ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 179 ธูปหอม
กู้ซีอดเผยยิ้มไม่ได้
รอยยิ้มดูถ่อมตัวและอ่อนโยน
ยิ่งในเวลานี้ นางเผยท่าทีหนักแน่นเท่าใดก็จะทำให้คนรู้สึกว่านางน่าเชื่อถือมากเท่านั้น รักษาความเยือกเย็นไว้ ทำประหนึ่งเป็นผู้มากความสามารถ
นี่จึงจะเป็นการวางตัวที่ถูกต้อง
อวี้ถังก็ยิ้มอยู่เช่นกัน
นางรู้อยู่แล้ว ยามที่นางพูดเช่นนี้ ทุกคนล้วนคิดว่านางอยากให้กู้ซีออกหน้าจัดการเรื่องราว เมื่อเป็นเช่นนี้ นางเป็นคนเสนอความคิด กลับทำให้กู้ซีได้รับคำชื่นชม นางดูเหมือนจะซื่อตรงเกินไปบ้าง หากพวกคุณหนูสกุลเผยล้วนเป็นคนที่ทำแบบขอไปที คล้อยตามคนอื่นก็เป็นอีกเรื่อง นางเสียเปรียบ คนอื่นอาจจะคิดว่านางโง่เกินไป แต่พวกคุณหนูสกุลเผยล้วนเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เที่ยงธรรม ย่อมไม่อาจปัดคุณงามความดีของนางทิ้งไปอย่างง่ายดาย
จะว่าไปแล้ว เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นางสำรวจจากการกระทำของกู้ซีในชาติก่อน
นางเลียนแบบกู้ซีเท่านั้น
เป็นดังที่คาด หลังจากกู้ซีได้ยินเช่นนี้ก็ปิดบังความดีใจแทบไม่มิด แสร้งทำเป็นรักษาท่าทีสุขุมเยือกเย็น รอคนอื่นเป็นฝ่ายดันนางขึ้นไป นางเอ่ยถ่อมตัวอีกไม่กี่ประโยค ก็สามารถรับช่วงต่อเรื่องนี้ได้แล้ว ทว่าพวกคุณหนูของสกุลเผยกลับเบิกตากว้างโดยพร้อมเพรียงกัน
ด้วยเหตุนี้รอจนสายตาของพวกคุณหนูสกุลเผยตกอยู่ที่ร่างของกู้ซี หลังจากกู้ซีหลบเลี่ยงแววตาของอวี้ถังเล็กน้อย ในใจของอวี้ถังก็ยิ้มอย่างสุขใจยิ่งกว่าเดิม เอ่ยอย่างไม่เร็วไม่ช้า “จะรบกวนคุณหนูกู้ได้อย่างไรกัน? เมื่อก่อนยามที่ข้าเรียนหนังสือกับท่านพ่อ เคยอ่านตำรับการทำธูปหอมสมัยโบราณ เพียงแค่เมื่อก่อนข้าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เท่าใด ครั้งนี้จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ ข้าจึงคิดว่าสามารถยึดตามตำราโบราณนั้นได้หรือไม่ พวกเราศึกษาเรื่องธูปหอม จากนั้นก็สอนภิกษุณีและอุบาสิกาในวัด นอกจากจะสามารถปรับปรุงค่าใช้จ่ายของทุกคนในวัดให้ดีขึ้น ยังสามารถให้พวกนางทำเรื่องฆ่าเวลาในยามที่ว่างจากการบำเพ็ญเพียร”
อวี้ถังเพิ่งจะพูดจบ กู้ซีและพวกคุณหนูสกุลเผยต่างก็ตะลึงงัน
คุณหนูห้ากระโดดโผลงขึ้นมา “พี่อวี้ ตำราทำธูปโบราณของเจ้านั้นเชื่อถือได้หรือไม่? ท่านตาของข้ากล่าวว่า ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความรู้มากมาย สามารถแบ่งปันความรู้กับทุกคนได้ แต่ตำรับอาหารประจำสกุลกลับไม่มีใครยินยอมเปิดเผยง่ายๆ หากตำรับโบราณเล่มนั้นเป็นเพียงหนังสือที่คนเขียนขึ้นมาเล่นๆ เล่า?”
