ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 231 คำขาด
กู้ซีรู้ว่าพี่ชายต้องการให้นางแต่งเข้าสกุลเผย แต่คนที่พี่ชายนางอยากให้แต่งด้วยคือเผยเยี่ยนที่กุมอำนาจเด็ดขาด มิใช่คนที่มีเพียงฐานะหลานชายอย่างเผยถง
แต่หลังจากที่นางได้รู้จักเผยเยี่ยนนางก็เปลี่ยนความคิด
หากต้องเป็นภรรยาที่ต้องเคารพเกรงใจสามีดั่งแขกไปชั่วชีวิต มิสู้แต่งกับคนที่ต้องการนางอย่างเผยถง
นี่คือเหตุผลที่นางบอกกับกู้ฉ่าง แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่นางรู้สึกลึกๆ ก็คือ เผยเยี่ยนมิใช่คนที่จะตบตาได้ง่ายๆ อย่างน้อยสิ่งที่นางรู้สึกได้ เผยเยี่ยนไม่เคยปฏิบัติต่อนางด้วยความพิเศษต่างไปจากคนอื่น สายตาที่มองนางไม่ต่างกับมองคนแปลกหน้า ซ้ำยังเย็นชายิ่งกว่ามองคนแปลกหน้าเสียอีก มันทอประกายดูแคลนไว้หลายส่วน ราวกับว่าแค่ปรายตาก็อ่านความคิดของนางออกทั้งหมด รู้ว่านางมีแผนอะไร ทำให้นางอึดอัดไม่สบายใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเกรงกลัวเขาด้วย
และยิ่งเผยเยี่ยนรูปงามเป็นพิเศษ งามเสียจนทำให้สตรีเช่นนางรู้สึกไม่เป็นตัวเองเมื่อต้องอยู่ข้างๆ เขา
นางรู้สึกว่านางไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเผยเยี่ยน ทั้งยังกลัวเผยเยี่ยนอยู่เล็กน้อย
แต่ความรู้สึกที่เผยถงให้นางนั้นต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เผยถงเองก็มีหน้าตาหล่าเหลา เทียบกับหลี่ตวนแทบจะไม่แตกต่าง ลักษณะท่าทางยังเหนือกว่าหลี่ตวนหลายขั้น สิ่งสำคัญคือเขาปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความนุ่มนวลสุภาพ อ่อนน้อมมีอารมณ์ขัน เถรตรงและจริงใจ สายตาที่มองนางก็อ่อนโยนอย่างไร้ใดเปรียบ ทำให้นางมีความมั่นใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ซึ่งมันเป็นความมั่นใจอันพิเศษมากสำหรับหญิงสาวเช่นนาง
เปรียบกับเผยเยี่ยน นางถูกใจเผยถงมากกว่า
ต่อให้ตอนนี้เผยเยี่ยนจะเป็นถึงผู้กุมอำนาจของสกุลเผยก็ตาม
หากว่านางมิอาจใช้งานเผยเยี่ยนได้ ต่อให้เผยเยี่ยนเป็นผู้นำสกุลแล้วเกี่ยวอันใดกับนางเล่า? นางจะหาประโยชน์จากเผยเยี่ยนได้ตรงไหนกัน?
เมื่อพิจารณาจุดนี้ได้กระจ่าง นางจึงตัดสินใจเลือกเผยถงอย่างไม่ลังเล
เวลานี้นางถึงตั้งใจเอ่ยเรื่องสกุลหลี่ขึ้นมา แล้วถามอย่างมีแผนในใจว่า “ท่านพี่ ท่านดูสิว่านายหญิงหาสกุลเช่นไรมาให้ข้าบ้าง?!”
