ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 234 คำสั่งเสีย
เผยเยี่ยนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนักให้อวี้ถัง เอ่ยว่า “ข้ายังมีธุระอยู่ เจ้าเข้าไปเถิด! พรุ่งนี้อย่าลืมไปเช้าหน่อย ทางคุณหนูกู้ ข้าไม่อาจให้นางปรากฏตัวหรอก แต่เจ้าก็ต้องระวังเช่นกัน ข้าว่าคุณหนูกู้มีแผนการไม่น้อย”
ยังเป่าหูกู้ฉ่างมาหาเขา มองเขาขัดแย้งกับกู้ฉ่าง
ยุ่งกับเรื่องสกุลพวกเขา ตั้งแต่เกิดมาเผยเยี่ยนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!
พูดจบ เขาก็เดินจากไปอย่างสง่างาม อวี้ถังอยากจะกล่าวขอบคุณเขาเสียหน่อยยังเอ่ยไม่ทันด้วยซ้ำ
แต่ว่านี่นับเป็นข่าวดีจริงๆ
อวี้ถังยืนยินดีปรีดาอยู่ตรงนั้น มุมปากยกยิ้มไร้ทางที่จะปกปิด
นางกลับห้องอย่างเบิกบานใจ
หญิงรับใช้ของสกุลเว่ยและสกุลอู๋กำลังบอกลาคนสกุลเฉิน คนสกุลเฉินเห็นสภาพอวี้ถังที่ดีใจจนปิดไม่มิด พูดคุยกันอย่างเกรงใจกับหญิงรับใช้ทั้งสองสกุลไม่กี่ประโยค ก็ยกชาส่งแขก
หญิงรับใช้คำนับให้แก่คนสกุลเฉินและอวี้ถังอย่างนอบน้อม ก่อนจะปลีกตัวจากไปอย่างระมัดระวัง เมื่อออกไปแล้ว กลับอดเอ่ยซุบซิบขึ้นมาไม่ได้ “คุณหนูอวี้ยิ่งโตก็ยิ่งงาม”
“มิผิด เมื่อก่อนยังรู้สึกว่าพาให้คนเห็นสะดุดตา ยามนี้กลับทำให้คนมองแล้วอดจะมองอีกไม่ได้”
“การกระทำเรื่องทั้งปฏิบัติต่อคนอื่นก็เหมาะสมอย่างยิ่ง! อย่างเมื่อครู่ น้ำเสียงที่พูดก็ไพเราะเหมาะสม ทั้งเอาใจใส่ ข้ามีชีวิตอยู่มาจนถึงขนาดนี้ ยังนับว่าพบเห็นน้อยคนจริงๆ”
“ไม่อย่างนั้นท่านแม่เฒ่าเผยจะชอบรับนางเข้ามาคุยเป็นเพื่อนในจวนได้อย่างไร? ภายหลังก็ไม่รู้ว่าใครจะมีวาสนาเป็นลูกเขยของสกุลพวกนาง?”
ทั้งสองคนพากันกระซิบกระซาบเดินออกไปไกล ทางคนสกุลเฉินกลับดึงลูกสาวเข้าไปในห้อง นั่งลงข้างเตียง “นายท่านสามเรียกเจ้าไปด้วยเรื่องอันใดรึ?”
