ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 136 ล้มเหลว
นายท่านอู๋เป็นคนปราดเปรื่อง หากมิเช่นนั้น เขาคงไม่ฝ่าฟันจนมีกิจการใหญ่โตเช่นนี้ แม้เขาจะเชื่อมั่นในอวี้เหวิน เชื่อมั่นในสายตาของตน แต่อย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักกับเจียงเฉา เจียงเฉาต่อให้พูดจาเสนาะเพราะหูเพียงใด เขาก็ย่อมจะระวังตัวไว้อยู่แล้ว พ่อบ้านใหญ่ของสกุลคือคนที่เขาส่งออกไปให้จับตาดูสกุลเจียงเอาไว้ หากสกุลเจียงมีความเคลื่อนไหวแม้เพียงใบไม้ปลิว เขาก็จะรู้เรื่องในทันที
ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ฟังวาจาของพ่อบ้านใหญ่ เขาก็กระเด้งตัว ‘ตึง’ ลุกยืนขึ้นทันที สีหน้ายังย่ำแย่กว่าพ่อบ้านใหญ่ของตนเสียอีก “นายท่านเจียงทางนั้นเกิดเรื่องรึ? เกิดอะไรขึ้น? เจ้าอย่าพูดครึ่งๆ กลางๆ! เล่าออกมาให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้”
อวี้เหวินก็พลันกระสับกระส่ายตามไปด้วย
เขากับนายท่านอู๋สนิทกัน แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เจอหน้าพ่อบ้านใหญ่ผู้นี้ พ่อบ้านใหญ่ผู้นี้ไม่เพียงซื่อสัตย์หนักแน่นและจัดการเรื่องราวได้น่าเชื่อถือ ท่าทางตื่นตูมเอิกเกริกเช่นนี้ เขาเองเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก อีกทั้งคำพูดของพ่อบ้านใหญ่ยังเกี่ยวพันถึงเจียงเฉาผู้ที่พวกเขาร่วมลงหุ้นทำกิจการอีกด้วย
หลังจากที่นายท่านอู๋ลุกยืน เขาก็ดันตัวขึ้นตามด้วยท่าทีตึงเครียด เอ่ยว่า “พ่อบ้านใหญ่ นายท่านเจียงทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?”
พ่อบ้านใหญ่สกุลอู่สูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง แล้วกลืนน้ำลายลงคอ หลังจากปรับอารมณ์ให้สงบลงได้บางส่วนแล้ว ถึงได้เริ่มเปล่งเสียงเล่าว่า “ข้ามิใช่เฝ้าอยู่ที่ซูโจวตลอดหรือขอรับ แต่เริ่มจากหลายวันก่อน ข้าก็ไม่เห็นตัวนายท่านเจียงแล้ว ก่อนหน้าข้ายังคิดว่านายท่านเจียงเดินทางไปหนิงปัว ทว่าใจข้าอย่างไรก็รู้สึกตะหงิดๆ ถึงได้พยายามไปสืบเรื่องสักรอบ จึงพบว่านายท่านเจียงเดินทางไปหนิงปัวจริงๆ แต่ว่าก่อนไปที่นาซึ่งวางประกันไว้กับสกุลซ่ง สกุลซ่งกลับเอาออกมาขาย ข้าเลยคิดว่าเพราะสกุลซ่งไม่พอใจสกุลเจียงหรือไม่ ถึงตั้งใจทำให้สกุลเจียงกลายเป็นตัวตลก ข้าจึงแอบไปโรงจำนำที่นายท่านเจียงจำนำเรือเอาไว้ ปรากฏว่า…”
เขาทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ราวกับเปล่งเสียงพูดไม่ออก
สีหน้าของนายท่านอู๋กับอวี้เหวินยิ่งไม่น่ามองขึ้นไปอีก เวลาเดียวกันก็เอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า “ปรากฎว่าอะไรล่ะ?”
ดวงตาของพ่อบ้านใหญ่มืดมน เอ่ยปากด้วยความยากลำบากออกมาว่า “ปรากฎว่าตั้งแต่สี่วันก่อน นายท่านเจียงได้เปลี่ยนจากจำนำเป็นเป็นจำนำตายแล้วขอรับ!”