คุณหนูสี่กลับคิดต่าง แต่คำพูดก็ไปทางเดียวกับคุณหนูห้า “พี่อวี้ เมื่อก่อนเจ้าเคยทำเครื่องหอมพวกนี้หรือไม่? หากทำได้ไม่ดีล่ะ? จะไม่ใช่เป็นการเสียกำลังคนและทรัพยากรไปเปล่าๆ หรอกรึ อย่างไรพี่กู้ก็เคยทำเครื่องหอมของตัวเองมาก่อน นางย่อมมีประสบการณ์ ข้าว่ามิสู้พวกเราไหว้วานให้พี่กู้ช่วยสอนภิกษุณี อุบาสิกาพวกนั้นก็เพียงพอแล้ว ไฉนต้องยุ่งยากขนาดนั้นด้วยเล่า?”
คุณหนูสามขมวดคิ้ว
นางคิดว่าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ อวี้ถังก็ใจแคบเกินไปอยู่บ้าง
อวี้ถังมองอย่างทะลุปรุโปร่ง เพียงไม่ทันได้โต้แย้งอะไร คุณหนูรองก็กระโดดออกมาก่อน เอ่ยอย่างจริงใจ “คุณหนูอวี้ ข้าว่าเรื่องนี้เจ้าและพี่กู้รับผิดชอบร่วมกันดีกว่ากระมัง…พี่กู้รับหน้าที่สอนภิกษุณีและอุบาสิกาทำธูปหอม ส่วนคุณหนูอวี้ก็รับผิดชอบในการชี้แจงแถลงไขให้ท่านแม่เฒ่าทั้งสอง ทุกคนปรึกษาดูว่าควรจะขายธูปหอมอย่างไรดี สุราดียังกลัวตรอกลึก[1] ให้อารามดับทุกข์พึ่งใบบุญตัวเองในการขายธูปหอม กลัวเพียงว่าจะเลี้ยงชีวิตพวกนางไม่พอ กระทั่งสกุลพวกเรายังไม่ใช้ธูปหอมมากมายถึงขนาดนั้น”
อวี้ถังแย้มยิ้ม
นางชื่นชอบพวกคุณหนูของสกุลเผยด้วยใจจริง
แม้คุณหนูรองจะเข้าข้างกู้ซี ก็ยังว่าตามเหตุผล
น่าเสียดายที่เป้าหมายของนางคือกู้ซี ย่อมไม่อาจปล่อยให้กู้ซีหนีไปได้
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้คุณหนูกู้ช่วยเหลือ!” อวี้ถังจงใจเผยท่าทีลำบากใจ “พวกเจ้าคงไม่รู้สาเหตุที่ข้าคิดว่าคุณหนูกู้ไม่เหมาะจะสอนคนในอารามดับทุกข์ทำธูปหรอกกระมัง?”
พวกคุณหนูสกุลเผยพากันส่ายศีรษะ ด้านกู้ซีก็ทำหูตั้ง ทำท่าราวกับจะจับจุดอ่อนของนาง
อวี้ถังเอ่ยว่า “เครื่องหอมของคุณหนูกู้กลิ่นหอมจริงๆ ข้าก็เคยได้รับเป็นของขวัญจากคุณหนูกู้เช่นกัน รู้ว่าคุณหนูกู้ชำนาญในการทำเครื่องหอม แต่ว่าอย่างไรเครื่องหอมที่คุณหนูกู้ทำก็เป็นของที่ผู้หญิงใช้ในห้องหับ เผยแพร่ออกไปด้านนอกคงไม่ดีเท่าใด หากสอนให้ภิกษุณีและอุบาสิกาทำครั้งละมากๆ…ข้าคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง มิสู้พวกเราหาตำรับเครื่องหอมอันใหม่ หรืออาจให้คุณหนูกู้เสนอตำรับที่เหมาะสมเล่มอื่นออกมา ส่วนพวกเราก็ต้องปิดเป็นความลับ ไม่อนุญาตให้ใครพูดออกไปทั้งนั้น”
หากทำการกุศลโดยไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ยังต้องทำการกุศลไปอีกทำไมกัน!