นางกลัวว่าลูกสาวจะล่วงเกินคนของสกุลเผย
อย่างไรเรื่องแกล้งป่วย นางก็รู้เห็นเช่นกัน
อวี้ถังรีบตบหลังมือมารดาอย่างปลอบใจ เล่าเรื่องของสกุลหลี่ให้คนสกุลเฉินฟังเสียงเบา แต่ตระหนักถึงความขี้กังวลของคนสกุลเฉิน อวี้ถังจึงปิดบังเรื่องแผนของเผยเยี่ยนที่มีต่อสกุลหลี่ พูดเพียงเรื่องที่สกุลหลี่ทำผิด
คนสกุลเฉินได้ฟังก็น้ำตาหลั่งไหล เอ่ยอย่างสาแก่ใจ “สมควรแล้ว! สกุลพวกเขาควรจะได้รับผลกรรมเช่นนี้” ขณะที่พูด ก็ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่หางตาตัวเอง เอ่ยต่อว่า “นี่นับเป็นเรื่องดี! รอพรุ่งนี้พบนายหญิงเว่ย ข้าต้องพูดคุยกับนางดีๆ เสียหน่อย จะได้ไปจุดธูปไหว้พระโพธิสัตว์ด้วย”
แม้จะกล่าวว่าสกุลหลี่สมควรได้รับกรรม แต่คนสกุลเฉินไม่ใช่คนที่ชอบนินทาพูดลับหลังคนอื่น สกุลหลี่ทำเรื่องผิด ย่อมมีคนป่าวประกาศไปทั่ว ไม่จำเป็นให้นางต้องพูด นางเพียงอยากนำไปพูดให้กับนายหญิงเว่ยสบายใจเท่านั้น
นางถามอวี้ถัง “เช่นนั้นสกุลเฉกเช่นพวกเขาก็ต้องถูกปรับเป็นเงินจำนวนมากใช่หรือไม่? แล้วเรือนที่พวกเขาซื้อใหม่ในหังโจวยังจะเก็บรักษาไว้ได้รึ?”
หากสกุลหลี่กลับเมืองหลินอัน นางย่อมทำให้คนที่สนิทสนมกับนางพวกนั้นไม่ไปข้องเกี่ยวกับคนของสกุลหลี่
อวี้ถังเอ่ยว่า “นี่ต้องดูว่าท้ายที่สุดราชสำนักจะตัดสินอย่างไร แต่ว่าท่านก็รู้ ต่อให้คนมีเงินมากมายเท่าใด หากขึ้นศาลตัดสินคดีล้วนสามารถสิ้นเนื้อประดาตัวได้ทั้งนั้น นับประสาอะไรกับสกุลหลี่ที่ก่อคดีร้ายแรงเช่นนี้? แม้ว่าพวกเขาจะสามารถรักษาเรือนในหังโจวไว้ได้ เรือนนั้นก็ใหญ่ไม่น้อย เลี้ยงคนในเรือนใหญ่ขนาดนั้นย่อมใช้เงินมหาศาลเช่นกัน”
หากหลี่ตวนยังคิดสอบขุนนางต่อ ค่าใช้จ่ายก็ย่อมมากขึ้น แม้ว่าสกุลหลี่ยังมีสมบัติเก่าอยู่บ้าง เก้าในสิบส่วนก็ย่อมต้องควักออกมาจนเกลี้ยง
อวี้ถังครุ่นคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าเผยเยี่ยนผู้นี้นิสัยที่แท้จริงนั้นดีไม่น้อย
นี่ดีกว่าแผนการที่นางคิดก่อนหน้านี้เสียอีก ฆ่าหลี่ตวนหรือไม่ก็ทำให้หลี่ตวนไม่อาจสอบขุนนางได้อีก
ก็เหมือนกับการแขวนเนื้อชิ้นหนึ่งไว้ตรงหน้าหมาป่า ให้มันเห็นแต่ก็ไม่อาจกินได้ตลอดไป ทั้งยังต้องพยายามคิดสุดความสามารถเพื่อจะกินเนื้อชิ้นนี้
นางอดเอ่ยไม่ได้ “เรื่องนี้โชคดีที่มีนายท่านสาม หากไม่ใช่ว่าเขาส่งคนไปตรวจสอบสกุลหลี่ เรื่องที่หลี่อี้ทำก็คงไม่ถูกเปิดเผยออกมาเร็วขนาดนี้ สกุลหลี่ก็คงไม่โดนจับกุม ท่านแม่ วาดเสือวาดหนังยากจะวาดเห็นกระดูก คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ แม้ว่านายท่านสามจะขจัดทุกข์ให้ผู้คน แต่ก็ยากจะรับประกัน บางคนเพื่อประโยชน์ส่วนตัวแล้ว อาจจะโจมตีว่านายท่านสามโหดร้าย ใส่ความเพื่อนบ้าน เรื่องนี้ท่านรู้ ข้ารู้ ท่านพ่อรู้ก็เพียงพอแล้ว อย่าได้แพร่งพรายให้คนอื่นแม้แต่น้อย เพื่อว่านายท่านสามทำเรื่องดี แต่พวกเรากลับสร้างปัญหาคืนให้นายท่านสาม”
คนสกุลเฉินพยักหน้าระรัว รับปากว่า “แม้จะเป็นนายหญิงเว่ยและนายหญิงอู๋ ข้าก็จะไม่พูด จะเอ่ยถึงเรื่องที่สกุลหลี่ทำผิดเท่านั้น กล่าวว่าข้าได้ยินมาจากคนของสกุลเผย จึงบอกกล่าวกับพวกนางเท่านั้น”
