ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 192 ควบคุม
อวี้ถังอยากหาโอกาสไปพบเผยเยี่ยน ถามเขาว่าหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แต่ยังไม่ทันที่นางจะหาข้ออ้าง คุณหนูสามและคุณหนูห้าก็ส่งคนมารายงานนางก่อนว่าพรุ่งนี้จะมาเข้าพบนาง
คนสกุลเฉินดีใจกับข่าวที่คาดไม่ถึง ออกไปเลือกข้าวปลาอาหารด้วยตัวเอง กระทั่งอวี้ถังก็รั้งไว้ไม่อยู่
รอจนคุณหนูสามและคุณหนูห้าเข้ามา ขนมของว่างที่คนสกุลเฉินทำก็จัดวางอยู่เต็มโต๊ะ บนเตาตุ๋นน้ำแกงเป็ด ในเข่งสานนึ่งขาหมู ในกระทะกำลังทอดลูกชิ้น…กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว คึกคักยิ่งกว่ายามฉลองปีใหม่ ทั้งยังครบครันหลากหลาย
อวี้ถังส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างจนใจ หลังจากคุณหนูสามและคุณหนูห้าพบคนสกุลเฉินแล้ว ก็ดึงพวกนางไปดื่มชาที่ห้องเซียงฝางของตัวเอง
คนสกุลเฉินซื้อชาเหยียนฉา[1]มาใหม่จากตลาดเมื่อวาน กินคู่กับขนมฝูหลิง[2]ที่คนสกุลเฉินทำเอง จึงเลิศรสอย่างยิ่ง
คุณหนูสามและคุณหนูห้าล้วนชมอย่างไม่ขาดปาก ยังถามถึงขนมที่อวี้ถังมอบให้พวกนางยามที่ไปอารามดับทุกข์ “เวลานั้นก็บอกว่าท่านป้าเป็นคนทำ ฝีมือท่านป้ายอดเยี่ยมจริงๆ!”
อวี้ถังจึงผลักกล่องไม้เก้าช่องที่บรรจุขนมไปเบื้องหน้าพวกนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นรอยามที่พวกเจ้ากลับไป ข้าจะให้ซวงเถาห่อให้พวกเจ้าด้วย”
ทั้งสองคนก็ไม่เกรงใจ เอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
อวี้ถังคุยเล่นเป็นเพื่อนพวกนางอยู่พักใหญ่ ยามนี้จึงค่อยรู้ว่า งานแต่งของกู้ซีและเผยถงไม่ค่อยราบรื่นนัก หลายวันมานี้เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย
“ก็ไม่รู้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่คิดอย่างไร?” คุณหนูห้าเอ่ยเสียงเบา “จะส่งญาติผู้พี่ไปเรียนหนังสือที่สกุลกู้ให้ได้ เพราะเรื่องนี้ นางไม่เพียงมาหาท่านแม่ข้า ยังไปหาท่านแม่เฒ่าอี้และท่านแม่เฒ่าหย่ง ยังดีที่ท่านแม่เฒ่าทั้งสองล้วนไม่ได้รับปากเป็นคนกลางที่จะช่วยนางพูดเกลี้ยกล่อมต่อหน้าอาสาม ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นเรื่องขบขันแน่นอน”
คุณหนูสามกลับทำท่าคล้ายคิดอะไรบางอย่าง เอ่ยว่า “แต่สกุลหยางก็พูดเช่นนี้ เหมือนว่าญาติผู้พี่เรียนหนังสือที่สกุลพวกเราจะไม่ค่อยไปถึงไหน ข้าว่า ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่เหมือนร้อนใจหาบ้านแม่ยายให้ญาติผู้พี่ แต่เหมือนจะร้อนใจหาอาจารย์สอนหนังสือให้ญาติผู้พี่มากกว่า”
อวี้ถังได้ฟังก็คิดคล้อยตาม
ชาติก่อน หลังจากท่านผู้เฒ่าล่วงลับ คนของสกุลเผยต่างก็ไว้ทุกข์อยู่ในหลินอัน ภายหลังสกุลหยางอ้างว่าท่านผู้เฒ่าหยางป่วยหนัก ให้เผยถงไปคอยดูแล จึงทำให้เผยถงรั้งตัวอยู่ที่สกุลหยาง ต่อมาก็เข้าสอบขุนนางระดับกลางและระดับสูง
ภายในนี้ตกลงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง นางก็ไม่กระจ่างชัดเท่าใด
หรือนี่จึงเป็นสาเหตุที่นายหญิงใหญ่เลือกกู้ซีเป็นลูกสะใภ้?