กู้ฉ่างไม่พูดจา ในใจกลับรู้สึกผิด
กู้ซีลอบถอนหายใจในอก
เป้าหมายของนางบรรลุแล้ว
ขอเพียงพี่ชายยังรู้สึกผิดต่อนาง เรื่องที่นางตอบรับงานแต่งกับเผยถงลับหลังเขาก็จะไม่ถูกซักไซ้ ทั้งเขายังต้องปกป้องนางอีก
นางรีบเอ่ยว่า “ท่านพี่ เรื่องที่ผ่านไปแล้วพวกเราไม่พูดถึง เกี่ยวกับเรื่องที่คุณชายใหญ่สกุลถงจะไปเล่าเรียนที่เมืองหังโจว นายท่านสามว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
กู้ฉ่างก็กำลังปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่พอดี
จากความคิดเขา นอกเสียจากเผยถงไม่มีพรสวรรค์ด้านเขียนอ่าน ทุกอย่างต้องพึ่งความมุมานะ ไม่เช่นนั้นต่อให้เผยเยี่ยนคิดหยุดยั้งไม่ให้เผยถงก้าวหน้า อย่างมากก็คงกดข่มเขาได้เพียงไม่กี่ปี ไม่มีทางที่จะขัดขวางเผยถงไปได้ตลอด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมไม่มอบน้ำใจให้เผยถงสักครั้ง ส่งเขาไปเล่าเรียนที่หังโจวเสีย อีกอย่างสกุลกู้ของเขาก็ไม่เหมือนกับสกุลหยาง สกุลหยางมิได้มีภูมิหลังอะไร ทำการสิ่งใดก็มักรีบร้อน เกาะนายท่านใหญ่สกุลเผยเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ตั้งหน้าตั้งตาจะลักพาตัวลูกหลานของผู้อื่นเข้าสกุลตน ขโมยทรัพยากรของสกุลเผยไปให้สกุลหยางไว้ใช้เอง สกุลเผยย่อมไม่มีทางเห็นด้วยอยู่แล้ว
สกุลกู้ของพวกเขามีทั้งกิจการและความรู้ เดิมการช่วยเหลือญาติพี่น้องที่มาจากการเกี่ยวดองก็เป็นการทำความดีอย่างหนึ่ง นับเป็นการสร้างความผาสุกให้กับลูกหลานรุ่นหลัง ไม่รู้ว่าเคยสั่งสอนชี้ทางให้กับญาติสหายที่มีพรสวรรค์ด้านการเล่าเรียนไปมากน้อยเพียงใดแล้ว แน่นอนว่า เขาเองก็ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน หากว่าเผยกวนติดหนี้บุญคุณสกุลกู้ หลังจากแต่งงานแล้วย่อมมองกู้ซีด้วยสายตาที่สูงขึ้น นับเป็นผลดีต่อชีวิตแต่งงานของกู้ซีในภายหน้า
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตอบตกลงจะไปคุยเรื่องนี้ให้กู้ซีทันทีที่นางบอก
เวลานี้พอได้ยินกู้ซีเอ่ยขึ้นมา เขาหัวเราะขื่นหลายเสียงแล้วเอ่ยว่า “เผยสยากวงไม่ได้รับปาก จากความหมายของเขา จะไปเรียนที่ไหนล้วนดูความตั้งใจของเผยถง หากเผยถงตั้งใจจะออกไปหาความรู้ด้านนอก ก็ให้เผยถงไปพูดกับเขาด้วยตนเอง”
กู้ซีชะงักไป “คุณชายใหญ่สกุลเผยไม่เคยบอกเรื่องนี้กับนายท่านสามหรือเจ้าคะ?”
สองพี่น้องมองหน้ากัน
กู้ฉ่างรีบยืนขึ้นทันที “เรื่องนี้มีบางอย่างแปลกๆ…หากเผยถงเป็นคนดีตามที่เจ้าพูดเอาไว้จริงๆ เหตุใดเรื่องเพียงเท่านี้เขากลับไม่ยินดีออกหน้าแบกรับ แต่กลับให้สตรีที่ยังไม่ได้แต่งให้เขาอย่างเป็นทางการออกหน้าแทน อาซี งานแต่งครั้งนี้เจ้าต้องใคร่ครวญให้ดี”
กู้ซีคล้ายจะคิดได้แล้วเช่นกัน แต่นางยังกอดความหวังเอาไว้ จึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าจะไปถามเขา ท่านพี่อย่าเพิ่งกังวลไป ไม่แน่ระหว่างกลางอาจมีบางสิ่งที่เราไม่รู้เกิดขึ้นก็ได้”
สองสกุลได้แลกเปลี่ยนวันเวลาตกฟาก ทำนายดวงชะตา จะขาดก็แต่ส่งของหมั้นเท่านั้น งานแต่งก็จะถือว่ากำหนดเป็นที่แน่นอนแล้ว หากว่าจะถอนหมั้นตอนนี้…กู้ซียกเลิกงานหมั้นไปครั้งหนึ่งแล้ว…สถานการณ์เช่นนี้ไม่ส่งผลดีต่อกู้ซีแน่
กู้ฉ่างตีหน้าขรึม “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ตอนเย็นข้ายังมีเรื่องต้องหารือกับเผยเยี่ยนต่อ หลังจากเจอเขาแล้วข้าจะหาจังหวะคุยเรื่องนี้กับเขาด้วย หากว่านายหญิงใหญ่สกุลเผยถามขึ้นมา เจ้าก็ตอบว่าไม่รู้เรื่อง มอบทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของข้าแล้ว”
นายหญิงใหญ่อย่างไรก็เป็นแม่สามีของกู้ซีในอนาคต กู้ซีย่อมไม่กล้าล่วงเกินนางอย่างโจ่งแจ้ง
กู้ซีพยักหน้ารับ
กู้ฉ่างถอนหายใจอีกรอบ “พิธีบรรยายธรรมครั้งนี้ นายหญิงใหญ่มาร่วมงานหรือไม่? เผยถงกับเผยเฟยล่ะ? มาด้วยหรือเปล่า?”