จำนำเป็น สามารถกำหนดเวลาเพื่อมาไถ่ของคืนได้ จำนำตาย ก็คือการลงชื่อบนหนังสือสัญญา ว่าต่อให้ภายหลังหาเงินมาได้ ก็ไม่อาจกลับมาไถ่ของคืนได้แล้ว อีกอย่าง ราคาของของที่จำนำตายสูงกว่าจำนำเป็นไม่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น
ภาพเบื้องหน้าของอวี้เหวินดำมืด ในพริบตาคนก็ร่วงตุบลงบนเก้าอี้ไท่ซือ
นายท่านอู๋ร่างกายโอนเอน แต่ก็ยังแข็งใจได้กว่าอวี้เหวิน เขาใช้มือพยุงมุมโต๊ะเพื่อทรงตัวให้มั่น ถามพ่อบ้านใหญ่ด้วยเสียงรัวเร็วว่า “แล้วนายท่านเจียงล่ะ? มารดาและน้องสาวของเขายังอยู่ที่ซูโจวหรือไม่?”
“อยู่ขอรับ!” พ่อบ้านใหญ่ตอบเสียงขื่น “แต่ดูท่าทาง พวกนางคงยังไม่รู้ว่านายท่านเจียงไม่อยู่ที่ซูโจวแล้ว ข้าไม่อยากรบกวนท่านแม่เฒ่า จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแจ้งชื่อท่านกับนายท่านอวี้เอาไว้ อ้างว่าแวะมาเยี่ยมนายท่านเจียงขอรับ…”
นายท่านอู๋เวลานี้รู้สึกว่าในใจมีสารพัดอารมณ์ตีกันวุ่น พลันไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกมาดี ได้แต่พยักหน้าตามสัญชาตญาณ “ไม่ต้องบอกก็ดี คนในครอบครัวจะได้ไม่เป็นห่วง ไม่ว่าเราจะมีความแค้นกับสกุลเจียงหรือไม่ ก็ไม่อาจรังแกแม่เฒ่าที่เป็นม่ายอย่างเด็ดขาด เรื่องใดๆ ล้วนต้องแยกแยะ สิ่งนี้นับว่าเจ้าทำถูกต้องแล้ว”
พ่อบ้านใหญ่ก้มหน้างุด เอ่ยเสียงเบาว่า “ต่อมาข้าไปที่ร้านค้าของนายท่านเจียง ยังมีสถานที่ที่เขามักไปบ่อยๆ ล้วนแต่ไม่เจอเขาทั้งสิ้น เด็กในร้านค้ารวมถึงเสี่ยวเอ้อร์ในโรงสุราและโรงน้ำชาต่างบอกว่าไม่เห็นหน้านายท่านเจียงหลายวันแล้ว ข้าจึงแอบไปสืบอย่างลับๆ อีกรอบ สกุลอื่นที่ลงหุ้นทำการค้าทางทะเลกับนายท่านเจียง ล้วนแต่นำเงินมอบให้นายท่านเจียงแล้ว…ข้าคิดว่า พวกเราควรจะเดินทางไปเมืองหนิงปัวสักครั้งหรือไม่…”
“ไป!” นายท่านอู๋ได้ฟัง ก็คล้ายว่าดึงสติกลับมาอีกครั้ง แล้วเอ่ยเสียงเหี้ยมว่า “เมืองหนิงปัวไกลจากที่นี่ไม่มาก พวกเราก็ไม่ได้ขัดสนค่าเดินทาง อย่างไรก็ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง เขาจะอยู่ที่หนิงปัวจริงหรือไม่? แล้วไปทำอะไรที่หนิงปัว? หากว่าเข้าใจผิด ข้าค่อยไปขอโทษเขา”
แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดเล่า?
นั่นก็หมายความว่าเจียงเฉาหอบเงินที่พวกเขาลงหุ้นหนีไปแล้วน่ะสิ?!
กลางอกของอวี้ถังคล้ายมีหินก้อนใหญ่กดทับไว้ เป็นนานที่พูดอะไรไม่ออก
ชาติก่อน เจียงเฉาเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จและรักษาสัจจะ เหตุใดพอมาถึงนางตอนนี้กลับเปลี่ยนราวพลิกฝ่ามือเช่นนี้เล่า?
ที่แท้เป็นเพราะนางมองคนผิด หรือเพราะการเข้าร่วมของนางกันแน่ เรื่องราวถึงได้เปลี่ยนไปจากชาติก่อนมากขนาดนี้?
