ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 212 คลื่นใต้น้ำ
สตรีของสกุลอู่ไม่ได้พักอยู่กับท่านแม่เฒ่านานนัก คนสกุลเฉินกลับถูกนายหญิงสามสกุลหยางพาไปแนะนำให้สตรีของสกุลเผยรู้จัก รอจนท่านแม่เฒ่ากลับมาจากกินข้าว คุณหนูสวีก็ตามอวี้ถังไปยังห้องเซียงฝางที่คนสกุลเฉินและอวี้ถังพักอยู่ อวี้ถังแบ่งน้ำปรุงดอกไม้ให้นางครึ่งขวด คุณหนูสวีดีใจยกใหญ่ “กลิ่นนี้หอมมาก” ยังเอ่ยว่า “น้องอวี้วางใจเถิด อีกสองสามวันข้าจะคืนให้เจ้าขวดหนึ่ง”
แม้ว่าอวี้ถังจะชื่นชอบน้ำปรุงดอกไม้ แต่นางได้ยินมาว่าเมืองหังโจวก็มีขาย ไม่ใช่สิ่งที่หายากอะไร เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องหรอก เจ้าชอบก็นำไปใช้เถิด”
คุณหนูสวีก็ไม่เกรงใจ เอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าล่วงหน้าแล้ว” พูดจบ นางก็หยัดกายขึ้นบอกลา “น้องสาวนอนกลางวันสักงีบเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะมาเที่ยวเล่นกับเจ้าใหม่” จากนั้นก็ชี้ไปห้องเซียงฝางข้างๆ ที่พวกนางพักอยู่ “ข้าและนายหญิงสามสกุลหยางพักอยู่ด้านข้าง”
อวี้ถังขานรับ ส่งคุณหนูสวีออกจากประตูด้วยรอยยิ้ม เมื่อหมุนกายก็ถูกคนสกุลเฉินเรียกมาทางห้องตะวันออก
คนสกุลเฉินกำลังนั่งเขียนอักษรบนโต๊ะหนังสือข้างหน้าต่าง เห็นอวี้ถังเข้ามา ก็รีบกวักมือเรียกนาง “เจ้ารีบมาช่วยข้าดู”
อวี้ถังสาวเท้าเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม พบว่ามารดาของนางกำลังเขียนชื่อและลักษณะหน้าตาของสตรีสกุลเผยที่ได้พบวันนี้
“นี่ท่านทำอะไรเจ้าคะ?” นางไม่เข้าใจอยู่บ้าง
คนสกุลเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรพวกเราก็เป็นคนหลินอัน เมื่อก่อนไม่อาจคบค้ากับสกุลเผย ยามนี้ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ก็ควรจะรู้จักพวกนายหญิงและสะใภ้ของจวนสกุลเผย เจ้าก็รู้ดีว่าสมาชิกครอบครัวพวกเรามีน้อย ข้าร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพ่อเจ้ามาหลายปี พ่อเจ้าก็เอาแต่ปกป้องข้าอยู่เรื่อยมา ข้านั้นมีประสบการณ์น้อย กลัวว่าตัวเองจะหลงลืม ยามที่พบเจอพวกนางอีกครั้งจะล่วงเกินเข้า คิดว่าเขียนไว้ก็ดีกว่าจำเฉยๆ ฉวยยามที่ข้ายังมีภาพจำ จดจำคนที่เจอในวันนี้ ภายหลังก็เป็นประโยชน์กับเจ้าเช่นกัน…ไม่จำชื่อคนอื่นผิด ทั้งเป็นการให้ความเคารพคนอื่นอย่างหนึ่ง”
อวี้ถังคิดว่ามารดาพูดไม่ผิด
นางยกเก้าอี้มานั่งข้างมารดา หวนนึกคนที่พบเจอในวันนี้ ทั้งพยายามจดจำรูปร่างหน้าตาของพวกนางไปพลาง บางครั้งก็ซุบซิบนินทาเสียงเบา พูดคุยเรื่องในจวนสกุลเผย
คล้ายกับตอนเด็กที่เล่นกับมารดา นอกจากอวี้ถังจะไม่รู้สึกเหนื่อยล้า ยังกระตือรือร้น สนุกสนานอย่างยิ่ง หากไม่ใช่ว่าคุณหนูสวีเข้ามาเที่ยวหานาง นางก็คงไม่ทันสังเกตว่าเวลาได้ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว
พวกนางลืมนอนกลางวันเสียสิ้น
สองแม่ลูกหัวเราะแก่กัน ในใจกลับรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง
อวี้ถังกอดแขนมารดา คิดว่ายามที่คุณหนูสวีเรียนผังลำดับวงศ์สกุล ก็คงเหมือนกับนางและมารดา สนุกสนานรื่นเริง ดังนั้นคุณหนูสวีจึงได้เข้าใจความสัมพันธ์ของวงศ์สกุลเป็นอย่างดี!