กู้ซีคิดต่อต้านทันที ดีที่คำพูดหยุดอยู่ที่ปาก นางก็นึกขึ้นมาได้ จึงไม่พูดออกมา
หลังจากพวกคุณหนูสกุลเผยได้ฟังอวี้ถัง ก็พากันผงกศีรษะ กระทั่งคุณหนูรองที่ไม่ชื่นชอบคุณหนูอวี้เท่าใดก็ยังเอ่ยอย่างกระดากอายอยู่บ้าง “นับว่าพี่อวี้ยังทำเรื่องได้ใจเย็นรอบคอบกว่าพวกเรา เรื่องเช่นนี้ไม่อาจให้พี่กู้แบกรับไว้จริงๆ”
กู้ซีโมโหอย่างยิ่ง แต่ก็หาคำพูดมาโต้แย้งอวี้ถังไม่ออก มองอวี้ถังด้วยแววตาเชือดเฉือน ทั้งขบคิดในใจ หากอวี้ถังให้นางออกแรงโดยที่ไม่ได้รับชื่อเสียงจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะหาข้ออ้างมาปฏิเสธเรื่องนี้ ให้อวี้ถังและคนของสกุลเผยยุ่งวุ่นวายกันเอง ให้พวกนางได้รู้ว่าการกุศลไม่ใช่ทำกันง่ายดายขนาดนั้น
อวี้ถังเห็นท่าทีโมโหของกู้ซีก็ลอบดีใจ เม้มปากแย้มยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยอย่างใจกว้าง “ขอบคุณที่คุณหนูรองเอ่ยชม แต่อย่างไรข้าก็อายุยังน้อย เรื่องใหญ่เช่นนี้ ยังต้องปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่ ข้าคิดว่า พวกเราควรไปบอกกล่าวกับนายหญิงรองก่อน ดูว่านายหญิงรองคิดว่าทำได้หรือไม่?”
แม้พวกคุณหนูสกุลเผยได้ฟังแล้วจะชะงักไปครู่หนึ่ง แต่คล้อยหลังก็ส่งเสียงดังเจื้อยแจ้ว แย่งกันพูดว่าเรื่องนี้ควรตัดสินใจทำเช่นนี้ต่อไป
มีความปรารถนาดีย่อมเป็นเรื่องดี แต่ความปรารถนาดีใช่ว่าจะทำเรื่องดีออกมาเสมอไป
พวกคุณหนูสกุลเผยเริ่มโต้เถียงกันอย่างคึกคักว่าเรื่องนี้ทำได้หรือไม่ได้
คนหนึ่งถามว่าตำรับเครื่องหอมของอวี้ถังเชื่อถือได้หรือไม่ อีกคนถามว่าอุปกรณ์ทำเครื่องหอมหาซื้อได้ง่ายหรือไม่ ยังถามว่าในจวนส่งใครมาควบคุมอารามดับทุกข์จึงจะดี...ยังไม่ทันรู้ว่าทำได้หรือไม่ ผ่านไปสักพักพวกคุณหนูก็เริ่มคิดว่าจะทำให้ธูปหอมของอารามดับทุกข์เป็นที่นิยมในเมืองหลินอัน ให้พวกคนหังโจวต่างพากันแห่มาซื้อตามคำล่ำลือ
กู้ซีนั่งฝืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ไม่เข้าร่วมวงสนทนา ทำเพียงนั่งฟังข้างๆ เท่านั้น
อวี้ถังกลับสุขอุราอย่างยิ่ง
แม้ว่ายามที่อ่านหนังสือจะเคยอ่านเจอตำรับเครื่องหอมก็ไม่อาจให้ความสนใจ
ตั้งแต่เด็กนางก็ไม่ชอบเรื่องพวกนี้
อีกเดี๋ยวนางต้องเขียนตำรับเครื่องหอมให้กับสตรีในสกุลเผย เป็นสิ่งที่กู้ซีทำขึ้นมาเพื่อรวบรวมเงินบริจาคให้กับวัดเจาหมิงอีกห้าปีให้หลัง
ผู้ศรัทธาของวัดเจาหมิงมีมากมายขนาดนั้น ครั้งนั้นกู้ซีรวบรวมเงินบริจาคได้หนึ่งพันตำลึงก็นับว่าเพิ่มลายดอกลงบนผ้าแพร คาดว่านางนำออกมาให้อารามดับทุกข์ที่ต้องการกว่า อย่างไรพระพุทธเจ้าก็คงไม่ตำหนินาง
นางลอบท่องในใจว่า ‘อามิตาพุทธ’