ปากของอวี้ถังเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ นางอยากถามนายท่านอู๋ แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
ตอนที่นางเรียบเรียงความคิดจะเปิดปากถามออกไป ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจของซวงเถา “นายหญิง ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
สายตาของทุกคนพุ่งไปที่ร่างของคนสกุลเฉินทันที
ไม่รู้ว่าคนสกุลเฉินเป็นลมไปตั้งแต่ตอนไหน ร่างของนางกำลังร่วงลงพื้น
“ท่านแม่!” อวี้ถังกระโจนเข้าไปหา ประคองร่างของคนสกุลเฉินไว้ทันเวลา
อวี้เหวินก็ตกใจจนหน้าไร้เลือด ทางหนึ่งช่วยอวี้ถังประคองคนสกุลเฉิน ทางหนึ่งก็กดเข้าที่จุดเหรินจง[1]พลางพึมพำเฉกคนขวัญเสียว่า “เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจแบบนี้ เจ้าเพิ่งจะฟื้นสุขภาพให้ดีขึ้นมาได้ หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าจะทำอย่างไรเล่า!”
อวี้ถังยิ่งขุ่นเคืองไม่หาย
นางลืมไปได้อย่างไรว่ามารดาก็อยู่ตรงนี้ด้วย มัวแต่ไปคิดเรื่องกำไรขาดทุนอยู่นั่น กลับละเลยความรู้สึกของมารดาไป
สกุลนางลงเงินไปหกพันตำลึง นับเป็นเงินก้อนมโหฬาร
คนมากมายทั้งชีวิตยังไม่เคยมีเงินถึงหกร้อยตำลึงด้วยซ้ำ
นางรีบพูดกับบิดาว่า “ท่านแม่น่ากลัวจะได้รับความตกใจ ท่านรีบพาท่านแม่กลับห้องไปก่อน ซวงเถา เจ้าไปเชิญท่านหมอมา”
นายท่านอู๋เพิ่งได้สติเช่นกัน เอ่ยเร่งร้อนว่า “ฮุ่ยหลี่ บุตรสาวเจ้าพูดถูก เจ้ารีบพาน้องสะใภ้ไปพักผ่อนก่อน คนนั้นมีชีวิต ค้าขายเป็นของตาย ไม่อาจเพราะเรื่องเงินทองทำให้น้องสะใภ้ต้องลำบากไปด้วย พวกเราร้อนใจหาเงิน มิใช่ต้องการให้คนในครอบครัวใช้ชีวิตสุขสบายอย่างนั้นหรือ?”
อวี้เหวินรู้สึกตื้นตัน เขาอุ้มคนสกุลเฉินเข้าห้อง รินชาร้อนส่งให้อวี้ถังแล้วให้นางป้อนคนสกุลเฉิน เสร็จแล้วจึงออกไปรอท่านหมอที่ด้านนอก
นายท่านอู๋ก็รออวี้เหวินอยู่ด้านนอกด้วยความร้อนใจ เห็นว่าเขาเดินออกมา ก็รีบสาวเท้าเข้าไปหา “กิจการแม้จะสำคัญ แต่สุขภาพของน้องสะใภ้เป็นเรื่องใหญ่กว่า ซูโจวทางนั้นตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งยุ่งเลย ข้าจะไปด้วยตนเองสักครั้ง นี่ก็ใกล้วันไหว้พระจันทร์แล้ว อย่างไรก็คงต้องรอให้ผ่านวันไหว้พระจันทร์ไปก่อนแล้วค่อยมาหารือกัน”
อวี้เหวินทั้งรู้สึกผิดทั้งซาบซึ้งใจ ประสานมือคารวะนายท่านอู๋ไปครั้งหนึ่ง เอ่ยอย่างละอายว่า “ท่านพี่อู๋ เป็นเพราะข้าทำให้ท่านต้องลำบากไปด้วย”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร?” นายท่านอู๋แสร้งตีหน้าขึงขัง “ข้ายินยอมลงหุ้นด้วยตัวเอง อีกอย่างทำมาค้าขายมีกำไรก็ต้องมีขาดทุนเป็นธรรมดา เจ้าก็อยู่เรือนดูแลน้องสะใภ้ให้ดี หากว่ามีข่าวอะไรข้าจะรีบมาบอกเจ้าก็แล้วกัน”
อวี้เหวินไปส่งนายท่านอู๋ที่หน้าประตูด้วยความละอาย
หลังจากที่ท่านหมอมาถึง ก็ซื้อยาและต้มยากันจนวุ่นวายไปตลอดทั้งบ่าย กระทั่งคนสกุลเฉินดื่มยาลงไปแล้ว ทั้งมีอวี้ถังคอยปลุกปลอบอยู่เคียงข้างอาการจึงค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งก็เป็นเวลาที่ต้องจุดตะเกียงพอดี