จู่ๆ นางก็เกิดความรู้สึกสนิทสนมกับคุณหนูสวีขึ้นมาหลายส่วน
ยามที่คุณหนูสวีควักน้ำปรุงที่ลักษณะเหมือนของนางไม่ผิดเพี้ยนออกมาด้วยความภูมิใจ ทั้งยังทำท่าราวกับปลอบใจน้องสาวตัวน้อยของตน อวี้ถังก็เอ่ยชื่นชมนางด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเก่งจริงๆ หาน้ำปรุงดอกไม้เหมือนกับขวดของข้าได้เร็วยิ่ง เจ้าไปได้มาอย่างไรกัน”
คุณหนูสวีได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็รู้สึกดีไม่น้อย น้ำเสียงยังสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เลิกคิ้วเอ่ยกับอวี้ถัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสกุลอู่ทำอะไร? พวกเขาทำกิจการขนส่งทางน้ำ ทุกปีสกุลพวกเขาล้วนเสียกำลังมหาศาล จัดเตรียมของขวัญเพื่อขอร้องให้ผู้มีอำนาจในเมืองหลวงช่วยเหลือ ผู้มีอำนาจในเมืองหลวงจะขาดแคลนอะไร? อย่างมากก็เป็นสิ่งของหายากที่ขนส่งทางทะเล น้ำปรุงดอกไม้ของเจ้ามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นสินค้าที่ค้าขายทางทะเล ข้าจึงส่งคนไปขอจากสกุลพวกนาง พวกนางก็นำออกมาให้ข้าเลือกเจ็ดแปดกลิ่นแล้ว” พูดจบ นางก็มอบให้อวี้ถังราวกับเป็นของล้ำค่า ทั้งกะพริบตาปริบ “หากไม่มีสกุลอู่ ข้าก็ไปถามจากสกุลซ่งได้ สกุลซ่งนั้นให้ความสำคัญเรื่องหน้าตาเป็นที่สุด ของหายากพวกนี้ สตรีสกุลพวกนางย่อมนำมาโอ้อวดอยู่แล้ว” สุดท้ายนางก็เอ่ยอย่างจริงใจ “อีกเดี๋ยวน้องสาวไปเที่ยวที่ห้องข้า ก็เลือกน้ำปรุงดอกไม้กลิ่นอื่นกลับไปได้”
อวี้ถังยกยิ้ม เอ่ยว่า “เจ้าฉลาดจริงๆ!”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว” คุณหนูสวีค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมา
อวี้ถังขอบคุณนาง ก่อนจะรับน้ำปรุงดอกไม้ที่นางพกมาให้
คุณหนูสวียิ่งชอบนางมากไปอีก
รู้สึกว่านางไม่ขลาดอายอะไร แม้ชาติกำเนิดจะธรรมดา กลับสง่าผ่าเผย ไม่วางตัวต้อยต่ำหรือเย่อหยิ่งจนเกินไป
นางอดคุยเล่นกับอวี้ถังต่อไม่ได้ “คนของสกุลอู่ก็ขึ้นชื่อเรื่องรูปลักษณ์งดงาม ไม่อย่างนั้นคุณหนูของสกุลพวกเขาคงไม่อาจแต่งไปสกุลเจียง ทั้งยังเป็นสะใภ้คนโตของสกุลเจียง ท่านป้าข้าพูดว่า เป็นเพราะเมื่อก่อนสกุลอู่เป็นโจรสลัด สะใภ้ที่แต่งเข้าไปล้วนเป็นสาวงามที่แย่งชิงมาแต่ละพื้นที่ คนสกุลพวกเขาจึงล้วนมีผิวพรรณขาวกระจ่างหน้าตางดงาม แต่ว่าสกุลเจียงก็สร้างชื่อเสียงให้สกุลเจียงได้ไม่ดีเท่าใด