ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 196 ตะปบ
เผยเยี่ยนถึงขนาดต้องรีบตามกลับมา
แสดงว่าคำที่นางพูดกับเขาใช้ได้ผล
มารน้อยในใจอวี้ถังโลดเต้นด้วยความดีใจ ไม่ง่ายกว่าจะควบคุมมุมปากที่พยายามยกขึ้นเอาไว้ได้ แล้วตามจี้ต้าเหนียงไปยังสวนป่า
นางตัดสินใจ จะเล่นแง่กับเผยเยี่ยนต่อไปก่อน
อย่างไรเขาก็เก่งกาจอยู่แล้ว ทั้งอุบายที่ใช้กับเขาก็มิใช่เรื่องใหญ่โตสร้างความเสียหาย ปล่อยให้เขาปวดหัวเสียประสาทไปคนเดียวเถอะ
อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งถูกอกถูกใจ นางเดินตามจี้ต้าเหนียงเข้าห้องหนังสือของเผยเยี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
ห้องหนังสือของเผยเยี่ยนยังเหมือนกับวันเก่า แจกันปักกิ่งไม้แห้ง ผ้าคลุมผืนบางเก่ากลางใหม่วางอยู่บนเก้าอี้โยกอย่างเป็นระเบียบ โต๊ะน้ำชาข้างเก้าอี้โยกมีกล่องที่แบ่งเป็นสี่ช่องวางเอาไว้ ใช้เก็บของจุกจิกชิ้นเล็ก กลิ่นหอมของหนังสือแฝงอารมณ์นุ่มนวลหลายส่วน ทำให้คนที่เห็นพลอยสงบใจตามไปด้วย
อวี้ถังรู้สึกอิจฉานิดหน่อยที่เผยเยี่ยนมีห้องหนังสือกว้างขวางเพียงนี้ นางจึงลอบสำรวจไปหลายครั้ง
เผยเยี่ยนเดินตามเข้ามาโดยที่ไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาพิงตัวอยู่กับโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องหนังสือ แล้วชี้นิ้วไปทางเก้าอี้ฐานกว้างซึ่งอยู่ข้างเก้าอี้โยก เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นั่ง!”
อวี้ถังรู้สึกว่าเดิมเผยเยี่ยนก็สูงกว่านางหนึ่งช่วงศีรษะ หากว่านางนั่งลง มิใช่ยิ่งดูเสียเปรียบ?
นี่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเรื่องที่นางจะพูดถัดจากนี้เลย
นางเอ่ยขอบคุณยิ้มๆ แต่ไม่ได้นั่งลงตามคำสั่ง
เผยเยี่ยนร้อง ‘เหอะ’ ในใจเสียงหนึ่ง
นี่คิดจะต่อต้านเขาชัดๆ!
ทว่า นางก็เป็นได้แค่ลูกแมวตัวหนึ่ง ตอนอาละวาดขึ้นมาก็คงจะกล้าแค่กางกรงเล็บออกมาเกาสองที อย่างมากก็ทำภาพวาดสักผืนขาดรุ่ย ทำแจกันตกแตกสักชิ้น ความเสียหายเท่านี้เขายังรับไหว ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวสักนิด
“ท่านแม่ข้าว่าอย่างไรบ้าง?” เผยเยี่ยนไม่ได้เกรงใจ เปิดประเด็นตรงไปตรงมา “พิธีแสวงบุญตอนวันสรงน้ำพระที่วัดเจาหมิงมีกำหนดการอย่างไร?”