คนสกุลเฉินแต่ไรก็เคารพให้เกียรติสามี แม้จะเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ แต่คิดว่าอย่างน้อยทุกคนในครอบครัวยังอยู่กับพร้อมหน้าเป็นสุข ในใจจึงไม่ได้โศกเศร้ามากนัก นางเรียกให้ป้าเฉินไปหยิบเครื่องประดับซึ่งเป็นสินเดิมของนางออกมาแล้วส่งให้กับอวี้เหวิน เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ท่านไม่ต้องร้อนรนไป ข้ายังมีเครื่องประดับผมพวกนี้ ตั๋วเงินสองร้อยตำลึง ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านเคยให้ข้าไว้ ท่านก็เอาไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน”
อวี้เหวินจะกล้ารับสิ่งของของภรรยาได้อย่างไร เขาเอ่ยเป็นพัลวันว่า “คำนี้ต้องเป็นข้าที่พูดกับเจ้ามากกว่า เงินก้อนนั้นแม้จะมาก แต่ก่อนหน้านี้ข้าพูดไว้แล้ว เมื่อเป็นลาภลอย ก็คิดเสียว่าไม่เคยได้มันมาก็แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองของเจ้ามาชดเชยให้ข้าหรอก รีบเก็บไปเดี๋ยวนี้ ครอบครัวเรายังไม่ขัดสนจนให้เจ้าต้องควักเงินเอง”
วูบหนึ่งเขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้บอกเรื่องแผนที่กับภรรยา ไม่อย่างนั้นภรรยาของเขาคงไม่ต้องเป็นทุกข์เช่นนี้
ขณะที่อวี้เหวินลังเล ครอบครัวของอวี้ป๋อก็มาถึงกันแล้ว
จริงดังคำเขาว่า เรื่องดีไม่ออกนอกบ้าน เรื่องร้ายได้ยินไกลพันลี้ อวี้เหวินทางนี้เพิ่งจะเกิดปัญหา อวี้ป๋อทางนั้นก็รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว
คนสกุลหวังกับคนสกุลเซียงเข้าไปด้านในห้องเพื่อปลอบใจคนสกุลเฉิน อวี้ป๋อตีหน้าตึงนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับอวี้เหวิน “เจ้ามีปัญญากว่าข้า เรื่องของเจ้าแต่ไรข้าไม่เคยยุ่ง แต่ครั้งนี้เจ้าต้องเล่าความจริงให้ข้าฟังแล้ว เจ้าได้ติดหนี้ข้างนอกไว้หรือไม่?” ทั้งถามต่อว่า “ร้านค้าของสกุลเราแม้ทำกำไรได้ไม่มาก แต่อย่างไรก็หาได้มากกว่าเรือกสวนไร่นาของเจ้า เงินของนายท่านอู๋ ข้าจะหาวิธีช่วยเจ้าใช้คืน เจ้าทางนี้ ก็ร่ายลำดับก่อนหลังออกมา หากว่าหาเงินใช้คืนไม่ได้ ข้าค่อยหาทางช่วยเจ้าอีกแรง!”
นี่เพราะมั่นใจว่าอวี้เหวินไปติดหนี้คนข้างนอกรึ?
ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิดว่าเป็นเงินที่ได้เพราะลาภลอย
ยิ่งในเวลาเช่นนี้ อวี้เหวินยิ่งไม่อาจพูดกับพี่ชายให้ชัดเจนได้
เขาเอ่ยอย่างละอายว่า “ท่านพี่ ข้าเองก็อายุมากแล้ว จะทำสิ่งใดลงไปก็รู้จักแยกแยะหนักเบาอยู่ เงินก้อนนั้นได้มาเพราะลาภลอยจริงๆ ส่วนเรื่องเงินของนายท่านอู๋ ข้ากับนายท่านอู๋ได้คุยกันไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลไป ตั้งใจทำมาค้าขายต่อไปก็พอ”
“ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องพูดเหมือนเป็นคนนอก” ไม่รู้ว่าคนสกุลหวังเดินออกมาจากห้องด้านในตั้งแต่เมื่อไร นางยืนพิงประตูห้องด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า “ก่อนหน้านี้เจ้าได้เงินมาก็แบ่งให้พวกเราครึ่งหนึ่ง วันนี้กิจการต้องขาดทุน ย่อมคิดส่วนของพวกเราไปกึ่งหนึ่งด้วย พวกเราแม้จะหาเงินมาให้ทันทีไม่ได้ แต่ว่าเก็บเล็กผสมน้อย ก็ยังพอช่วยเจ้าหาเงินคืนได้บ้าง เจ้าอย่าได้เกรงใจพวกเราเลย หากเจ้าใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก พี่ชายเจ้ากับข้าก็ไม่อาจกินเนื้อดื่มน้ำแกงอย่างสงบได้ จะนับเป็นพี่น้องกันได้อย่างไร?”