นายหญิงใหญ่เป็นแม่ม่าย ตามหลักแล้วไม่สมควรมาร่วมงานประเภทนี้ แต่ข้อแรกที่แห่งนี้คือวัด เป็นธรรมสถาน ข้อสองสกุลเผยเป็นเจ้าภาพ นางอาศัยฐานะของสะใภ้ใหญ่บ้านหลักมาช่วยรับรองแขกของท่านแม่เฒ่าสกุลเผยนับเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น
กู้ซีเอ่ยว่า “นายหญิงใหญ่กับคุณชายใหญ่ คุณชายรองมาหมดเจ้าค่ะ แต่ว่านายหญิงใหญ่ชอบความสงบ จึงพบเพียงข้าคนเดียวเท่านั้น”
กู้ฉ่างฟังความนัยออก ถามนางว่า “เจ้าเคยเจอคุณชายใหญ่กับคุณชายรองสกุลเผยแล้ว?”
แม้เขาจะใช้ประโยคคำถามกับกู้ซี แต่น้ำเสียงกลับมั่นใจอย่างมาก
ดวงหน้าของกู้ซีแดงก่ำ ตอบเสียงต่ำว่า “ก่อนที่ท่านพ่อจะตกลงเรื่องงานแต่งกับสกุลเผย ข้าก็เคยเจอคุณชายใหญ่สกุลเผยแล้ว เขา เขาก็นับว่าไม่เลว ยังบอกกับข้าด้วยว่าโตมากับญาติผู้น้องสกุลหยางตั้งแต่เด็กๆ เสียดายที่ญาติผู้น้องคนนั้นไร้วาสนา จึงต้องมาป่วยตายไป”
เผยถงยังสารภาพกับนางว่า ในใจเขายังระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่ญาติผู้น้องทำให้เขา แต่นับจากวินาทีที่เขาตัดสินใจจะแต่งกับนาง เขาก็จะเก็บญาติผู้น้องคนนั้นไว้ส่วนลึกสุดในใจ แล้วจะดีต่อภรรยาในอนาคตของเขาให้มาก เพราะว่าภรรยาในอนาคตของเขาไม่มีความผิด นางไม่ควรมาแบกรับความรู้สึกที่เขามีต่อญาติผู้น้อง
สิ่งนี้ทำให้กู้ซีรู้สึกว่าเผยถงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจยิ่ง
กู้ฉ่างเป็นคนฉลาด เขาเดาออกอยู่แล้วว่าเผยถงวางท่าทีเช่นไรต่อน้องสาวของเขา
สีหน้าของเขาอึมครึมอ่านไม่ออก
คุณชายใหญ่สกุลเผยที่เขาไม่เคยพบหน้าผู้นี้เห็นชัดว่ามิใช่พวกสัตว์กินพืชแต่อย่างไร หากว่าคนผู้นี้มิใช่น้องเขยของเขา เขาคงปรบมือชื่นชมให้แล้ว แต่คนผู้นี้คือสามีของน้องสาวเขา สิ่งที่เขาต้องการย่อมจะต่างออกไป
กู้ฉ่างได้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
เขาเงยหน้าขึ้นมองความพึงใจที่ลอยทั่วหน้ากับความปลาบปลื้มที่แผ่ซ่านในดวงตาของน้องสาว รู้ว่าตนเองพูดอะไรก็สายไป น้องสาวของเขาน่าจะถูกใจเผยถงไปแล้ว
ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาก็เหมือนการพนัน ใครเดิมพันไว้มากคนนั้นย่อมเป็นฝ่ายแพ้!
