ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 216 สวนทาง
คุณหนูสวีกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา คิดว่าตัวเองโชคดีจริงๆ
นางมาหลินอันจึงอยากพบเผยเยี่ยน แต่ไม่มีโอกาสมาโดยตลอด แม้จะไหว้วานอวี้ถัง แต่คนที่อวี้ถังส่งไปก็ไม่มีการตอบกลับมา นางเดาได้อย่างเลือนรางว่าเผยเยี่ยนกำลังยุ่งกับอะไรบางอย่าง ไม่อาจเข้าไปรบกวนในเวลานี้ได้จริงๆ
แต่โจวจื่อจินก็ไม่เหมือนกันแล้ว
สกุลพวกนางและโจวจื่อจินมีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง…ญาติผู้พี่คนหนึ่งของนางอายุรุ่นเดียวกับโจวจื่อจิน ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่ได้ข้อสอบขุนนางระดับฮุ่ยซื่อและระดับเตี้ยนซื่อมาจากโจวจื่อจินหรอก
แต่โจวจื่อจิน นอกจากจะลาออกกลับบ้านเกิด ยังชอบเที่ยวเล่นไปทั่ว อินหมิงหย่วนไหว้วานคนไปนัดเขาหลายครั้งก็ยังนัดไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าจะมาพบที่นี่ ไม่ใช่เพราะมีวาสนาจะเป็นอะไรได้อีก?
คุณหนูสวีจับแขนอวี้ถังดึงไปทางห้องหนังสือของเผยเยี่ยนทันที ยังกระซิบกับนางว่า “เจ้าวางใจ ข้าไม่สร้างความลำบากให้เจ้าแน่นอน พอพวกเราถึงที่นั่น ก็ให้คนไปรายงานก่อน แม้ว่าคนผู้นี้จะมีนิสัยแปลกๆ อยู่บ้าง ไม้อ่อนหรือไม้แข็งล้วนใช้ไม่ได้ ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะพบข้าหรือไม่ แต่เรื่องอะไรก็ไม่แน่นอนทั้งนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมโจวจื่อจินจึงเชี่ยวชาญในการวาดภาพสาวงาม? เป็นเพราะเขาชอบสาวงาม เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด เขาไม่ใช่คนคนเสเพล แต่เป็นพวกที่ชื่นชอบภาชนะหรือดอกไม้สวยๆ งามๆ จำพวกนั้น ชอบชื่นชมคนงาม แม้เผยสยากวงจะไม่พบพวกเรา หลังจากโจวจื่อจินรู้ย่อมเกิดความเสียดาย ออกมาต้อนรับขับสู้ พูดปลอบใจพวกเราไม่กี่คำ เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่อาจพบเผยสยากวง น่าเสียดายอยู่บ้าง เกรงว่าท้ายที่สุดยังต้องให้เจ้าช่วยเหลือเรื่องนี้”
ก่อนหน้านี้อวี้ถังไม่รู้ว่านางและอินหมิงหย่วนจะทำหนังสือเช่นนี้ขึ้นมา ยามนี้รู้แล้ว ก็อดคิดอย่างละเอียดไม่ได้อยู่บ้าง
นางเอ่ยว่า “เจ้ากล่าวว่าบันทึกเพียงจิ้นซื่อสิบอันดับแรกของแต่ละครั้ง เช่นนั้นนายท่านสามสกุลเผยย่อมไม่อยู่ในนั้น ภายหลังพวกเจ้ายังต้องบันทึกข้อมูลของคนอื่นๆ อีกรึ?”
ยามนี้สี่หนังสือห้าคัมภีร์ของขงจื้อ คนส่วนมากยังซื้อได้ไม่ทั่วถึงด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้อสอบขุนนางเช่นนี้
คุณหนูสวีได้ฟังก็หัวเราะ เอ่ยว่า “เจ้าจะทำไม่รึ?”