อวี้เหวินซึ้งใจหนักหนา แต่เขาไม่ต้องการเงินของพี่ชายจริงๆ เขาได้แต่มองไปทางอวี้หย่วนอย่างขอความช่วยเหลือ หวังว่าอวี้หย่วนจะช่วยเขาพูดอะไรสักสองสามคำ
อวี้หย่วนทำหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เรื่องหลอกลวงหนึ่งเรื่องต้องใช้คำโกหกเท่าใดเพื่อจะปิดบังมัน
เดิมเพื่อความปลอดภัยของคนในสกุลถึงได้ปิดบังเรื่องแผนที่เอาไว้ บัดนี้กลายเป็นความลับที่ไม่อาจบอกใครได้แล้ว
ระหว่างที่เดินมาท่านพ่อก็อบรมเขาไปยกหยึ่งแล้ว เขายังหวังให้ท่านอาช่วยเขาพูดอยู่เลย มีหรือที่เขาจะกล่อมบิดาของตนได้
ผ่านไปสามวัน นายท่านอู๋ก็กลับมาจากหนิงปัวเหมือนพายุพัด เขาผ่านประตูแต่ไม่ได้เข้าเรือน ตรงดิ่งมาที่เรือนสกุลอวี้ทันที
“เป็นนายท่านหวังทางนั้นเกิดเรื่องขึ้น” เขาไม่ทันได้จิบน้ำชาด้วยซ้ำ ก็ยืนเล่าเรื่องราวที่สืบมาได้ให้อวี้เหวินฟังที่ลานด้านหน้า “เถ้าแก่หวังมิใช่คิดจะแยกตัวจากนายจ้างเก่าออกมาสร้างตัวด้วยตนเองหรือ? ลูกชายสองคนของนายจ้างเก่าคงกลัวว่าเถ้าแก่หวังจะแย่งกิจการของพวกเขาไป จึงร่วมมือกันใส่ร้ายเถ้าแก่หวัง จนลูกชายทั้งสามคนของเถ้าแก่หวังต้องติดคุก เถ้าแก่หวังจึงหักใจ หลังเอาเงินก้อนโตไปประกันตัวลูกชายออกมา ก็ขายเรือทิ้งแล้วพาคนในครอบครัวหนี เงินลงหุ้นก่อนหน้านี้ก็หอบหนีไปด้วยหมด นายท่านเจียงรู้สึกไม่ชอบกลแต่แรกแล้ว จึงรีบตามไปหนิงปัว แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนนี้แม้ตัวจะยับเยินแต่ก็ยังเฝ้าอยู่ที่หนิงปัว ลองดูว่าจะหาของอย่างอื่นมาใช้หนี้ได้หรือไม่”
อวี้เหวินฟังแล้วหัวหมุนติ้วๆ เขาถามว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่จนปัญญาอีกเช่นกัน!”
ความเคียดแค้น กังวล และหวาดกลัวก่อนหน้านี้สลายหายในชั่วพริบตา
เขาไม่ได้มองคนผิด ไม่ได้เชื่อใจคนผิดก็ดีแล้ว
นายท่านอู๋ก็คิดเช่นเดียวกัน “ตอนนั้นพวกเราเห็นว่านายท่านเจียงเป็นคนดีถึงตัดสินใจลงหุ้นด้วย บัดนี้มาเกิดเรื่องขึ้น ย่อมไม่อาจกล่าวโทษนายท่านเจียงเพียงผู้เดียว ข้าว่าพวกเราก็ไม่ต้องร้อนใจไป รอดูว่าภายหลังนายท่านเจียงมีแผนการอย่างไรก็ค่อยว่ากัน”
————————————————————-
[1]เหรินจง เป็นจุดที่อยู่ระหว่างริมฝีปากบนกับรูจมูก การกดจุดนี้จะช่วยเพิ่มการทำงานของสมอง อัตราการเต้นของหัวใจ การหายใจให้กลับมาเป็นปกติ ใช้กับอาการช๊อก หมดสติ โคม่า ลมแดด ชักแบบเฉียบพลัน