จี้ต้าเหนียงเดินเข้ามา เอ่ยปรามพวกนางทั้งรอยยิ้ม “พวกท่านเบาเสียงหน่อยเถิด ข้าออกจากห้องโถงใหญ่มาก็ได้ยินเสียงทันที ข้าได้รับคำสั่งมาจากท่านแม่เฒ่าทั้งสอง อีกเดี๋ยวจะพาคุณชายหยางเข้ามาแล้ว”
คุณหนูรองเผยใบหน้าแดงก่ำ
คุณหนูสาม คุณหนูสี่และคุณหนูห้าส่งเสียง ‘เอ๋’ ไปทางคุณหนูรอง
คุณหนูรองเขินอายจนแทบจะฝังตัวเองไปกับกำแพง ยามนี้คุณหนูทั้งสามจึงยอมปล่อยนางไป
กู้ซีเห็นก็แค่นยิ้มอย่างดูแคลน
อวี้ถังกลับรู้สึกว่าน่าสนใจ รีบช่วงชิงตำแหน่งข้างหน้าต่างลายฉลุ เขย่งดูที่รอยแยก อยากเห็นว่าหยางเหยียนหน้าตาเป็นอย่างไร
คุณหนูห้าและคุณหนูสี่เพราะอายุน้อยที่สุด จึงพยายามเกาะอยู่ด้านหลังนาง แย่งพื้นที่ข้างหน้าต่างลายฉลุกับอวี้ถัง
อวี้ถังอับจนหนทาง ทำได้เพียงกล่าว “เช่นนั้นพวกเราดูกันคนละสองเฮือกหายใจ[2] ส่วนเวลาที่เหลือก็ให้คุณหนูรองทั้งหมด พวกเจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”
คุณหนูรองทั้งหงุดหงิดทั้งเขินอาย “ข้าไม่อยากรู้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไรเสียหน่อย!”
“จริงรึ!” อวี้ถังหยอกล้อนาง “อีกเดี๋ยวคุณหนูรองต้องเข้าห้องโถงไปยกน้ำชา แต่พวกเราทำได้เพียงดูจากที่นี่”
คุณหนูทั้งสามส่งยิ้มให้คุณหนูรองอีกครั้ง
คุณหนูรองใบหน้าแดงแทบเป็นหยดเลือด คุณหนูสี่รีบเอ่ยว่า “เงียบกันได้แล้ว คุณชายหยางกำลังเข้ามา”
อวี้ถังไม่สนใจพูดคุยกับพวกคุณหนูสกุลเผยอีก เขย่งเท้ามองลอดหน้าต่างออกไป
เห็นเพียงเฉินต้าเหนียงพาชายหนุ่มสวมชุดคลุมผ้าหังโจวสีน้ำเงินปักลายค้างคาวทั้งห้าเดินเข้ามา
เขารูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาได้สัดส่วน ท่วงท่าสง่างาม ดูแล้วเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ ยามที่ย่างเท้าก็มั่นคงอย่างยิ่ง
อวี้ถังคิดว่าคนผู้นี้พอใช้ได้ทีเดียว
แต่นางเกิดมาทั้งสองชาติ ยังนับว่าไม่เคยเห็นชายคนใดที่หล่อเหลากว่าเผยเยี่ยน
นางมองเขาอีกสองครั้งก็ปลีกกายออกมา เอ่ยกับคุณหนูสามที่อยากมองแต่เบียดเข้ามาไม่ได้ “เจ้าก็รีบมาดูเสียหน่อย อีกเดี๋ยวคุณชายหยางจะเดินเข้าห้องโถงใหญ่แล้ว”
คุณหนูสามหัวเราะไร้สุ้มเสียง เบียดเข้าไปอยู่กับคุณหนูสี่และคุณหนูห้า
อวี้ถังยิ้มตาหยี เมื่อเงยศีรษะขึ้น กลับเผชิญกับแววตาที่เผยความเยือกเย็นของกู้ซี
นางไม่ได้หลบหลีก
นางไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่จำเป็นต้องกลัวสายตาของกู้ซี
กู้ซีตกตะลึงไป
นางนึกถึงยามที่อวี้ถังเพิ่งเข้ามาในจวนสกุลเผย…ตั้งแต่เมื่อใดกันที่อวี้ถังเปลี่ยนเป็นใจกล้าเช่นนี้? หรือเพราะว่าเผยเยี่ยนกัน?