อวี้ถังใบหน้าขึ้นสี เอ่ยด้วยเสียงราวกับแมลงหวี่ “หากรวบรวมเสร็จแล้ว ส่งให้ข้าสักชุดได้หรือไม่”
หนังสือประเภทนี้ล้วนเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ เดิมทีนางก็ไม่กล้าเอ่ยซื้อ
คุณหนูสวีกลอกกลิ้งดวงตาไปทั่ว เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องหาวิธีช่วยข้าให้พบเผยสยากวง”
นี่ก็หมายความว่ารับปากแล้ว
อวี้ถังซาบซึ้งใจ เอ่ยขอบคุณ ทั้งอยากขอให้เผยเยี่ยนสักชุดด้วย เอ่ยว่า “หากนายท่านสามถามขึ้นมา ข้าสามารถบอกเรื่องที่เจ้าเรียบเรียงหนังสือได้หรือไม่?”
คุณหนูเม้มปากแย้มยิ้ม คิดว่าอวี้ถังน่าสนใจอย่างยิ่ง เป็นคนที่รอบคอบคนหนึ่ง
“แน่นอนๆ” นางขานรับระรัว ในใจกลับครุ่นคิด ดูท่าความสัมพันธ์ระหว่างสกุลอวี้และสกุลเผยจะดีกว่าที่นางคิดไว้ ไม่อย่างนั้นอวี้ถังก็คงไม่ช่วยตัดสินใจให้เผยเยี่ยน หากเผยเยี่ยนรู้ว่าอวี้ถังขายเขาเพราะเหตุใด…ยามนี้นางอยากเห็นจริงๆ ว่าเผยเยี่ยนจะมีสีหน้าอย่างไร
คุณหนูสวีเบิกบานใจยิ่ง เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับกู้ฉ่าง
กู้ฉ่างเห็นคุณหนูทั้งสองพาสาวใช้ข้างกายเดินมาทางเขาตั้งแต่ไกลๆ แล้ว คนหนึ่งสวมเสื้อกั๊กยาวผ้าหยาบสีส้มอ่อน อีกคนสวมเสื้อกั๊กยาวผ้าหยาบสีน้ำผึ้งอ่อน ล้วนอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด รูปลักษณ์งดงามเหมือนกัน แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องใบหน้าคุณหนูที่สวมเสื้อกั๊กยาวสีน้ำผึ้งอ่อนมากหน่อย
กล่าวตามตรง เขาพบคนสวมชุดสีน้ำผึ้งอ่อนมาไม่น้อย สีที่ออกเหลืองอ่อนรวมกับขาวบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นผ้าแบบใด สวมอยู่บนร่างกายแล้วล้วนพาให้คนรู้สึกขาดความมีชีวิตชีวา มีเพียงคุณหนูตรงหน้านี้ คาดไม่ถึงว่าสีน้ำผึ้งอ่อนจืดชืดกลับขับผิวนางให้กระจ่างราวกับหิมะ แววตาพร่างพราว สดใสยิ่งกว่าสิ่งใด พาให้เขาอดแปลกใจไม่ได้อยู่บ้าง
รอจนเดินเข้ามาใกล้ เขาก็ยิ่งแปลกใจ
คุณหนูผู้นี้ไม่เพียงหน้าตาพริ้มพราย ท่วงท่าอากัปกิริยายังสง่าผ่าเผย นุ่มนวลแช่มช้อย
ไม่ว่าจะสวมเสื้อผ้าเรียบๆ แบบใดก็ยากจะปกปิดความงามภายใน
กู้ฉ่างลอบชมในใจ อดมองอีกหลายครั้งไม่ได้
เมื่อมองครั้งนี้ ก็รู้สึกว่าคุณหนูผู้นี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตา เขาเหมือนเคยพบนางที่ไหนมาก่อน
เขาชำเลืองมองอีกครั้ง
ชาติก่อนอวี้ถังกลับเคยพบกู้ฉ่าง แต่ก็เห็นจากที่ไกลๆ ไม่กี่ครั้ง ชาตินี้ยังคงเป็นครั้งแรกที่ได้เจอใกล้ชิดเพียงนี้ เดิมทีนางคิดจะเดินสวนอย่างทำเป็นไม่รู้จัก แต่กู้ฉ่างเผยสีหน้าเกรงขาม แววตาที่มองพวกนางก็เฉียบคมอย่างยิ่ง ยังคงพาให้นางใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จึงอดชำเลืองมองเขาไม่ได้
การมองครั้งนี้ประสานเข้ากับกับสายตาของกู้ฉ่างพอดี
