกุลเฉินหัวเราะเอ่ยว่า “สมควร! ห้ามให้เจ้าไม่ให้อุ้ม เจ้าก็ไม่ฟัง ตอนนี้รู้ฤทธิ์แล้วหรือยังเล่า”
อวี้ถังหัวเราะเหอะๆ วันถัดมาก็อดใจไม่ได้ต้องวิ่งไปดูเด็กน้อยที่เรือนสกุลจางอีกครั้ง แม้แต่หนังสือเหล่านั้นที่เผยเยี่ยนให้มาก็ไม่มีกะใจจะอ่าน ตอนพิธีสรงสาม[3]นางยิ่งยุให้มารดาต้องเสียเงินไปหนึ่งก้อนเล็ก…ส่วนหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนเมื่อเข้าร่วมพิธีสรงสามไม่จำเป็นต้องมอบของขวัญให้
นายหญิงหม่ารู้เรื่องก็เข้ามากอดอวี้ถังอย่างรักใคร่ แล้วหัวเราะพลางบอกเหล่าสตรีที่มาร่วมพิธีว่า “ดูสิ่งที่ท่านอาน้อยอย่างอาถังทำเข้าสิ ต่อไปถ้าฉิงเอ๋อร์โตขึ้น จะต้องไม่ลืมกตัญญูต่อท่านอาน้อยแน่!”
บุตรสาวของหม่าซิ่วเหนียงมีชื่อว่าจางฉิง มีชื่อเล่นว่าฉิงเอ๋อร์ เพราะเรื่องนี้หม่าซิ่วเหนียงยังบ่นให้อวี้ถังฟังว่า “พี่เขยเจ้าบอกว่ากลัวเรียกหลายคำแล้วเด็กจะจำสับสน จึงให้ข้าเรียกไปแบบนี้”
อวี้ถังหัวเราะขำใหญ่
จางฉิงหนึ่งวันก็เปลี่ยนไปหนึ่งแบบ ทำให้นางตื่นเต้นและประหลาดใจได้ไม่หยุด
นางวิ่งไปเรือนสกุลจางอยู่ห้าวัน ผลร้ายก็เริ่มปรากฏแล้ว
จางฉิงหากไม่มีคนอุ้มโยกกล่อมจะไม่ยอมหลับ แม่นมของจางฉิง สี่เชวี่ย รวมถึงหม่าซิ่วเหนียงสองสามีภรรยาต่างสลับเวลากันอุ้มนางเข้านอน เพราะจางฮุ่ยแบกดวงตาดำคล้ำสองข้างเข้าร่วมงานเลี้ยงครบเดือนของบุตรสาว ทำเอาหม่าซิ่วเหนียงโมโหกัดฟันกรอดๆ แล้วเรียกอวี้ถังไปบอกว่า “นับจากวันนี้เจ้าก็นอนที่เรือนข้าเลย ทุกวันต้องอุ้มกล่อมนางหนึ่งชั่วยาม ให้พวกเราได้ไปพักบ้าง”
อวี้ถังยิ้มอย่างยินดี หาจังหวะว่างวิ่งกลับไปถามคนสกุลเฉินที่เรือนตนว่า “นี่เป็นเรื่องที่ข้าก่อขึ้นอย่างนั้นรึ?”
“ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร?” คนสกุลเฉินรู้เรื่องเข้าก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ดีดหน้าผากอวี้ถังไปหลายที จากนั้นก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “คุณชายจางนับว่าไม่เลว ยังช่วยหม่าซิ่วเหนียงเลี้ยงลูก หากลูกเขยในอนาคตดีได้สักครึ่งของคุณชายจาง ข้าก็พอใจแล้ว”
อวี้ถังบุ้ยปาก เอ่ยว่า “ท่านวางใจได้ ลูกเขยในอนาคตจะต้องดีกว่าคุณชายจางเป็นร้อยเท่าเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าก็คุยโวไปเถอะ!” คนสกุลเฉินแค่นเสียง “เพราะบิดาเจ้าตามใจจนเคยตัว”
อวี้ถังยิ้มหน้าแป้นแล้วเข้าไปนวดไหล่ให้คนสกุลเฉิน
ด้านนอกพลันมีเสียงอวี้เหวินดังลอดเข้ามา “อาถัง ออกมาเร็วเข้า ต้นอ่อนของต้นซาจี๋ที่ข้าฝากให้ท่านเสิ่นหาให้เจ้ามาส่งแล้ว”
อวี้ถังประหลาดใจเกินคาด ยกขาได้ก็วิ่งไปด้านนอกทันที
คนสกุลเฉินตามมาด้านหลัง “เจ้าช้าๆ หน่อย ระวังสะดุดล่ะ”
“ข้ารู้แล้วๆ!” อวี้ถังหัวเราะพลางหันไปรับคำ วิ่งย่ำเท้าไปยังเรือนด้านหน้า