“ข้าไม่ได้ถาม” อวี้ถังใช้ดวงตากลมโตสีขาวดำมองเขา สีหน้าซื่อตรงเต็มเปี่ยมจ้องมองไปที่เผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนพลันชะงักไป
อวี้ถังเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกผิด “เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้ามาถึงที่จวน ตอนที่เจอท่านแม่เฒ่าถึงค่อยนึกออกว่า…แต่ก่อนตอนที่ข้าเคยมาพักที่จวนช่วงหนึ่ง หากมีเรื่องอะไรผู้ดูแลกับต้าเหนียงคนอื่นๆ มักจะมาแจ้งพวกเราล่วงหน้าหนึ่งวันอยู่แล้ว งานบรรยายธรรมที่เป็นงานใหญ่เช่นนี้ ย่อมต้องมีผู้ดูแลคอยรับผิดชอบ เช่นนั้น ตารางงานพิธีบรรยายธรรมย่อมมีกำหนดเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว จากนั้นค่อยแจ้งต่อทุกคนที่เข้าร่วม เป็นข้าที่รีบร้อนไปเอง ตั้งแต่เด็กก็อยู่แต่ในตรอกเล็กๆ ข้างถนน เมื่อก่อนจึงไม่รู้เรื่อง กระทั่งได้มาเจอท่านแม่เฒ่าและเฉินต้าเหนียงถึงได้เข้าใจในที่สุด”
เผยเยี่ยนได้ฟัง โทสะกลุ่มหนึ่งจุกแน่นอยู่กลางอก จนไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกมาดี
คงมีแต่เขาที่คิดจริงจังกับคำพูดของนาง ทั้งยังเร่งร้อนเดินทางกลับจวน กลัวว่านางจะก่อเรื่องวุ่นในวันบรรยายธรรม ถึงเวลานั้นคนที่ขายหน้าไม่ใช่เพียงสกุลกู้ แต่ยังมีสกุลเผยและสกุลอวี้อีกด้วย
แต่เมื่อเห็นรอยวิบวับที่ทอประกายสนุกสนานในก้นบึ้งดวงตา สีหน้าสาแก่ใจราวกับทำแผนร้ายสำเร็จของอวี้ถัง เขายังจะตำหนินางที่หลอกตนให้หลงกลได้อีกหรือ?
เผยเยี่ยนรู้สึกเหนื่อยใจนัก
เขากดนวดที่ขมับอย่างอ่อนล้า แล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “ในเมื่อเจ้าคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องรู้ล่วงหน้า เช่นนั้นก็ให้ถึงวันที่กำหนดการออกมาก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่! ทว่า หากกำหนดการออกมาแล้ว เจ้าต้องทำตามกำหนดการนั้นด้วย มิฉะนั้นถ้าพิธีบรรยายธรรมเกิดสะดุดติดขัดขึ้นมา คนที่ขายหน้าก็คือท่านแม่เฒ่า”
อวี้ถังเข้าใจดี
ชาติก่อนนางเคยผ่านเรื่องที่กู้ซีถวายตำรับเครื่องหอมมาก่อน
อย่างไรก็แค่กระดาษไม่กี่แผ่นเท่านั้น
ต่อให้กู้ซีจะทำออกมาได้งดงามเพียงใด คิดเพิ่มความโด่งดังให้ตนเองผ่านเรื่องนี้ แต่ก็มิอาจสู้กล่องบริจาคที่ใช้สี่คนแบก ธูปกำยานขดที่มีขนาดใหญ่เท่าถังไม้ล้างเท้า หรือธูปก้านยาวที่มีขนาดเท่าแขนเด็กได้หรอก
นางมีวิธีตั้งมากที่จะกดข่มกู้ซีเอาไว้
อีกอย่าง นางยังตั้งหน้าตั้งตาคอยให้วันนั้นมาถึงโดยเร็ว นางอยากจะเห็นสีหน้าบูดบึ้งของกู้ซีแล้ว
“หากว่านายท่านสามไม่มีเรื่องอื่นอีกข้าขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ” อวี้ถังดื่มชาเหยียนฉาที่อาหมิงยกเข้ามาไปอึกหนึ่ง รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ไม่มีเวลาได้กินเถาซูปิ่ง[1]ที่อยู่ในห้องหนังสือของเผยเยี่ยน
ชาเหยียนฉาจับคู่กับเถาซูปิ่ง แค่คิดก็อร่อยจนทำให้คนต้องแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้ว
แต่ว่านางเพิ่งยั่วโมโหเผยเยี่ยนเอาไว้ นางกลัวเผยเยี่ยนจะอาละวาด
หากโอรสสวรรค์พิโรธขึ้นมา ซากศพคงกองเกลื่อน เลือดไหลเป็นลำธารแน่