ขณะที่อวี้ถังครุ่นคิด คุณหนูห้าก็เปลี่ยนไปประเด็นอื่นแล้ว “อย่างไรข้าก็ไม่รู้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่จะทำอะไร ท่านแม่ข้าก็พูดแล้ว หากเจอเรื่องป้าสะใภ้ใหญ่ก็ให้ข้าหลบหลีก รอถอดชุดไว้ทุกข์ให้ท่านปู่แล้ว ท่านพ่อก็จะออกไปรับราชการ รอจนอาสามแต่งอาสะใภ้ ท่านแม่ก็จะพาข้าและน้องชายตามท่านพ่อไปรับตำแหน่ง” พูดมาถึงตรงนี้ นางก็ทำใจไม่ได้อยู่บ้าง เอ่ยว่า “ข้าไม่อยากตามท่านพ่อไปรับตำแหน่ง แต่ข้าก็ไม่อยากแยกจากท่านแม่และน้องชายเช่นกัน”
คุณหนูสามคล้ายว่าเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก นางเอ่ยอย่างตกใจ “เช่นนั้นก็หมายความว่าอีกไม่นานเจ้าก็ต้องออกจากหลินอันแล้ว?”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” คุณหนูห้าเอ่ยอย่างลังเล จากนั้นก็ร้อง ‘ไอหยา’ ออกมา เอ่ยกับคุณหนูสาม “พวกเราเกือบลืมเรื่องสำคัญเสียแล้ว!” พูดจบ ก็ส่งสายตาให้คุณหนูสาม
คุณหนูสามยืดตัวขึ้นมาทันที กระแอมออกมาสองครั้ง ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง “พี่อวี้ พวกเรามาหาเจ้าก็เพราะเรื่องของอารามดับทุกข์”
อวี้ถังเหนือความคาดหมายไม่น้อย เอ่ยเย้าแหย่พวกนาง “ข้ายังคิดว่าพวกเจ้าหยุดเรียน คิดถึงข้า จึงมาเที่ยวหาข้าเสียอีก!”
คุณหนูห้าหัวเราะอย่างเก้อเขิน “พวกเรานั้นอยากมาเที่ยวหาเจ้า แต่ยุ่งกับบทเรียนจริงๆ หลายวันมานี้ล้วนไม่ได้พักผ่อนยาวๆ เดิมทียังตั้งใจรอให้ผ่านเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างก่อนค่อยเข้ามาหาพี่อวี้”
คุณหนูสามก็พยักหน้าอยู่ด้านข้าง เอ่ยอย่างร้อนใจ “ใช่แล้ว พี่อวี้ หากเจ้าไม่เชื่อ ยามที่พบคุณหนูรองและคุณหนูสี่ก็ถามพวกนางได้”
“ข้าหยอกพวกเจ้าเล่นเท่านั้น” อวี้ถังหัวเราะ “พวกเจ้ามาหาข้าเพราะเรื่องอารามดับทุกข์ ทางอารามดับทุกข์เกิดเรื่องอะไรรึ?”
คุณหนูห้าและคุณหนูสามแลกเปลี่ยนสายตากัน ยามนี้คุณหนูห้าค่อยเอ่ยว่า “ตั้งแต่กลับมาจากอารามดับทุกข์ พวกเราก็รายงานเรื่องอารามดับทุกข์ให้ท่านย่าฟัง ท่านย่ากลับบอกว่า เรื่องนี้ให้พวกเราพี่น้องตัดสินใจเอง ภายหลังไม่ว่าจะเป็นท่านแม่หรือท่านแม่เฒ่าคนอื่น ล้วนไม่อาจสอดมือยุ่งเรื่องอารามดับทุกข์ ตำรับเครื่องหอมจะมอบให้คนของอารามดับทุกข์ทั้งหมดหรือจะให้เพียงส่วนเดียว วันสรงน้ำพระจะบริจาคเครื่องหอมหรือไม่ ล้วนแล้วแต่ให้พวกเราตัดสินใจกันเอง” ขณะที่นางพูด ก็ปรากฏร่องรอยความกังวลบนใบหน้า “พี่อวี้ แม้ว่าพวกเราจะเรียนรู้เรื่องในเรือนตามผู้อาวุโสในสกุล แต่เรื่องเช่นนี้ก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ในใจไม่มีแผนอันใด จึงอยากเชิญพี่อวี้…” พูดจบนางก็ทำตาโต มองมาที่อวี้ถังด้วยสายตาวิงวอน
อวี้ถังถูกนางมองเช่นนี้ก็ใจอ่อน อยากจะเข้าไปบีบแก้มกลมราวกับเด็กน้อยของคุณหนูห้าอย่างยิ่ง แต่นางก็ยังข่มใจไว้ได้ เอ่ยว่า “เจ้าอยากให้ข้าช่วยเหลืออารามดับทุกข์ร่วมกับพวกเจ้า?”