กู้ซียิ้มเย็น
อวี้ถังมองนางอย่างใจเย็น เผยท่าทีสบายๆ จวบจนเสียงถอนหายใจของคุณหนูสี่ดังขึ้นในห้อง ยามนี้นางจึงถูกเบี่ยงเบนความสนใจ
“เป็นอะไรรึ?” คุณหนูรองยังไม่เห็นคน ได้ยินเสียงอะไรเล็กน้อยก็กังวลไปก่อนแล้ว
คุณหนูสี่ถอนหายใจยาวเหยียดอีกครั้ง เอ่ยว่า “พี่รองใกล้จะออกเรือนแล้ว…”
คำพูดคลุมเครือประโยคหนึ่ง กลับแฝงความชื่นชมหยางเหยียนอยู่อ้อมๆ
คุณหนูรองกังวลจนคิดวุ่นวายไปหมด ยังหวนสติกลับมาไม่ได้ พวกอวี้ถังนั้นกระจ่างใจกันแล้ว ทุกคนเอาแต่ยิ้มอยู่ตรงนั้น รอจนคุณหนูรองเริ่มเข้าใจ เฉินต้าเหนียงก็เข้ามาเชิญคุณหนูรองไปยกชา คุณหนูรองตามเฉินต้าเหนียงออกไปอย่างรีบเร่ง คล้ายกับจะวิ่งอย่างไรอย่างนั้น พาให้พวกอวี้ถังหัวเราะกันขึ้นมายกใหญ่
ในใจอวี้ถังยังพะวงเรื่องญาติผู้พี่ของป้าสะใภ้ใหญ่ เห็นว่าเรื่องทางนี้เรียบร้อยแล้ว จึงอยากกลับห้องไปก่อน “ข้าจะไปเขียนตำรับเครื่องหอมก่อน อีกเดี๋ยวยามที่ไปพบนายหญิงรองก็จะมีสิ่งของส่งมอบ พวกผู้อาวุโสจะได้ไม่คิดว่าข้าคิดเล่นๆ ขึ้นมาชั่วครู่”
คุณหนูสามเห็นด้วยอย่างยิ่ง ทั้งยังเอ่ยอย่างแตกต่างจากวันปกติ “พี่อวี้ ข้าจะกลับห้องไปกับเจ้า”
คุณหนูสี่และคุณหนูห้าต่างก็โวยวายจะไปด้วย
กู้ซีคล้ายว่าทนเห็นทุกคนล้อมหน้าล้อมหลังอวี้ถังไม่ได้ ทั้งมีความคิดจะหลบหลีกเรื่องนี้เช่นกัน คิดว่าอวี้ถังไม่ใช่เก่งมากหรอกรึ? เช่นนั้นข้าจะไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว ดูว่าเจ้าจะสามารถทำธูปหอมออกมาได้หรือไม่? อย่างไรเมื่อเรื่องนี้เสร็จสมบูรณ์ก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง เรื่องราวพังเละเทะก็โยงมาไม่ถึงนางเช่นกัน
นางเอ่ยว่า “ตอนกลางวันข้าไม่ได้พักผ่อนดีๆ คงต้องขอตัวก่อน อีกเดี๋ยวยามที่พวกเจ้าไปพบนายหญิงรองค่อยมาเรียกข้าก็แล้วกัน”
กู้ซีอยากจะเห็นท่าทีของผู้อาวุโสสกุลเผยเป็นอย่างยิ่ง
———————
[1]สุราดียังกลัวตรอกลึก อุปมาว่า แม้สุราจะมีคุณภาพดีเท่าใด แต่หากอยู่ในตรอกลึก ก็อาจทำให้คนไม่รู้หรือหาไม่เจอได้เช่นกัน
[2]สองเฮือกหายใจ ช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณห้าถึงหกวินาที