เผยเยี่ยนคงเทียบกับโอรสสวรรค์ไม่ได้ แต่สำหรับชาวเมืองหลินอัน หรือพูดได้ว่าสำหรับสกุลอวี้แล้ว เป็นเรื่องง่ายดายมากที่จะทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อน
“ข้าบอกเรื่องที่จะยืมตัวเถ้าแก่น้อยถงกับท่านแม่เฒ่าแล้ว” นางเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีนอบน้อม ไม่อยากยั่วโทสะเผยเยี่ยนในเวลานี้อีก “เพื่อแสดงถึงความจริงใจคงต้องไปเชิญด้วยตนเองสักครั้ง เหลือเวลาอีกไม่เท่าไรก็จะถึงวันสรงน้ำพระแล้ว ข้ารู้สึกร้อนใจไม่น้อย คิดว่าพรุ่งนี้ก็จะแวะไปที่เรือนสกุลถงเลย” พูดจบ ก็ย่อกายคารวะเผยเยี่ยนทีหนึ่ง แสร้งวางท่าว่าไม่สนใจว่าสุดท้ายท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ตอนนี้ข้ายุ่งมาก และจะต้องจากไปแล้ว ซ้ำยังกำชับเผยเยี่ยนส่งท้าย “ท่านอย่าลืมส่งคนไปบอกเถ้าแก่ถงทั้งสองสักคำด้วย กลัวว่าข้าทะเล่อทะล่าเข้าไป เถ้าแก่ถงทั้งสองยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูดขึ้นมา จะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายอีก”
เผยเยี่ยนเห็นแล้วก็หงุดหงิดใจ โบกมือไล่บอกให้นางไปเสีย
อวี้ถังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนกน้อยที่บินออกจากกรงขัง คนคล้ายจะลอยลิ่วๆ ได้
ระหว่างทาง นางก็ลองพูดกล่อมจี้ต้าเหนียงซึ่งเป็นแม่ยายของเถ้าแก่ถงน้อยว่า “แม้จะไม่ใช่งานใหญ่โตอย่างที่เถ้าแก่ใหญ่ดูแล แต่นี่เป็นงานบุญ เป็นงานที่ทิ้งชื่อเสียงเอาไว้ คนไม่ว่าจะเดินไปไกลเท่าไร เดินขึ้นสูงแค่ไหน อย่างไรก็ต้องกลับหวนคืนถิ่น การมีชื่อเสียงที่ดีในบ้านเกิดของตน เป็นเรื่องที่ผู้อื่นอยากไขว่คว้าก็แต่ก็หามาไม่ได้”
จี้ต้าเหนียงได้ยินก็หัวเราะทันที “คุณหนูอวี้ ท่านไม่จำเป็นต้องพูดคำพวกนี้ให้ข้าฟัง พวกเราสกุลจี้ก็ดี สกุลถงก็ช่าง ล้วนแต่เป็นข้ารับใช้ของสกุลเผย ได้รับความเมตตาจากสกุลเผยมาก่อน นายท่านสามกับท่านแม่เฒ่าสั่งให้พวกเราทำอะไร พวกเราก็จะทำอย่างนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่าให้ไปช่วยท่านกับเหล่าคุณหนูจัดการธุระเรื่องอารามดับทุกข์เลย ต่อให้สั่งเขาไปเป็นผู้ดูแลเรือกสวนไร่นา เขาก็ต้องไปเรียนรู้กับชาวไร่ชาวนา ช่วยนายท่านสามกับท่านผู้เฒ่าจัดการเรื่องพื้นที่เพาะปลูกอยู่แล้ว”
อวี้ถังหัวเราะหึๆ ดวงหน้าคล้ายจะขึ้นสี
หลังจากที่กลับจากจวนสกุลเผย นางก็นอนหมดแรงบนเตียงทันที
คนสกุลเฉินเห็นว่านางแค่ไปเป็นแขกที่จวนสกุลเผยหนึ่งวัน จึงอดจะกังวลไม่ได้ “ทำสิ่งใดต้องรู้จักประมาณกำลังของตน หากว่าไม่ไหว ก็ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องอารามดับทุกข์แล้ว คิดว่าท่านแม่เฒ่าสกุลเผยต้องเข้าใจแน่”
อวี้ถังร้อง “อืม” ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
คนสกุลเฉินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก มือตบที่ไหล่ของนางอย่างแรง แล้วนั่งลงที่หัวเตียงพลางเอ่ยเสียงนุ่มว่า “อาถัง มารดามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
อวี้ถังได้ยินก็เด้งตัวขึ้นมานั่งอย่างเตรียมพร้อม ตอบกลับด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ท่านพูดได้เลยเจ้าค่ะ!”