เสียงหัวเราะราวกับกระดิ่งเงินดังลอยตามลมไปทั่วลาน เป็นเหตุให้คนสกุลเฉินที่ยืนมองบุตรสาวอยู่เบื้องหลังใต้ชายคาต้องกระตุกริมฝีปากยิ้มตามไปด้วย
อวี้ถังเห็นแต่ไกลว่ามีเกวียนต้นอ่อนหนึ่งคันจอดอยู่หน้าประตูใหญ่ของเรือน ข้างๆ นั้นนอกจากอวี้เหวิน ยังมีชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าๆ ผิวถูกแดดเลียจนคล้ำ ตัวสูงชะลูด และหน้าตาใจดียืนอยู่ข้างๆ ด้วย
นางร้อง “เอ๊ะ” ออกมาเสียงหนึ่ง
อวี้เหวินกวักมือเรียกนาง “นี่เป็นคนปลูกต้นไม้ที่นายท่านเสิ่นช่วยหามาให้ ชื่อว่าหวังซื่อ ข้าบอกกับอาเสาไว้แล้ว ให้เขาพาหวังซื่อไปหาท่านปู่ห้า แล้วปลูกต้นอ่อนล่วงหน้าไปก่อนเลย พรุ่งนี้เช้าเจ้ากับข้าค่อยเดินทางตามไป”
อวี้ถังตอบรับ “อืม” ไปหนึ่งคำ แล้วมองไปที่เกวียนต้นอ่อนอย่างสำรวจตรวจตรา
ต้นอ่อนพวกนั้นสูงประมาณสามฉื่อ มีดินหนาแน่นหุ้มอยู่รอบๆ ราก ทั้งใช้ผ้าพันเอาไว้ กองจนเป็นชั้นสูง คล้ายจะนับได้อยู่สิบกว่าต้น
มิน่าถึงแพงหูฉี่
หากส่งมาจากซีเป่ยด้วยสภาพนี้ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่คนกับลาลากเกวียนก็หมดเงินไปไม่น้อยแล้ว
นางถามหวังซื่อว่า “เจ้ามาจากที่ไหนเล่า?”
หวังซื่อพ่นวาจาที่ทำให้คนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างออกมา อวี้ถังฟังอยู่หลายรอบกว่าจะเข้าใจว่ามาจาก ‘ซีอัน’
อวี้ถังถามต่อไปว่า “มิใช่บอกว่ามาจากกานซูรึ?”
หวังซื่อหัวเราะใส่แต่ไม่ได้ตอบอะไรอีก
อวี้เหวินกระแอมเบาๆ สองเสียง แล้วเริ่มอธิบาย “ก่อนหน้านี้ต้นอ่อนหนึ่งชุดตายไประหว่างทาง ท่านเสิ่นจึงได้ไปขอให้คนของกรมคลังช่วยเหลือ บังเอิญผู้ว่าการมณฑลซ่านซีไปทำธุระที่กรมคลังพอดี เมื่อได้ยินเรื่องนี้เข้า จึงออกหน้าจัดการให้…”
นี่ไม่ใช่เรื่องต้นไม้เพียงไม่กี่ต้นอีกต่อไปแล้ว
เพราะต้นไม้พวกนี้ ทำให้ต้องติดหนี้น้ำใจคนใหญ่คนโต
หากว่าผลไม้เชื่อมทำออกมาไม่สำเร็จ นางจะตอบคำถามพวกเขาอย่างไรได้เล่า!
————————————————————-
[1]ประเสริฐ หรือคำว่า ห่าว ในภาษาจีน มีความหมายว่าดีหรือประเสริฐ เป็นคำที่ประกอบขึ้นด้วยอักษรสองตัว คือ อักษรที่แปลว่าว่า หญิงและชาย
[2]แก่กว่าหุ้มทองสามก้อน หมายถึง คู่สามีภรรยาที่ฝ่ายหญิงมีอายุมากกว่าฝ่ายชาย เชื่อกันว่ามีข้อดีสามประการ หนึ่ง ดูแลสามีประดุจสามีเป็นลูกชาย สอง ให้คำปรึกษาประดุจสามีเป็นน้องชาย สาม ต่อหน้าสังคม เคารพเชื่อฟังสามีเหมือนภรรยาทั่วไป
[3]พิธีสรงสาม จัดขึ้นในวันที่สามหลังจากทารกคลอดออกมา เชื่อว่าเป็นการชำระล้างสิ่งสกปรกต่างๆ เพื่อเริ่มต้นเผชิญกับโลกความจริงอย่างสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งมีความเชื่อว่าเป็นการเสริมความกล้าหาญและสุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย