ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 252 ความสนใจ
เผยเยี่ยนเป็นคนที่แน่วแน่มาก เมื่อตนเองคิดไม่ออก เช่นนั้นก็ต้องไปหาคนที่คิดออกมา
เขากลับไปที่เรือน แล้วเรียกหาชูชิงทันที
หวังชีเป่ามาถึงหังโจวแล้ว เผยเยี่ยนยังไม่ได้คิดเลยว่าจะพูดอะไรกับหวังชีเป่า แม้ปากจะบอกว่าตัดสินใจลอยแพเขาสักหลายวัน แต่เบื้องหน้าก็ต้องทำให้งดงาม เขาให้ผู้ดูแลร้านสาขาเมืองหังโจวอย่างเถ้าแก่รองถงเป็นผู้รับผิดชอบ ไปเชิญผู้ตรวจการศึกษาแห่งเจ้อเจียงนามว่าเติ้งเสวี่ยซงมาช่วยต้อนรับหวังชีเป่า
ตอนที่ชูชิงมาถึง เขานึกว่าเผยเยี่ยนจะหารือเรื่องไปเยี่ยมหวังชีเป่า ดังนั้นเมื่อได้ยินเผยเยี่ยนถามว่าปกติเหล่าหญิงสาวชอบทำอะไรเมื่อต้องเก็บอยู่ในห้อง เขายังเข้าใจว่าหวังชีเป่าเลี้ยงสตรีไว้ที่เมืองหังโจวเสียอีก จึงบอกเผยเยี่ยนด้วยความกระตือรือร้นว่า “ส่วนใหญ่ก็มักจะฟังเรื่องเล่าไม่ก็แข่งเก็บดอกไม้ สามารถเชิญอาจารย์หญิงสักสองท่านมาเล่าเรื่อง ไม่ก็เชิญนักขับร้อง หรือจะหาผู้ที่เชี่ยวชาญหมากกระดานมาก็มิเลวขอรับ”
เผยเยี่ยนครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “อยู่ในวัดเจาหมิง เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยดีกระมัง?”
ประเด็นคือท่านแม่เฒ่าอยู่ที่นี่ด้วย การเชิญนักเล่าเรื่องกับนักขับร้องมา อาจเป็นการไม่เคารพต่อท่านแม่เฒ่า ทั้งดูไม่งามเท่าไร หากจะให้ดูกตัญญู อวี้ถังคงต้องไปรับใช้ข้างกายท่านแม่เฒ่า คอยสังเกตสีหน้าผู้อื่น เช่นนั้นไม่เพียงไร้อิสระ เกรงว่ายังต้องอดกลั้นต่อสิ่งที่ตนไม่ชอบ มิสู้อ่านหนังสืออยู่ในห้อง วาดรูปไปเรื่อยเปื่อยยังจะสบายใจกว่า
ชูชิงทำหน้าโง่งมทันที รู้สึกว่าตนกับเผยเยี่ยนกำลังคุยกันคนละเรื่อง
เขาเอ่ยว่า “ท่านกำลังหาคนมาช่วยฆ่าเวลาให้ใครขอรับ?”
เผยเยี่ยนตอบว่า “คุณหนูอวี้!” จบเสียง เขาเพิ่งคิดได้ว่าการพูดออกไปเช่นนี้ จะทำให้คุณหนูอวี้ดูขาดความยับยั้งชั่งใจ จึงรีบอธิบายว่า “คุณหนูอวี้มิใช่ว่าเป็นลมไปรึ? คงไม่ดีหากจะให้นางไปฟังบรรยายธรรมที่ศาลา แต่จะโยนนางไว้ที่เรือนตะวันออกเหมือนถูกคุมขังก็คงทรมานน่าดู ข้าต้องหาอะไรให้นางทำถึงจะถูก”
มุมปากของชูชิงกระตุกยิกๆ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
เบื้องหน้ามีงานกองเป็นพะเนิน เผยเยี่ยนยังมีแรงเหลือไปห่วงพะวงคุณหนูอวี้? หากมีเวลาว่าง มิสู้ใช้มันไตร่ตรองว่าจะพูดอะไรบ้างเมื่อเจอหน้าหวังชีเป่า?