คนสกุลเฉินเห็นดังนั้นความโมโหก็พุ่งพรวด ฟาดมือที่หลังมือนางอีกที แล้วจึงค่อยเอ่ยว่า “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ข้ามิใช่ทำเพราะหวังดีต่อเจ้าหรือ? พอเริ่มปีใหม่ เจ้าก็จะสิบแปดแล้ว หญิงสาวบ้านอื่นที่อายุเท่าเจ้าล้วนออกเรือนกันไปตั้งนานแล้ว งานแต่งของเจ้ายังไม่มีวี่แววเลยสักนิด ข้ามิใช่ต้องร้อนใจหรือ?”
อวี้ถังปลอบขวัญคนสกุลเฉินว่า “ข้ารู้เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย แค่ไม่อยากให้ท่านร้อนใจเท่านั้น นี่มิใช่การซื้อถ้วยซื้อจานเสียหน่อย ถ้าซื้อของไม่ดีมาก็ค่อยซื้อเพิ่มใหม่ก็ได้” สมองนางแล่นปราดไวว่อง “ท่านพ่อเองก็บอกว่าไม่รีบร้อนนี่เจ้าคะ”
“แต่สกุลที่นายหญิงอู๋แนะนำให้เจ้ารอบนี้ข้าดูแล้วไม่เลวเลย” นางเอ่ยต่ออย่างไม่ยอมตัดใจ “ข้าคิดว่าเด็กคนนั้นก็ใช้ได้…”
อวี้ถังจึงได้แต่ถามต่อว่า “ลูกหลานสกุลใดเจ้าคะ? ถ้าท่านคิดว่าใช้ได้ ข้าก็จะไปดูตัว”
อย่างไรเสียนับจากปีใหม่มาสกุลนางก็ไปดูตัวมาหลายครั้งแล้ว หากมิใช่มารดารังเกียจว่ารูปร่างหน้าตาไม่ดี ก็เป็นบิดาที่รังเกียจว่าผู้อื่นไม่มีวิชาความรู้…คนที่มีวิชาและหน้าตาหล่อเหลา จะยอมแต่งเข้าเป็นเขยสกุลอื่นได้อย่างไร?
นางไม่อยากดับภาพฝันของบิดามารดา จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยไป
อย่างไรเก้าในสิบส่วนก็ไม่มีทางสำเร็จอยู่แล้ว
คนสกุลเฉินเห็นว่าบุตรสาวว่านอนสอนง่าย ก็ประหลาดใจมาก รีบเอ่ยต่อว่า “เป็นหลานชายของท่านน้าบ้านสามีท่านป้าสกุลฝั่งมารดาของนายหญิงอู๋…”
อวี้ถังฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ในใจคิดแต่เรื่องที่พรุ่งนี้จะต้องไปพบเถ้าแก่น้อยถง เห็นวาจาของคนสกุลเฺฉินเป็นทำนองกล่อมให้หลับใหล ก่อนจะผล็อยหลับไปจริงๆ หากมิใช่คนสกุลเฉินบิดเนื้อเข้าให้ เกรงว่านางคงหลับยาวจนถึงพรุ่งนี้เช้าเสียแล้ว
คนสกุลเฉินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อบรมอวี้ถังไปยกใหญ่ ตอนกินอาหารเย็นยังเอาเรื่องนี้ไปฟ้องให้อวี้เหวินฟังอีกรอบ
อวี้เหวินหัวเราะแล้วแสร้งทำไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ง่ายกว่าจะหลอกล่อให้คนสกุลเฉินยิ้มออก ฟ้าฝนจึงพัดผ่านไปด้วยประการฉะนี้
อวี้ถังลอบส่งหัวนิ้วโป้งให้บิดา
อวี้เหวินหัวเราะอย่างได้ใจ ฉวยโอกาสตอนที่คนสกุลเฉินเรียกป้าเฉินเข้ามาถามความกระซิบบอกกับอวี้ถังว่า “การแต่งงานมิอาจรีบร้อน พอรีบร้อนขึ้นมาก็จะเกิดข้อผิดพลาด เจ้าอะไรๆ ก็อย่าฟังมารดาไปเสียหมด หากวันไหนเจ้าไปดูตัว ให้จำคำพูดของบิดาเอาไว้ หากรู้สึกเพียงเล็กน้อยว่าไม่พอใจ เช่นนั้นก็อย่าได้ตอบตกลง ไม่เช่นนั้นมีแต่จะทำร้ายผู้อื่นและตัวเอง”
อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก
แต่ในจวนสกุลเผยทางนั้น ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยถือถ้วยชาไว้ในมือนิ่ง ไม่ได้ขยับมาพักใหญ่แล้ว
เจินจูเคลื่อนตัวเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะบีบนวดไหล่ให้ท่านแม่เฒ่า
ท่านแม่เฒ่าคล้ายจะพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ทำไมกลับมาเวลานี้? ไม่ได้มาพบข้าก่อน แต่กลับไปหาคุณหนูอวี้ ทั้งไปดักคนที่หน้าประตูอีก…”
บุตรชายของนาง เคยทำเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
หัวใจของท่านแม่เฒ่าสะท้านไหว
เผยเยี่ยนของนางคงมิได้ถูกใจอวี้ถังของสกุลอวี้ซิ่วไฉหรอกกระมัง?