อวี้ถังผงกศีรษะ
คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างทอดถอนหายใจ “นายท่านสามเป็นคนดีจริงๆ! ทั้งดีกับสกุลพวกเราเช่นกัน! ภายหลังเจ้าพบเขา ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนหน่อย กับท่านแม่เฒ่าก็ต้องเคารพกตัญญู”
อวี้ถังลอบเบะปาก
แค่นิสัยนั้นของเผยเยี่ยน กระทั่งมนุษย์โคลนยังจะโมโหจนมีชีวิตขึ้นมาได้ ทุกครั้งที่นางและเขาอยู่ด้วยกันล้วนต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้เขารู้สึกดี นอบน้อม นั่นก็เป็นความนอบน้อมเพียงภายนอก แต่นางสามารถเคารพกตัญญูต่อท่านแม่เฒ่าได้ ท่านแม่เฒ่าปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างใจกว้างมีเมตตา แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์เช่นนี้กับเผยเยี่ยน นางก็จะปฏิบัติตัวดีกับท่านแม่เฒ่าอยู่ดี
แต่ต่อหน้าคนสกุลเฉิน นางย่อมไม่อาจพูดอะไร เพียงตอบรับด้วยรอยยิ้มว่า ‘เจ้าค่ะ’
ทั้งสองคนจัดเตรียมข้าวของที่จะใช้ในงานบรรยายธรรมพรุ่งนี้แล้ว ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
—
ทางกู้ซี บรรยากาศกลับตึงเครียดอย่างยิ่ง
นางเอ่ยว่า “ท่านพี่ ข้าไม่เชื่อว่านายท่านใหญ่เผยจะทิ้งคำสั่งเสียเช่นนี้ไว้ แม้จะกล่าวว่าข้าและคุณชายใหญ่เผยเคยพบกันเพียงสองครั้ง แต่คำพูดการกระทำของคุณชายใหญ่เผยก็แสดงให้เห็นว่าเขาเคารพนับถือบิดาตนเองไม่น้อย ทั้งความเคารพที่เขามีต่อมารดาก็เพราะว่า ยามที่บิดามีชีวิตอยู่ บิดาของเขาให้ความสำคัญแก่มารดาอย่างยิ่ง ข้าไม่เชื่อว่าคุณชายใหญ่เผยจะเป็นคนที่ผิดคำพูด ข้าคิดว่าเรื่องภายในอาจจะมีความผิดพลาดอันใดอยู่?”
เส้นเลือดข้างขมับของกู้ฉ่างแทบจะปูดออกมา เอ็ดว่า “หรือเผยสยากวงโกหกข้าอย่างนั้นรึ? งานแต่งของเจ้าและสกุลเผย กำหนดอย่างเร่งรีบเกินไป”
กู้ซีใบหน้าประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดง
มีเรื่องหนึ่งที่นางไม่ได้พูดกับกู้ฉ่าง
ตอนแรกยามที่นายหญิงใหญ่เผยมาหยั่งเชิงนาง ที่จริงนางได้ยินว่าคนที่นายหญิงใหญ่เผยถูกใจมากที่สุดไม่ใช่นาง คนที่นายหญิงใหญ่เผยพอใจยังคงเป็นหลานสาวสกุลมารดา แต่เพราะหลังจากที่คุณชายใหญ่เผยและญาติผู้น้องเริ่มสร้างความรู้สึกดีให้กัน จากญาติผู้พี่ญาติผู้น้องของสกุลหยางที่เขาเห็นเป็นพี่น้องตัวเอง จู่ๆ ก็กลายเป็นคนที่เขาต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ด้วย เขาจึงไม่อาจรับได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
แต่สำหรับนาง คุณชายใหญ่เผยกลับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
นางไม่อยากปล่อยไป
ดังนั้นจึงกำหนดงานแต่งออกมาเร็วเช่นนี้
แต่ยามนี้พูดอะไรย่อมสายไปหมดแล้ว
นางไม่อาจถอนหมั้นสองครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะตัวเลือกในนี้ยังเป็นสกุลเผย
สกุลเผยไม่อาจเสียหน้าเช่นนี้ได้ สกุลกู้ก็ไม่อาจตอบรับนาง ถอนหมั้นอย่างง่ายดายเหมือนครั้งที่แล้วได้