กู้ฉ่างเห็นแววตากลมโตที่ราวกับเคล้าคลอด้วยหยดน้ำ
เขาจึงอดส่งยิ้มให้อวี้ถังไม่ได้
อวี้ถังทำได้เพียงเผยยิ้มออกไป พยักหน้าให้เขา ก่อนจะเร่งตามคุณหนูสวีไป
คิ้วคมของกู้ฉ่างขมวดเข้าด้วยกันโดยที่เขาเองก็ไม่ทันรู้ตัว
เขาคิดว่าตัวเองยังคงนับได้ว่าสุภาพสง่างาม ไฉนคุณหนูผู้นี้ดูคล้ายกับกลัวเขาอย่างนั้นล่ะ
หรือเพราะถูกเลี้ยงดูในห้องหับเป็นเวลานาน
เมื่อเขาคิดได้เช่นนี้ คิ้วก็คลายออกจากกัน ลอบยิ้มกับตัวเอง พาผู้ติดตามเดินไปข้างหน้าต่อ
แต่เดินได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เขาก็ถามคนข้างกาย “รู้หรือไม่ว่าคนที่เดินผ่านไปเมื่อครู่เป็นคุณหนูจากสกุลใด? ไฉนข้าเห็นแล้วกลับคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง?”
คนสนิทของเขาชื่อเกาเซิง ฟังจบก็เอ่ยทันที “ข้าจะไปสืบเดี๋ยวนี้ขอรับ”
กู้ฉ่างพยักหน้า
เกาเซิงกลับลอบตกตะลึงอย่างยิ่ง
กู้ฉ่างไม่มีสัญญาหมั้นหมายมาโดยตลอด ซุนเกา อาจารย์ของกู้ฉ่างถูกใจเขา แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกู้ฉ่างจึงเอาแต่ปฏิเสธอยู่เรื่อยมา งานบรรยายธรรมที่วัดเจาหมิงครั้งนี้ พวกเขาก็บังเอิญผ่านมาเท่านั้น หลังจากมาถึงก็พบว่าคนของสกุลใหญ่ต่างๆ กลับมาที่นี่หมด โดยเฉพาะสกุลเผิงและสกุลเถา สกุลหนึ่งมาจากฝูเจี้ยน อีกสกุลมาจากกว่างตง นี่ทำให้คนต้องคิดแล้วคิดอีก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า คุณหนูที่มาพวกนี้ล้วนยอดเยี่ยมกันทั้งนั้น หากสามารถเลือกนายหญิงจากสกุลพวกนี้ได้ ก็คงไม่ด้อยไปว่าคุณหนูของสกุลซุนเช่นกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้เขาต้องกระตือรือร้นเสียหน่อย
แต่ไหนแต่ไรคุณชายของพวกเขาก็ไม่เคยถามความเป็นไปเป็นมาของหญิงสาวคนใดมาก่อน
เกาเซิงจึงไปสืบข่าวของอวี้ถังและคุณหนูสวีทันที
——
คุณหนูสวีกลับตำหนิอวี้ถังเสียงเบา “เจ้าหลบอะไรกัน! มีข้าอยู่ที่นี่ กู้เจาหยางยังจะทำอะไรเจ้าได้? แม้เขาจะเก่งกาจเพียงใด แต่ยามนี้ยังถูกซุนเกากดหัวอยู่เลย พ่อข้าเห็นซุนเกาขัดหูขัดตามานานแล้ว คนที่ทำเรื่องใหญ่อย่างพวกเขา ย่อมไม่อาจสร้างเรื่องเพิ่มให้ซุนเกาโดยมายุ่งกับคนอย่างพวกเราแน่นอน เจ้าแค่วางท่าใจกล้าทำเป็นไม่เห็นเขาก็พอ”
อวี้ถังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอ่ยว่า “ก็ไม่ใช่เพราะมองเห็นหรอกรึ? แค่พยักหน้าให้เท่านั้น”
“หน้าก็ไม่ต้องพยักให้เขา” คุณหนูสวีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “คนผู้นี้ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา กลับมากด้วยวิธีการ กระทั่งอินหมิงหย่วนก็เกือบจะเสียรู้ให้เขาแล้ว พวกเรายิ่งไม่ใช่คู่ประมือของเขา ทางที่ดีที่สุดก็คือรักษาระยะห่างไว้”