“ใช่แล้วๆ” คุณหนูห้าเอ่ยอย่างรวดเร็ว
คุณหนูสามคิดว่าคำพูดของคุณหนูห้ายังไม่เพียงพอจะสั่นคลอนอวี้ถังได้ รีบเสริมว่า “พี่อวี้ ข้าและน้องห้าล้วนคิดว่าเจ้าพูดมีเหตุผล ตำรับเครื่องหอมสำหรับพวกเราแล้วอาจไม่มีอะไร แต่สำหรับบางคนกลับเป็นตำรับลับที่ทำให้สกุลมั่งคั่ง คนธรรมดาย่อมไร้ความผิด แต่จะผิดเมื่อครอบครองหยก แม้ว่าเดิมทีอารามดับทุกข์จะลำบากยากแค้นไปบ้าง แต่ก็สงบร่มเย็น หากอารามดับทุกข์เกิดปัญหาเพระพวกเราเป็นต้นเหตุ นั่นไม่ใช่ว่าเป็นความผิดของพวกเราหรอกรึ! ข้าและน้องห้าล้วนคิดว่าไม่อาจตัดสินใจอย่างส่งเดชเช่นนี้ได้”
อวี้ถังแย้มยิ้ม คิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้รู้จักพวกคุณหนูสกุลเผย นางเอ่ยว่า “เช่นนั้นคุณหนูสามและคุณหนูห้าอยากให้ข้าช่วยอันใดรึ?”
นี่ก็หมายความว่ารับปากแล้ว
คุณหนูสามและคุณหนูห้าต่างก็เผยยิ้มขึ้นมา
คุณหนูห้าเอ่ยว่า “พวกเราคิดว่า พิธีแสวงบุญที่วัดเจาหมิงเป็นโอกาสดี ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ทำให้ธูปหอมของอารามดับทุกข์มีชื่อเสียงในพิธีแสวงบุญ หลายวันมานี้คนที่พวกเราส่งไปอารามดับทุกข์กลับมารายงานพวกเราว่า พวกแม่ชีและอุบาสิกาที่อารามทำกำยานขดและธูปอย่างที่อาสามพูดออกมาไม่ได้ พวกเราไหว้วานให้พ่อบ้านหูช่วยไปหาอาจารย์ทำเครื่องหอม แต่เรื่องตำรับเครื่องหอมกลับยากลำบากอยู่บ้าง”
คุณหนูสามเอ่ยว่า “พวกเรา พี่รองและน้องสี่ต่างก็พูดคุยเรื่องนี้อยู่ค่อนวัน ไม่รู้ว่าจะมอบหมายให้ใครดี...พี่รอง อย่างช้าที่สุดก็ออกเรือนปีหน้า ข้า ข้าก็ต้องพูดคุยเรื่องงานแต่งแล้ว น้องสี่และน้องห้าอายุยังน้อย…” พูดจบ นางก็มองคุณหนูห้าไปที “เมื่อครู่ข้าก็เพิ่งรู้ว่า น้องห้ามีเวลาอยู่ในเรือนไม่มากแล้ว”
คุณหนูห้าเอ่ย “พวกเราล้วนรู้ว่าเรื่องนี้ยุ่งยากอย่างยิ่ง แต่นอกจากพี่อวี้แล้ว พวกเราก็ไม่รู้จะไหว้วานใครอีกแล้ว”
คุณหนูสามเอ่ย “พี่อวี้ พวกเราอยากให้เจ้าดูแลเรื่องตำรับเครื่องหอม อย่างไรตำรับเครื่องหอมนี้ เจ้าก็เขียนออกมา”
ขณะที่ทั้งสองคนพูด ก็ยืนขึ้น ยอบกายคำนับให้อวี้ถัง “พี่อวี้ อย่างไรขอเจ้าช่วยเหลือพวกเราเถิด”
อวี้ถังรีบดึงทั้งสองคนขึ้นมา “มีอะไรก็คุยกันดีๆ เถิด พวกเจ้าทำเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าต้องการบังคับข้าให้ตอบรับให้ได้หรอกรึ?”