กู้ฉ่างอดจะเอ่ยเตือนน้องสาวมิได้ “เจ้าต้องระวังว่าเขาจะหลอกใช้เจ้า!”
กู้ซีกลับมั่นใจในตัวเองมาก ดวงตาสองข้างวาวแสง “ถูกผู้อื่นหลอกใช้ หมายความว่าคนผู้นั้นมีคุณค่า เขาหลอกใช้ข้า ข้าเองก็มิใช่หลอกใช้เขาเช่นกันหรือ ก็แค่ประลองกันว่าใครจะมีอุบายเหนือกว่าใครก็เท่านั้น คุณชายใหญ่สกุลเผยมีโอกาสชนะค่อนข้างต่ำในตอนนี้ หากว่าเขายอมแสร้งสนิทสนมต่อหน้าสกุลหยาง เช่นนั้นย่อมเป็นผลดีต่อเขามากกว่า ไม่แน่ข้าอาจจะได้เป็นเพื่อนกับเหล่าสตรีสกุลหยางก็ได้!”
นั่นก็ถูกต้องอยู่
กู้ฉ่างกลัวว่าถึงเวลานั้นกู้ซีจะติดบ่วงความสัมพันธ์ของชายหญิงเข้า
กู้ซีเอ่ยว่า “ท่านพี่ ข้าไม่อาจพึ่งพาท่านไปได้ตลอด ท่านลองปล่อยมือให้ข้าเดินด้วยตนเองสักครั้งได้หรือไม่? หากว่ามันไม่สำเร็จ ท่านค่อยมาประคองข้าไว้ก็ยังไม่สาย”
กู้ฉ่างนิ่งไตร่ตรอง รู้สึกว่าวาจาของน้องสาวมิได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว
ขอเพียงกู้ซีได้กลายเป็นสะใภ้ของสกุลเผย ต่อให้พวกเขาสองสามีภรรยากลายเป็นศัตรูกัน แต่กู้ซีก็ยังเป็นสะใภ้ของสกุลเผยอยู่ ไม่แน่เพราะความยากลำบากนี้ อาจทำให้เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ก็ได้ กู้ซีมีคุณค่าให้เผยเยี่ยนได้หลอกใช้ ไม่แน่เผยเยี่ยนอาจให้ความคุ้มครองนาง
“ก็ได้!” กู้ฉ่างตัดสินใจปล่อยมือให้น้องสาวได้เดินด้วยตนเองในที่สุด “เจ้าเองก็ไม่ต้องกดดันตัวเองมากเกินไป หากไม่ไหวจริงๆ ยังมีพี่ชายอีกคน!”
กู้ซีส่งยิ้มให้พี่ชายด้วยความซาบซึ้ง
หากว่าไม่มีพี่ชาย นางจะเอาความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาจากไหน?
นางไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก จึงเปลี่ยนบทสนทนาไปคุยเรื่องที่ตนสนใจมากที่สุด “ข้าใกล้จะออกเรือนแล้ว ท่านพี่ยังเลือกพี่สะใภ้ไม่ได้อีกหรือเจ้าคะ?”