ข้าสืบมาชัดเจนแล้ว ครั้งนี้สกุลอู่มีเพียงคุณชายสองคน คุณหนูกลับมากหน้าหลายตา ตั้งแต่สิบสี่ปีถึงสิบแปดปีล้วนไม่ขาด หน้าตาพริ้มเพรากันทั้งนั้น รวมถึงคุณหนูสิบสกุลอู่ที่ว่ากันว่าแทบไม่ด้อยจากคุณหนูใหญ่ที่แต่งไปยังสกุลเจียงผู้นั้น ข้าคิดว่า สกุลอู่ย่อมวางแผนที่จะให้คุณหนูของพวกเขาแต่งงานกับนายท่านสามเผยเป็นแน่”
อวี้ถังตกใจยกใหญ่ ละล่ำละลักเอ่ย “เจ้าเบาเสียงลงหน่อย! กำแพงมีหูประตูมีช่อง จะทำลายชื่อเสียงคนอื่นเอาได้”
แต่ก็ไม่ได้สงสัยการคาดเดาของนาง
คุณหนูสวีชะงักไปเล็กน้อย คล้อยหลังก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา เตรียมจะเข้าไปลูบศีรษะอวี้ถังด้วยแววตาวิบวาว “เจ้าน่าสนใจจริงๆ!”
อวี้ถังบิดศีรษะหลบมือนาง เอ็ดว่า “ข้าไม่อยากหวีผมใหม่ เจ้าอย่าลูบผมข้า”
คุณหนูสวีหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง รับปากว่า “เจ้าวางใจ ข้าพาหญิงรับใช้ที่ทำผมเป็นมาหนึ่งคน ทั้งสาวใช้ที่ทำผมมาอีกคน ถึงเวลานั้นก็ให้คนเข้ามาช่วยเหลือเจ้าได้”
อวี้ถังลอบชมในใจ
สกุลอย่างพวกนางสามารถมีบ่าวรับใช้ที่ดูแลทำผมได้คนหนึ่งก็นับเป็นเรื่องประเสริฐแล้ว แม้แต่ชาติก่อนยามที่กู้ซีแต่งเข้าไปในสกุลหลี่ ก็มีเพียงหญิงรับใช้ที่รับผิดชอบทำผมเป็นสินเดิมคนเดียวเท่านั้น หญิงรับใช้คนนี้ยังรับผิดชอบเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ ทั้งคอยช่วยเหลืองานเล็กงานน้อยของแม่นมกู้ซี พวกคุณหนูเผยแต่ละคนก็มีสาวใช้ที่สามารถทำผมได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าสกุลสวีมั่งคั่งจริงๆ
คุณหนูสวีถามอวี้ถังอีกครั้ง “เจ้าไม่มีวิธีจะเข้าพบนายท่านสามจริงๆ รึ? ข้าสงสัยว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร? เจ้าว่า หากทางพวกเรามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาจะเข้ามาดูด้วยตนเองหรือไม่ อย่างไรทางนี้ก็มีสตรีอยู่มากมาย…”
อวี้ถังได้ยินก็ตื่นตระหนกขึ้นมา เอ่ยห้ามปรามนาง “เจ้าจะทำอะไร? หากเจ้าเป็นต้นเหตุให้สตรีที่อยู่ที่นี่เกิดเหตุไม่คาดฝันอันใด เจ้าคิดว่าภายหลังเจ้าจะสามารถนอนหลับลงได้รึ? อีกอย่าง เร่งรีบไปใช่ว่าจะสำเร็จผล ไฉนเจ้าต้องดึงดันขนาดนี้? ไม่ใช่ว่าพวกเรายังต้องพักในวัดอีกสี่วันหรอกรึ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าภายหลังจะไม่มีโอกาสพบนายท่านสาม?”