อวี้ถังใคร่รู้อย่างยิ่งว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างกู้ฉ่างและอินหมิงหย่วน เห็นคุณหนูสวีคล้ายไม่อยากพูดเท่าใดนัก นางจึงไม่อาจถามให้มากความ
ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงเรือนที่เป็นห้องหนังสือของเผยเยี่ยน
ประตูสี่ช่องนั้นถูกเปิดไว้ เผยให้เห็นชายหนุ่มไม่กี่คนที่อยู่ในอิริยาบถต่างๆ ดื่มชาพูดคุยกันอยู่ภายใน
คุณหนูสวีเขย่งเท้ามอง ยังเอ่ยกับอวี้ถังด้วยเสียงแผ่วเบา “รีบช่วยข้าดูสิ ใครคือเผยสยากวง”
อวี้ถังแย้มยิ้ม ไม่สนใจนาง แต่กำชับกับซวงเถา “เจ้าไปหาอาหมิง กล่าวว่าข้ามาเป็นเพื่อนคุณหนูสวี อยากเข้าพบนายท่านสามและโจวจ้วงหยวน”
ซวงเถายิ้มรับก่อนออกไป
อวี้ถังดึงคุณหนูสวีมาอยู่ด้านข้าง เอ่ยว่า “เจ้าทำเช่นนี้ยิ่งเป็นที่สนใจของผู้คน เจ้าอยู่นิ่งๆ ให้ข้าเสียหน่อยเถิด! อีกเดี๋ยวหากพบโจวจ้วงหยวนและนายท่านสาม เจ้าคิดดีแล้วหรือยังว่าจะพูดอะไร?”
คุณหนูสวีเลิกคิ้วให้อวี้ถัง เอ่ยอย่างลำพองใจ “ยามนี้ต้องใช้พี่รองสกุลอินแล้ว!”
อวี้ถังไม่เข้าใจ
คุณหนูสวีไม่ยอมบอก “เจ้ารอดูก็พอแล้ว” ทั้งกลัวว่าเผยเยี่ยนจะตำหนิอวี้ถัง เอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวหากเผยสยากวงถามขึ้นมา เจ้าก็บอกว่าข้าให้เจ้าพามา ได้ยินว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะพูด ดังนั้นเจ้าจึงพาข้าเข้ามา”
อวี้ถังรับปาก ในใจกลับคิดหาโอกาสเล่าความจริงของเรื่องนี้ให้เผยเยี่ยนฟัง
นางคิดว่า สถานการณ์ที่วัดเจาหมิงในยามนี้ซับซ้อนอยู่บ้าง หากนางปิดบังอันใด ทำให้เผยเยี่ยนเข้าใจผิดไป สกุลเผยเสียเปรียบจะทำอย่างไร? แน่นอนว่า บางทีคำพูดของนางอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรต่อสกุลเผย แต่นางก็ไม่อาจทำเป็นฉลาดคิดเอาเอง ปิดบังเผยเยี่ยนได้
นางเชื่อมั่นในการวิเคราะห์ของเผยเยี่ยน
ทั้งสองคนรอประมาณเวลาหนึ่งถ้วยชา เผยเยี่ยนและโจวจื่อจินก็ตามออกมา
“ไอหยา คุณหนูผู้นี้คือคู่หมั้นของหมิงหย่วนกระมัง?” โจวจื่อจินสะบัดพัดจินชวนสีดำที่แทบไม่ห่างกายจากตัวเอง เมื่อพบทั้งสองคนก็เอ่ยหยอกเย้าคุณหนูสวีขึ้นมาก่อน “ญาติผู้พี่เจ้าเขียนจดหมายมาหาข้าหลายครั้งแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ถูกจังหวะ ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าอยากได้ภาพวาดของข้าภาพหนึ่งรึ? หากพูดเนิ่นๆ ข้าวาดตัวเองส่งให้พวกเจ้าก็เพียงพอแล้ว หากพูดถึงภาพวาดคน ข้าคิดว่าข้าสามารถจัดอยู่สามอันดับแรกของยุคสมัยนี้ พวกเจ้าอย่าได้วาดอย่างส่งเดชเชียว หากทำลายภาพลักษณ์ที่สง่างามของข้าเข้าจะทำอย่างไร? แม้หมิงหย่วนจะมีฝีมือวาดภาพ แต่ข้าคิดว่าเขาเชี่ยวชาญวาดภาพดอกไม้ปักษามากกว่าข้า แต่วาดภาพคนนั้นฝีมือยังคงไกลลิบจากข้า”
“หนังสือนั้นของพวกเจ้าจะเสร็จยามใดกัน?”