กู้ฉ่างได้ฟังในสมองพลันมีภาพสตรีในชุดสีน้ำผึ้งอ่อนที่พบตรงทางเดินผุดขึ้นมาทันที
หากว่านางเป็นคุณหนูจากสกุลซ่งหรือสกุลอู่ก็นับว่าใช้ได้
ผู้เป็นสามีต้องก่อร่างสร้างตัว ไม่อาจพึ่งพาผู้อื่นได้ทั้งหมด แต่จะอาศัยเพียงตัวคนเดียวก็มิได้
แม้ตอนนี้สกุลซ่งจะเสื่อมถอย สกุลอู่จะเรืองอำนาจ แต่ดีชั่วก็เป็นสกุลที่พอถูไถเกี่ยวดองกันได้
กู้ฉ่างรู้สึกว่าหัวใจร้อนวูบวาบ มุมปากเขากระตุกขึ้นโดยที่ตัวเขาก็ยังไม่รู้ตัว “เรื่องของข้า ข้าย่อมมีแผนอยู่แล้ว เจ้าสนใจแต่เรื่องของตนเองก็พอ” เสียงพูดยังไม่ทันจบดี เขาพลันรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม คิดว่าห้องเซียงฝางเล็กๆ ห้องนี้ทั้งอบอ้าวและอึดอัด ทำให้เขาไม่อาจทนอยู่ได้เพียงเสี้ยวนาทีเดียว เขารีบเอ่ยเสียงตามที่หัวใจเรียกร้องว่า “ข้ากลับก่อนล่ะ เจ้าก็อยู่แต่ในเซียงฝาง รวบรวมสติให้ดี พรุ่งนี้ค่อยไปร่วมพิธีบรรยายธรรมเป็นเพื่อนท่านแม่เฒ่าสกุลเผย นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าต้องติดตามเหล่าสตรีสกุลเผยออกงานสู่สายตาผู้คน ย่อมมีคนมากมายพุ่งความสนใจมาที่เจ้า เจ้าเองก็ต้องระมัดระวังให้มาก”
กู้ซีก็ต้องเตรียมเสื้อผ้าที่จะใช้ในพิธีบรรยายธรรมพรุ่งนี้ บวกกับท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง แม้จะเป็นพี่น้อง แต่ชายหญิงมีความแตกต่าง นางจึงไม่ได้รั้งกู้ฉ่างไว้ แล้วไปส่งเขาถึงหน้าประตูใหญ่ด้วยตนเอง นางยืนรออยู่ใต้ชายคา กระทั่งแผ่นหลังของกู้ฉ่างหายไปจากนอกกำแพงลานแล้ว นางถึงได้เดินกลับไปที่เซียงฝางของตน
ทันทีที่กู้ฉ่างออกจากที่พักของน้องสาว ก็รีบถามเกาเซิงคล้ายทนรอไม่ไหวว่า “คนที่ข้าให้เจ้าไปสืบ เจ้าสืบได้ความหรือไม่?”
“รู้เพียงว่าติดตามเหล่าสตรีสกุลเผยมาร่วมพิธีบรรยายธรรมขอรับ” เกาเซิงรายงานอย่างรู้สึกผิดว่า “ยังสืบไม่รู้ว่าเป็นคุณหนูสกุลใดบ้านใดแน่?”
กู้ฉ่างร้อง “อ้อ” อย่างผิดหวัง แล้วสั่งให้เกาเซิงไปสืบต่อ แต่กลับไม่รู้ว่าเกาเซิงก็เหมือนกับเขา ที่พุ่งเป้าไปผิดทาง คิดแต่จะตรวจสอบเหล่าคุณหนูจากสกุลใหญ่ที่มาร่วมพิธีบรรยายธรรม จึงลืมคิดไปว่าบางทีอวี้ถังอาจเป็นคุณหนูที่มาจากสกุลธรรมดาทั่วไป เป็นเพียงคนที่ติดตามเหล่าสตรีสกุลเผยมาเท่านั้น
ทางด้านคุณหนูสกุลซ่งกับสกุลเผิง พวกนางสืบเรื่องของอวี้ถังมาได้อย่างรวดเร็ว
คุณหนูหกสกุลซ่งเบิกตากลมโตจนกว้าง แล้วถามอย่างไม่อาจทำใจเชื่อว่า “เป็นเพียงคุณหนูจากสกุลซิ่วไฉธรรมดาจริงๆ รึ? แล้วเหตุใดสกุลเผยถึงต้อนรับนางดีเพียงนั้น? ยังมีคุณหนูสวีที่เจ้าเล่ห์ขี้โกงกว่าใคร ก็ยังไปสนิทกับนางด้วย พวกเราได้ข่าวมาผิดหรือเปล่า?”
คนที่ไปสืบเรื่องอวี้ถังเป็นคนจากสกุลเผิง
คุณหนูสกุลเผิงทำหน้าไม่พอใจทันที “จะเข้าใจผิดได้อย่างไร? ข้าเป็นคนไหว้วานให้ท่านพี่สืออีเป็นคนไปสืบเอง สกุลเรามีเพียงเรื่องสำคัญๆ เท่านั้น ถึงจะเชิญท่านพี่สืออีให้ลงมือได้”
ครั้งนี้หากมิใช่ว่าสกุลเผิงมีแผนเกี่ยวดองกับสกุลเผย พวกนางไม่มีทางไหว้วานพี่สืออีได้แน่
——————————————-