หวังชีเป่ามิใช่โง่เง่าเหมือนกับเว่ยซานฝู ผู้อื่นเริ่มรับใช้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันตั้งแต่ตอนที่พระองค์ยังไม่ครองบัลลังก์ด้วยซ้ำ ภายหลังวังหลวงมีการเปลี่ยนแปลง เป็นเขาที่ลอบบีบฮ่องเต้จากวังหลังให้ไปหลบที่ตำหนักตะวันออก ฮ่องเต้ทรงได้รับความแตกตื่น ไม่เชื่อใจใครหน้าไหน แต่กลับมอบตราพยัคฆ์ให้หวังชีเป่า…นั่นเป็นการฝ่าคลื่นลมมรสุมครั้งใหญ่ คนทั่วไปไฉนจะอยู่ในสายตาเขาได้อีก
ชูชิงอดจะพูดขึ้นไม่ได้ว่า “เช่นนั้นคุณหนูอวี้มีบ่นกับท่านแล้วหรือไม่?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?!” เผยเยี่ยนโพล่งขึ้นมาคัดค้าน “คนอย่างนาง มีเรื่องก็บอกว่าไม่มี แล้วจะมาบ่นเรื่องพวกนี้ต่อหน้าข้าได้อย่างไร เพียงแต่ข้า…”
เพียงแต่เขาทำไม?
เผยเยี่ยนพูดอยู่ แต่จู่ๆ ก็ชะงักไป
เหตุใดเขาถึงไม่อาจวางใจเรื่องคุณหนูอวี้ได้เลย?
เพราะนางน่าสงสาร? นางก็แค่ได้รับความตกใจเท่านั้น คนที่น่าสงสารกว่านางมีให้เกลื่อน แล้วทำไมเขาถึงไม่สงสารคนอื่นด้วยล่ะ?
เพราะว่านางกับเขาสนิทกัน? หากเผิงสืออีทำให้อวี้ถังตกใจได้ เช่นนั้นสตรีคนอื่นก็ย่อมได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน หากจะพูดว่าสนิท ตอนที่เขาไปคารวะท่านแม่เฒ่าก็ต้องเจอหน้าเหล่าหลานสาวบ่อยๆ มิใช่ว่าสนิทกว่าคุณหนูอวี้หรอกรึ?
หรือเพราะ…นางสวย?
คุณหนูอวี้นับว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามมากจริงๆ
เฉกเช่นบุปผาดอกหนึ่ง
ใครต่างก็ชอบของสวยๆ งามๆ ทั้งนั้น
เช่นนั้น การที่เขาใส่ใจนางเป็นพิเศษ ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วมิใช่หรือ?
เผยเยี่ยนเชื่อว่าต้องเป็นเพราะสาเหตุนี้แน่
คนที่หน้าตาสะสวยย่อมได้กำไรกว่าหน่อย
เหมือนอย่างตัวเขา ตั้งแต่เข้าเรียนจนถึงเข้ารับราชการขุนนาง เพราะว่ารูปโฉมงดงามจึงได้สิทธิประโยชน์ไม่น้อย ไม่พูดถึงอย่างอื่น ตอนนั้นอาจารย์เขาไม่คิดจะรับลูกศิษย์ด้วยซ้ำ แต่พอได้เห็นหน้า ถูกเขาพูดจาเอาใจสองสามคำ อาจารย์ยังเปลี่ยนใจแทบจะในทันที หลังจากทดสอบความสามารถผ่านก็รับเขาไว้เป็นศิษย์ในสำนัก ด้วยเหตุนี้เอง ศิษย์พี่รองเจียงฮวาถึงได้แสร้งพูดทีเล่นทีจริงกับเขาอยู่หลายครั้งว่าเขานั้นโชคดี ผู้อื่นลำบากลำบนกันแทบตาย แต่เขากลับได้มันมาง่ายๆ เสียนี่?
เผยเยี่ยนพลันรู้สึกว่าตนเปี่ยมไปด้วยเหตุผลยิ่ง
เขาเอ่ยว่า “อย่างไรแล้ว คุณหนูอวี้ก็เป็นแขก พวกเราต้องรับรองดูแลให้ดี ข้าไม่อยากให้สกุลเผยต้องถูกว่าเสียๆ หายๆ เพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้”
ชูชิงอดจะงึมงำในใจไม่ได้
ผลเก็บเกี่ยวของปีนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร ทุกคนต่างก็กลุ้มใจกับผลเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง สายตาของใครจะมาจับจ้องอยู่ที่เรื่องเล็กกระติ๋วแค่นี้!