“ไม่ใช่ๆ” คุณหนูสามและคุณหนูห้าต่างก็เผยสีหน้ากังวล ร้อนใจจนเหงื่อชื้นที่หน้าผาก “พวกเรา พวกเราคิดกันมานานแล้ว แต่ก็คิดวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออก…”
คนธรรมดาย่อมไร้ความผิด แต่จะผิดเมื่อครอบครองหยก
อวี้ถังก็ไม่อยากให้อารามดับทุกข์เกิดเรื่องเช่นกัน
นางครุ่นคิดเล็กน้อย “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้าเช่นนี้ ในเมื่อข้ารับปากพวกเจ้าแล้ว ก็ย่อมหาวิธีช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องของอารามดับทุกข์ ข้าก็เป็นคนเสนอขึ้นมา ข้าจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร?”
คุณหนูสามและคุณหนูห้าต่างก็ยืนฟังอย่างนอบน้อมด้วยรอยยิ้ม
อวี้ถังเห็นก็หัวเราะขึ้นมา “พวกเจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย นั่งลงพูดคุยกันดีกว่า”
ยามนี้ทั้งสองจึงนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ
อวี้ถังลอบสั่นศีรษะยิ้มๆ กลับไม่ได้เกรงใจอะไรพวกนางอีก เอ่ยถึงเรื่องอารามดับทุกข์อย่างตรงไปตรงมา “พวกเจ้าพูดกลับไปกลับมา ความจริงก็คือเรื่องๆ เดียว ต้องทำอย่างไรกับเรื่องอารามดับทุกข์ใช่หรือไม่?”
ทั้งสองคนพยักหน้าระรัว
สมองของอวี้ถังแล่นอย่างว่องไว “ข้าเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ไม่อาจออกหน้าจัดการเรื่องนี้ตรงๆ ได้เช่นกัน” สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นางไม่มีอำนาจและชื่อเสียงมากพอในการรับผิดชอบเรื่องนี้ ทั้งเรื่องนี้ยังดึงสกุลเผยมาเกี่ยวข้อง มีสตรีสกุลเผยเป็นผู้ออกหน้า แต่ว่าก็ไม่ถึงกับไร้วิธีเสียทีเดียว
นางเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าแนะนำคนหนึ่งให้พวกเจ้า เถ้าแก่น้อยถงโรงรับจำนำหลินอันของสกุลเผย สกุลเขารับใช้สกุลเผยมาหลายชั่วอายุคน ซื่อสัตย์จริงใจ ทั้งทางโรงจำนำก็มีเถ้าแก่ใหญ่ถงคอยควบคุมอยู่ ให้เขาจัดการเรื่องอารามดับทุกข์ช่วงหนึ่ง ข้าว่า เขาก็คงมีเวลาอยู่”
ทั้งสองตรึกตรอง ก่อนจะเผยรอยยิ้มดีใจออกมา
คุณหนูห้าถึงกับถอยหายใจยาวเหยียด “ข้าว่าแล้ว เรื่องนี้ต้องให้พี่อวี้ช่วยตัดสินใจ”
คุณหนูสามหัวเราะขึ้นมา มองออกอย่างชัดเจนว่า ผ่อนคลายลงไม่น้อย
อวี้ถังเอ่ยต่อ “แต่ว่า หากจะโยกย้ายตัวเถ้าแก่น้อยถง ทำให้เถ้าแก่น้อยถงช่วยเหลือพวกเราด้วยความจริงใจ ยังต้องบอกกล่าวเรื่องนี้กับนายท่านสามล่วงหน้าเสียหน่อย”
ทั้งสองคนล้วนรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อย สีหน้าก็เผยความเบิกบานยิ่งกว่าเดิม
คุณหนูห้าเอ่ยอย่างว่องไว “อาสามกำลังซ่อมทางให้อารามดับทุกข์ พักอยู่ที่เรือนนอก ยามนี้พวกเราไปหาอาสาม เขาย่อมรับปากแน่”
นี่ช่างเรียกว่านั่งสัปหงกก็มีคนส่งหมอนให้[3]อย่างแท้จริง
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้ควรรีบหน่อย พรุ่งนี้พวกเราก็เข้าไปถามนายท่านสามที่เรือนนอก”
คุณหนูห้าเอ่ยอย่างงุนงง “พวกเราต้องไปด้วยตัวเองรึ? ให้พวกผู้ดูแลไปบอกกล่าวไม่ได้หรืออย่างไร?”