นางสามารถยืนหยัดความคิดของตนเองต่อหน้ากู้ฉ่าง ยังมีสาเหตุที่สำคัญอีกอย่าง…นางเชื่อในสายตาและความรู้สึกของตัวเอง นายหญิงใหญ่เผยย่อมมีความรู้สึกส่วนตัว จุดนี้ ยามนี้นางก็มองออกแล้ว คุณชายใหญ่เผยกลับไม่อาจเป็นคนอย่างที่พี่ชายนางพูดเช่นนั้น จากชาติกำเนิด นิสัยและหน้าตาของคุณชายใหญ่เผย เขาสามารถหาคนที่ดีกว่านางได้อย่างสิ้นเชิง เขาไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องนี้โกหกนาง
เมื่อคิดเช่นนี้ ชั่วพริบตานั้นกู้ซีก็มั่นใจขึ้นมาร้อยเท่า
นางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ท่านพี่ เรื่องนี้ใครก็ต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ข้าคิดว่า มิสู้เรียกคุณชายใหญ่เผยเข้ามา ปรึกษากับเขาเสียหน่อยว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไร พูดไปพูดมาแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของเขาเอง พวกเราแค่ยื่นมือช่วยเหลือ ท้ายที่สุดเป็นอย่างไร ยังต้องให้เขาตัดสินใจเอง ท่านพี่ก็จะได้มีโอกาสเห็นว่าเขาเป็นอย่างไรด้วย ข้าหาสามี ไม่ได้คาดหวังให้เขาสามารถช่วยเหลือท่านพี่ แต่ก็ไม่อาจให้เขาถ่วงแข้งขาท่านได้เช่นกัน”
ความนัยของวาจานี้คือ หากคุณชายใหญ่เผยเหลือทนเช่นนั้นจริงๆ นางก็อยากถอนหมั้น
ยามนี้กู้ฉ่างเพิ่งจะเสียใจภายหลัง พวกเขาสองพี่น้องไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับความแค้นภายในพวกนั้นของสกุลเผยตั้งแต่แรก แต่สกุลเผยคือเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ หลังจากรู้เรื่องภายในของสกุลพวกเขา ก็ยากที่จะห้ามไม่ให้คนอื่นอยากได้จนน้ำลายสอ
“เช่นนั้นก็พบคุณชายใหญ่เผยเถิด” กู้ฉ่างเอ่ยอย่างจริงจัง “หากเขาใช้ไม่ได้จริงๆ พวกเราค่อยคิดว่าจะทำอย่างไร!”
ถอนหมั้นนั้นเป็นไปไม่ได้ ทำได้เพียงดูว่าสามารถใช้ประโยชน์จากสกุลเผยและเผยเยี่ยนควบคุมบ้านของเผยโย่วได้หรือไม่
สองพี่น้องสบสายตาอย่างรู้กัน
กู้ฉ่างส่งคนนำเทียบเชิญของตัวเองไปเชิญคุณชายใหญ่เผยเข้ามา
เผยถง เผยเฟยน้องชายของเขา เผยเซวียนอารอง และเผยหงญาติผู้น้องล้วนพักอยู่ในเรือนทางตะวันตก ห่างไม่ไกลจากที่กู้ซีพำนัก ไม่ถึงสองเค่อ เขาก็เข้ามา
ปีนี้เขาเพิ่งอายุเต็มสิบแปดปี มีใบหน้าที่เหมือนเผยเยี่ยนถึงห้าหกส่วน อยู่ในวัยหนุ่มพอดี ราวกับต้นไผ่ที่ตั้งตรงสูงโปร่ง ภายใต้ความเยาว์วัยแฝงมาด้วยแข็งแกร่ง
มองออกอย่างชัดเจนว่า เป็นเด็กที่ได้รับความใส่ใจและสั่งสอนจากสกุลเป็นอย่างดี
กู้ฉ่างลอบผงกศีรษะ เดิมทีคิดจะพูดคุยกับเผยถงดีๆ นึกขึ้นได้ว่าเผยเยี่ยนยังรอหารือเรื่องใหญ่ในห้องโถง เขาจึงไม่คิดอ้อมค้อม หลังจากเชิญเผยถงนั่งลงก็เล่าเรื่องที่ไปพบเผยเยี่ยนให้เผยถงฟังอย่างไม่มีตกหล่น
เผยถงเบิกตากว้างอย่างตกใจ กู้ฉ่างเพิ่งจะพูดจบเขาก็กระโดดขึ้นมาทันที กล่าวเสียงดังว่า “เป็นไปไม่ได้! ท่านแม่ของข้าให้ความเคารพท่านพ่อที่สุด หากท่านพ่อมีคำสั่งเสียเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจต่อต้านคำสั่งเสียของท่านพ่อ”
กู้ฉ่างใจกระตุกวาบ เอ่ยว่า “เจ้าหมายความว่าเผยสยากวงกำลังโกหกอย่างนั้นรึ?”