แต่เขานับว่าพอจะรู้จักนิสัยของเผยเยี่ยนอยู่บ้าง
โดยเฉพาะเรื่องศักดิ์ศรี
เขาจะไม่หักหน้าเผยเยี่ยนอย่างเด็ดขาด
ไม่เช่นนั้น ต่อให้เผยเยี่ยนปากจะไม่พูด แต่ก็จดบัญชีแค้นไว้ในใจแล้ว
เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อฝ่ายใดเช่นนี้ อย่าได้ไปต่อล้อต่อเถียงเขาเป็นดีที่สุด
ชูชิงรับคำด้วยรอยยิ้ม แล้วถามถึงเรื่องหวังชีเป่าขึ้นมา “หลังจบพิธีบรรยายธรรมต้องไปหังโจวเพื่อเยี่ยมเยียนหวังชีเป่า หรือจะรอให้เรื่องทางนี้เรียบร้อยสักพักแล้วค่อยไปขอรับ”
เผยเยี่ยนโยนปัญหาเล็กน้อยเมื่อครู่ทิ้งไว้เบื้องหลัง เขาเอ่ยว่า “ข้าวางแผนว่าพรุ่งนี้จะไปก่อนสักครั้ง จากนั้นดูว่าหวังชีเป่าพูดว่าอย่างไร ฉวยโอกาสที่ผู้นำหลายสกุลยังรวมตัวอยู่ที่นี่ หารือถึงวิธีการออกมา อีกอย่างเว่ยซานฝูก็จะมาที่นี่ พรุ่งนี้ช่วงบ่ายคงถึงท่าเรือเสาซีแล้ว ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอเขา ถือว่าเลี่ยงเขาไปในตัว” จากนั้นก็พูดกับชูชิงว่า “ข้าจะพาเผยหม่าน เผยชีกับจ้าวเจิ้นไปหังโจวด้วย เจ้าอยู่ที่นี่ช่วยพี่รองควบคุมสถานการณ์ทางนี้ไว้ ข้าคิดว่า เว่ยซานฝูมาครั้งนี้คงมาดูลาดเลาก่อน ยังไม่จงใจก่อเรื่อง พวกเจ้าสงบเอาไว้ก็พอ อีกอย่างยังมีกู้เจาหยาง ข้าว่าครานี้เขาคงตั้งใจแน่วแน่จะไปประจำที่หกกรมให้ได้ จึงได้หาวิธีลงมาที่แถบเจียงหนาน ในที่นี้คนที่ไม่อยากมีปัญหาที่สุดย่อมเป็นกู้เจาหยาง หากว่าจำเป็นจริงๆ ก็ร่วมมือกับกู้เจาหยางเสีย เขาน่าจะตอบรับอย่างยินดีแน่”
จากนั้นชูชิงก็เล่าถึงความเป็นมาของเว่ยซานฝูผู้นี้ให้เขาฟัง
เผยเยี่ยนฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ในใจลอยไปหาอวี้ถังอีก
เขาคิดว่าการเชิญอาจารย์หญิงมาช่วยฆ่าเวลาสักคนมิใช่ว่าไม่ได้ แต่ต้องดูว่าจะจัดการอย่างไร ยังมีท่านแม่เฒ่าทางนั้น อีกสักพักเขาจะไปขอคำชี้แนะจากนาง ต้องช่วยคุณหนูอวี้พูดจาน่าฟังสักหลายคำ ไม่อย่างนั้นถ้าคุณหนูอวี้เอาแต่นอนซมไม่ยอมออกห้อง กลัวว่าเหล่าท่านแม่เฒ่าจะเข้าใจผิดคิดว่าอาการป่วยเพียงเล็กน้อย กลับต้องพะเน้าพะนอจนเกินงาม
เขาไม่อยากให้อวี้ถังได้รับความช่วยเหลือจากตน แล้วสุดท้ายชื่อเสียงกลับต้องมาเสื่อมเสีย
เผยเยี่ยนร่างเค้าโครงไว้ในใจ หากไปหาท่านแม่เฒ่าทางนั้นแล้ว คำไหนพูดได้ คำไหนพูดไม่ได้ คำไหนควรพูดอย่างตรงไปตรงมา คำไหนควรจะพูดให้อ้อมค้อมสักหน่อย…
อวี้ถังทางนั้น คนสกุลเฉินกำลังคุมเข้มให้นางดื่มยา
เห็นว่าอวี้ถังวางถ้วยยาลง คนสกุลเฉินก็รีบรับไปแล้วส่งต่อให้ซวงเถา หยิบวอซือถังจากกล่องในมือส่งเข้าปากบุตรสาวไปชิ้นหนึ่ง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากให้ด้วยรอยยิ้มหยี พลางเอ่ยว่า “นายท่านสามมาคุยเรื่องอะไรกับเจ้ารึ?”