คำกล่าวนั้นว่าไว้ถูกต้องแล้ว วีรบุรุษยากจะก้าวผ่านด่านหญิงงาม
อวี้ถังนับว่าเป็นโฉมงามคนหนึ่ง แต่จะเป็นด่านที่ต้องข้ามผ่านจริงหรือไม่ ใครจะล่วงรู้ได้เล่า?
อย่างไรอีกไม่กี่เดือนก็จะพ้นช่วงไว้ทุกข์ให้ท่านผู้เฒ่าแล้ว งานแต่งของบุตรชายคนเล็กก็ไม่ต้องรีบร้อนเท่าใด
อีกอย่างต่อให้นางรีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์
เผยเยี่ยนแต่เด็กก็เป็นคนมีความคิดของตนเอง งานแต่งกับสกุลหลีเขาพูดแล้วว่าไม่ ต่อให้สกุลหลีจะกระทำกับเขาเช่นไร เขาก็ไม่ตอบตกลง ส่วนสกุลอวี้…แทบจะเทียบชั้นกันไม่ติดเลย
บางทีนางอาจคิดมากไปเอง
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยส่ายหน้า ในใจมีความรู้สึกกังวลอยู่รางๆ
วันรุ่งขึ้น อวี้ถังเดินทางไปพบสองเถ้าแก่ถงน้อยใหญ่
เผยเยี่ยนจัดการเรื่องราวได้อย่างชัดเจนหมดจด
สองเถ้าแก่น้อยใหญ่ได้รับจดหมายอนุญาตแล้ว ตอนที่เห็นอวี้ถัง สองพ่อลูกก็ส่งยิ้มต้อนรับให้ เถ้าแก่ถงใหญ่พูดกับนางอย่างคนกันเองว่า “เจ้าเด็กคนนี้ อยากให้เสี่ยวถงเป็นธุระเรื่องใดก็ให้เขาไปทำสิ ไม่เห็นต้องไปขอความเมตตาจากนายท่านสามให้เขาเลย ทั้งยังให้เขาแทนตัวผู้ดูแลที่ว่างลงได้อีก ต่อไปหากพ่อบ้านคนใดลาออกไป เสี่ยวถงก็มีโอกาสชิงตำแหน่งพ่อบ้านด้วย”
มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ?
อวี้ถังเหงื่อตก ไม่กล้าชิงความชอบของเผยเยี่ยน นางเอ่ยว่า “นี่เป็นความต้องการของนายท่านสาม ข้าก็แค่ช่วยส่งเสริมอยู่ข้างๆ เท่านั้น”
เถ้าแก่ใหญ่ถงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว บางคำเขาก็ไม่สะดวกจะพูดออกมาให้ชัดเจน ได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะ “ไม่ว่าจะเป็นความชอบของใคร เวลานี้ท่านยังคิดถึงสกุลถงของข้า พวกเราสกุลถงรู้สึกซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง” พูดจบ เขาคล้ายว่าไม่ต้องการจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อ จึงเปลี่ยนไปถามเรื่องธูปหอมว่า “พอข้ารู้เรื่องก็ให้คนไปสืบเรื่องช่างฝีมือที่ทำธูปหอมแล้ว น่าจะสักสองสามวันคงจะได้ข่าวกลับมา”
————————————————————-
[1]เถาซูปิ่ง คือ คุกกี้วอลนัต