“ข้าคิดว่าก่อนจะเผยแพร่ควรเอามาให้ข้าดูอย่างละเอียดเสียก่อน”
“อย่าได้วาดภาพคนอื่นจนผิดเพี้ยนจะดีที่สุด”
พาให้คุณหนูสวีที่ได้พบเผยเยี่ยนครั้งแรกถึงกับถลึงตามองเขา
โจวจื่อจินหัวเราะชอบใจ เอ่ยว่า “คนสกุลสวีของพวกเจ้าหน้าตาคล้ายกันจริงๆ ลูกสาวคนโตของสกุลพี่เก้าเจ้าและเจ้าหน้าตาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ราวกับเป็นพี่น้องกัน”
คุณหนูสวีไม่อยากพูดกับโจวจื่อจินแล้ว
เผยเยี่ยนกลับซ้ำเติมอยู่ด้านข้าง กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณหนูสวีมาหาพวกเรามีเรื่องสำคัญอันใด? ในเมื่อพี่อินให้เจ้าเข้ามา ก็คงจะนำจดหมายเขามาด้วย? ประจวบเหมาะ นายท่านเถาก็เพิ่งมาถึงวัดเจาหมิงเช่นกัน เขาอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่งก็จะไปไหวอันต่อ ข้าให้เขาช่วยข้าส่งจดหมายให้พี่อินก็เพียงพอแล้ว”
ท่าทีราวกับหากเจ้าโกหก ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร ดูเยือกเย็นเท่าไรก็เยือกเย็นมากเท่านั้น ทำให้อวี้ถังถึงกับตกตะลึง ดึงสติกลับมาไม่ได้อยู่พักใหญ่ เมื่อรวบรวมสติได้ก็รู้สึกว่าเผยเยี่ยนปฏิบัติต่อนางดีไม่น้อย นางสร้างปัญหามากมายให้เขา เขากลับไม่เคยใช้ท่าทีเช่นนี้กับตนเองมาก่อน
คุณหนูสวีก็ตกใจเช่นกัน
แต่นางฉลาดใจกล้า หลังจากตื่นตระหนักชั่วครู่ก็กลับมาสงบนิ่ง
ตั้งแต่เล็กพี่รองสกุลอินก็เห็นนางเป็นน้องสาว แม้ว่านางจะโกหก พี่รองสกุลอินก็ย่อมสามารถช่วยไกล่เกลี่ยให้นางได้ นางจะต้องกลัวอะไร?
แต่ใบหน้าราวกับเทพเซียนของเผยเยี่ยน ก็ไม่อาจกู้คืนภาพลักษณ์ในใจของคุณหนูสวีได้แล้วเช่นกัน
นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด พี่รองสกุลอินให้ข้ามาถ่ายทอดคำพูดให้เจ้า กล่าวว่าหากเจ้ามีเวลามิสู้ไปเป็นแขกที่จวนหังโจว ปลาทอดเปรี้ยวหวาน หมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊วถึงจะเป็นของดี ทางเกาโหยวมีเพียงไข่เค็มเท่านั้น”
อวี้ถังรู้สึกว่ายามที่เผยเยี่ยนได้ยินเช่นนั้น แววตาที่มองคุณหนูสวีก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบขึ้นมา
———————–