“เจ้าพูดมีเหตุผล” คุณหนูสวีครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ “ข้าใจร้อนไปอยู่บ้างจริงๆ”
อวี้ถังเห็นก็คิดคล้อยตาม เอ่ยว่า “ไฉนเจ้าต้องร้อนใจจะพบนายท่านสามให้ได้ด้วย?”
คุณหนูสวีเผยสีหน้ากระดากอาย ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยบอกนางเสียงแผ่ว “สกุลพวกเราก็อยากให้ญาติผู้น้องของข้าแต่งให้เผยสยากวงเช่นกัน แต่ญาติผู้น้องของข้าปีนี้เพิ่งจะสิบหกปี อายุน้อยไปอยู่บ้าง เผยสยากวงถอดชุดไว้ทุกข์ก็คงจะแต่งงานแล้ว คาดว่าคนสกุลเผยคงไม่รับปาก แต่ฟังจากท่านอาของข้า ไม่ว่าเขาจะรับปากหรือไม่ก็ต้องลองดูก่อน”
อวี้ถังอ้าปากค้าง พาให้คุณหนูสวีหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
นางยังเคาะศีรษะอวี้ถังไปที เอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้น เจ้าคิดว่านายหญิงสามสกุลหยางจะมาทำไมล่ะ? เจ้าคงไม่คิดว่าทุกคนล้วนมาฟังธรรมกันจริงๆ หรอกกระมัง? กระทั่งท่านแม่เฒ่าก็ยังไม่แน่ว่าจะมีความคิดเช่นนี้”
อวี้ถังไม่พูดอันใด รู้สึกอัดอั้นตันใจ สีหน้าก็ดูไม่ได้อยู่บ้าง
คุณหนูสวียังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ไม่ได้ตระหนักถึงท่าทีแปลกๆ ของอวี้ถัง พูดร่ำไรอยู่อย่างนั้น “ไม่รู้ว่ายังมีสกุลใดเข้ามาอีก ยามนี้ก็มีหลายสกุลแล้ว ข้าว่าสกุลเผิงอาจจะไม่มีความคิดนี้แล้ว เอ๊ะ…” นางคล้ายกับพบเจอเรื่องยอดเยี่ยมอะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็ร้องอย่างตกใจออกมา
อวี้ถังตกใจเสียงของนางจนหัวใจบีบรัดไปหมด รีบเอ่ยว่า “เป็นอะไรรึ?”
คุณหนูสวีดึงมืออวี้ถัง กระซิบข้างหูนาง “เจ้าว่า สกุลเผิงกับสกุลเผยจะสนิทกันเพียงฉากหน้าขัดแย้งกันภายในหรือไม่? สกุลเผิงอยู่ฝูเจี้ยนห่างไกลลิบ สกุลพวกเขาเข้ามาดูมหรสพอะไรกัน?”
อวี้ถังใจเต้นตึกๆ ตักๆ
คุณหนูสวีฉลาดเกินไปแล้ว
เกิดเรื่องแผนที่เดินเรือ สกุลเผยย่อมระแวดระวังสกุลเผิง แต่หากสกุลเผิงก็ระแวดระวังสกุลเผย นั่นก็หมายความว่า สกุลเผิงพบว่าสกุลเผยได้เตรียมพร้อมรับมือกับพวกเขาแล้วมิใช่หรอกรึ? หากเป็นเช่นนั้น สกุลเผิงและสกุลเผยแตกหักกันขึ้นมา สกุลเผยอยากจะจัดการสกุลเผิงก็คงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว
เผยเยี่ยนรู้ท่าทีของสกุลเผิงหรือไม่?