แน่นอนว่าได้
แต่ทุกครั้งที่เผยเยี่ยนอยู่ต่อหน้านางก็เอาแต่ทำตัวแปลกๆ พูดจาคลุมเครือไม่รู้ความ ครั้งนี้นางก็จะทำต่อหน้าเขาบ้าง
“คนกลัวการเผชิญหน้า” อวี้ถังเอ่ย “อยากให้นายท่านสามช่วยเหลือพวกเรา หากพวกเราสามารถขอร้องด้วยตัวเองได้ ย่อมดีที่สุด พอดีที่หลายวันนี้ข้าไม่มีเรื่องยุ่งอันใด เข้าไปเสียหน่อยก็เพียงพอแล้ว มีข่าวคราวอันใด ข้าจะรีบบอกกล่าวกับพวกเจ้าอีกที”
“นี่ เหมาะสมใช่หรือไม่?” คุณหนูสามเอ่ยอย่างกังวลอยู่บ้าง “เดิมทีเป็นเรื่องของพวกเรา กลับผลักภาระให้เจ้าทั้งหมด”
“มีอะไรไม่เหมาะสมกัน?” อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้ายังต้องเข้าเรียนหรอกรึ? หลายวันนี้ข้าไม่มีเรื่องยุ่งพอดี หากข้ายุ่งขึ้นมา ข้าก็คงต้องให้พวกเจ้าวิ่งเรื่องแทนแล้ว! นี่ก็เป็นพวกเจ้าพูดเอง ให้ข้าและพวกเจ้าช่วยคนของอารามดับทุกข์ทำเครื่องหอมด้วยกัน”
ทั้งสองคนเผยยิ้มอย่างขัดเขิน
อวี้ถังตัดสินใจด้วยอารมณ์ดี “เรื่องนี้ก็ตัดสินเช่นนี้แล้วกัน”
นางก็จะสามารถปั่นหัวเผยเยี่ยนได้บ้าง
เมื่อส่งคุณหนูสามและคุณหนูห้าไปแล้ว อวี้ถังก็เริ่มเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์ไปพบเผยเยี่ยนในวันพรุ่งนี้ รุ่งเช้าวันต่อมา นางก็ออกจากเรือนไปยังเรือนนอกของสกุลเผย
ยามที่ไปถึงเรือนนอก ก็เกือบเที่ยงแล้ว
เผยเยี่ยนกำลังนอนอ่านหนังสือบนเก้าอี้โยกใต้ต้นการบูรในลานเรือน เมื่อเห็นอวี้ถังเข้ามา เขาก็เรียกอาหมิงให้ยกเก้าอี้เหมยกุย[4]มาให้อวี้ถัง ก่อนจะชี้ไปที่กาชาบนโต๊ะ “ซังจวี๋อิ่น[5]ดื่มหรือไม่?”
มีฤทธิ์ดับร้อนถอนพิษ เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะในฤดูใบไม้ผลิพอดี
“ขอบคุณนายท่านสาม” อวี้ถังนั่งลงด้วยยิ้มกว้าง
—————–
[1]ชาเหยียนฉา บางครั้งก็เรียกอู่อี๋เหยียนฉา เป็นชาอู่หลงประเภทหนึ่งที่ปลูกในพื้นที่เขาอู่อี๋ของฝูเจี้ยน
[2]ขนมฝูหลิง เป็นอาหารพื้นบ้านของแถบหมิ่นหนาน(บริเวณทางตอนใต้ของฝูเจี้ยน) มีลักษณะคล้ายขนมโก๋สอดไส้ถั่วแดงกวน
[3]นั่งสัปหงกก็มีคนส่งหมอนให้ อุปมาว่า ประจวบเหมาะ
[4]เก้าอี้เหมยกุย เป็นเก้าอี้โบราณอย่างหนึ่งของจีน พนักพิงหลังเก้าอี้และที่วางแขนสูงไม่ต่างกันมาก ทั้งพนักพิงหลังยังต่ำกว่าเก้าอี้ทั่วไป
[5]ซังจวี๋อิ่น เครื่องดื่มสมุนไพรจีน มีฤทธิ์แก้ไอ ขับลมร้อน บรรเทาไข้หวัด