เผยถงสงสัยเช่นนี้จริงๆ แต่หลังจากบิดาของเขาตาย ประสบการณ์ทำให้เขารู้ว่า หากเขาท้าทายอำนาจของผู้อาวุโส รังแต่จะพาให้คนอื่นสงสัยว่าเขามีเจตนาร้ายแอบแฝง
เขาเอ่ยทันที “ไม่ใช่ ข้าไม่ใช่สงสัยอาสามของข้า แต่ว่า…” พูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็ชะงักไป ปรากฏสีหน้าลังเลขึ้นมา
กู้ฉ่างขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “นี่เจ้าคิดไปถึงไหนกัน?”
แววตาของเผยถงดำดิ่งลึก เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ยามที่ท่านพ่อจากไป ข้าและน้องชายล้วนไม่ได้อยู่ข้างกายท่านพ่อ…ท่านแม่ก็ไม่อยู่…เป็นท่านปู่ที่อยู่ข้างกายท่านพ่อ…” เขาเงยหน้ามองกู้ฉ่าง เผยแววตาหนักแน่น “แต่ข้ากล้าสาบาน ก่อนหน้าที่ท่านปู่จะป่วยตายล้วนไม่เคยบอกกับข้าว่าท่านพ่อทิ้งคำสั่งเสียเช่นนี้เอาไว้ ข้ารู้เพียงว่าก่อนที่ท่านปู่จะจากไป ได้เรียกนายท่านอี้และนายท่านวั่งเข้าไป กล่าวว่าให้นายท่านสามเป็นผู้สืบทอดสกุล ดังนั้นไม่ว่าคนภายนอกจะพูดอย่างไร ท้ายที่สุดคนในสกุลของพวกเราล้วนยอมรับอาสามเป็นผู้นำสกุล ข้าแปลกใจว่า หากท่านพ่อทิ้งคำสั่งเสียเช่นนี้ไว้ เหตุใดท่านปู่ไม่เคยบอกข้า? ก่อนหน้านี้อาสามก็ไม่ได้เอ่ยถึงมาโดยตลอด? แต่ไหนแต่ไรท่านแม่และท่านพ่อก็เคารพให้เกียรติกัน หลังจากท่านพ่อจากไป ท่านแม่ก็หงอยเหงาเศร้าซึม ท่านลุงและท่านป้าสกุลท่านแม่ล้วนเป็นห่วงนางอย่างยิ่ง ข้าและน้องชายต่างก็ยังเป็นเด็ก วาจาหรือการกระทำย่อมมีจุดที่ละเลยไปบ้าง ท่านแม่ข้ามผ่านวันราวกับเป็นปี เอาแต่คิดว่ารอหลังจากถอดชุดไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อก็จะกลับไปอยู่ที่สกุลนางเสียหน่อย ทั้งไม่อยากแยกจากพวกเราสองพี่น้อง นี่จึงคิดให้ข้าไปเรียนหนังสือกับทางท่านตา”
“ข้าอยากดูแลท่านแม่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้คัดค้าน”
“จู่ๆ ท่านพ่อก็มีคำสั่งเสียออกมา ข้า ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี?”
———————