อวี้ถังสูดลมหายใจเข้าลึก อารมณ์จึงค่อยสงบขึ้นมา ทว่าสมองกลับแล่นอย่างว่องไว
แม้คุณหนูสวีจะฉลาดเท่าใด ก็ย่อมฉลาดไม่เท่าเผยเยี่ยน ในเมื่อคุณหนูสวีมองเรื่องนี้ออก เผยเยี่ยนก็ย่อมมองออกเช่นเดียวกัน
นางควรเชื่อมั่นในตัวเผยเยี่ยน
อวี้ถังสูดลมหายใจเข้าลึกอีกหลายครั้ง
“ข้าทำให้เจ้าตกใจอย่างนั้นรึ?” ยามนี้คุณหนูสวีจึงค่อยพบว่าสีหน้าของอวี้ถังซีดเผือดไปอยู่บ้าง เอ่ยว่า “เจ้ามีตรงไหนไม่สบายหรือไม่?”
“ไม่มีๆ” อวี้ถังว้าวุ่นใจอยู่บ้าง อยากจะปกปิด แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองว้าวุ่นใจเพราะอะไร ทั้งเหตุใดต้องปกปิด “แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้มาก่อน จึงรู้สึกตกใจอยู่บ้าง”
คุณหนูสวีเชื่อนาง
นางเห็นเด็กสาวเช่นอวี้ถังมามาก ปกติมักใส่ใจแต่เรื่องเสื้อผ้าเครื่องประดับ ไม่ค่อยสนใจเรื่องภายนอก
“ขอโทษด้วย” นางเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ข้าชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย ข้าคาดเดาส่งเดชเท่านั้น ไม่แน่ว่าเพราะฝูเจี้ยนไกลจากที่นี่มาก สกุลเผิงจึงได้ส่งสตรีมาไม่กี่คนเท่านั้น ความจริงท่านแม่ข้าก็เคยบอกข้าหลายครั้งแล้ว ข้าว่างมากเกินไปจริงๆ”
“ไม่หรอก เจ้าเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว” อวี้ถังเห็นนางเศร้า ก็เอ่ยปลอบนาง “บางครั้งข้าก็ชอบคาดเดาเรื่อยเปื่อยเช่นกัน แต่เจ้ารู้อะไรเยอะกว่าข้า การคาดเดาของพวกเราจึงไม่เหมือนกันเท่านั้น อย่างข้า บางครั้งยามที่เห็นบ่าวรับใช้ข้างบ้านถือตะกร้าผักดอง ออกจากประตู ปรากฏว่ายามที่กลับมาตะกร้าว่างเปล่า ก็จะคาดเดาว่านางแอบเอาผักดองพวกนั้นไปแลกเป็นเงินหรือไม่”
คุณหนูสวีหัวเราะลั่น ระหว่างคิ้วนั้นสดใสขึ้นมา เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าเดาถูกหรือไม่?”
“ไม่รู้!” อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่มีโอกาสเข้าไปพิสูจน์”
“แต่ส่วนมากข้ามักเดาถูกทั้งนั้น” คุณหนูสวีเอ่ย “ตั้งแต่เด็กอินหมิงหย่วนป่วยกระเสาะกระแสะ โดนลมโดนฝนไม่ได้ จึงต้องเรียนหนังสือในสกุลของพวกเรา ต้องให้ข้าเป็นเพื่อนเล่นเขา หากข้าไม่อยู่กับเขา เขาก็จะร้องไห้ แม่นมสาวใช้ข้างกายเขาล้วนไปฟ้องร้องต่อหน้าท่านย่าข้า” นางเอ่ยอย่างโมโห “ข้าจึงทำได้เพียงเรียนหนังสือเป็นเพื่อนเขา ภายหลังข้าเติบใหญ่ ก็รู้ว่าต้องรับมือกับเขาอย่างไร…ข้าแค่ไม่พูดกับเขา”
——————-