อวี้ถังเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว พอได้ยินก็ตอบอย่างไม่ลนลานร้อนใจว่า “เมื่อตอนกลางวัน ข้าไม่ได้เป็นลมแดดจริงๆ หรอกเจ้าค่ะ ข้าได้รับความตื่นตระหนกต่างหาก”
คนสกุลเฉินตกอกตกใจ แต่เพราะตอนนี้บุตรสาวปลอดภัยไร้เรื่องราว แม้คนจะแตกตื่นทว่ามิได้วิตกเท่าไรนัก ทั้งยังเร่งเร้านางด้วยว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดเจ้าถึงต้องปิดบังแม้แต่กับข้าด้วย?”
อวี้ถังหัวเราะเหอะๆ ก่อนจะลากเผิงสืออีออกมารับบาปว่า “น่ากลัวมากเจ้าค่ะ ข้าถูกเขาทำให้ตกใจ”
“เจ้าคนขี้ขลาดนี่!” คนสกุลเฉินได้ฟังก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แล้วเคาะจมูกอวี้ถังหลายที
อวี้ถังย่นจมูกหนีแล้วแกล้งแหย่มารดาไปพักหนึ่ง “ท่านแม่เฒ่าพอจับชีพจรก็รู้แล้ว นายท่านสามกลัวว่าข้าจะลำบากใจ จึงได้แวะมาหาเจ้าค่ะ”
“นายท่านสามช่างใส่ใจนัก!” คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างทอดถอนใจ พลันเอ่ยถึงอวี้เหวินขึ้นมาว่า “ข้าไม่กล้าไปเจอเขาด้วยซ้ำ ในเมื่อเจ้าค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะได้ไปพบบิดาเจ้า เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง เขาจะได้ไม่ร้อนใจหากไปรู้จากปากคนอื่น”
อวี้ถังพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
วันรุ่งขึ้น นางกับคนสกุลเฉินยังไม่ทันกินข้าวเช้าก็ออกไปหาท่านแม่เฒ่าเพื่อกล่าวขอบคุณตั้งแต่เช้าตรู่
ไม่รู้ว่าเพราะหลายวันนี้ในวัดมีบรรยากาศคึกคักท่านแม่เฒ่าจึงอารมณ์ดีกว่าปกติหรืออย่างไร เพราะคนดูมีชีวิตชีวากว่าวันก่อนๆ มาก
เมื่อเห็นว่าอวี้ถังมาพบ นางก็ไม่ได้กระมิดกระเมี้ยน รีบถามด้วยรอยยิ้มว่า “ร่างกายดีขึ้นบ้างหรือยัง? ข้าได้ยินจากสยากวงแล้ว มีสถานที่หลายแห่งจำกัดไม่ให้เผิงสืออีเข้าไป ข้าเดาว่าอย่างช้าก็วันนี้เขาคงคิดเองได้ พรุ่งนี้เช้าก็คงจากไป ถ้าเจ้าค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว ก็มาฟังบรรยายธรรมที่ศาลาตามแผนเดิมเถอะ แต่ถ้าเจ้ายังไม่กลับมาเป็นปกติดี ก็พักในเรือนสักหลายวันไปก่อน อย่างไรพิธีบรรยายธรรมก็จัดอีกหลายวัน เจ้าต้องได้ฟังอยู่แล้ว”
อวี้ถังขอบคุณในความห่วงใยของท่านแม่เฒ่า ตัดสินใจว่าหากเผิงสืออีจากไปนางค่อยออกมาเดินเล่น นางกับคนสกุลเฉินค่อยๆ ลุกขึ้นเพื่อบอกลา แล้วกลับไปที่ห้องเซียงฝางของตนก่อนที่พวกนายหญิงรองสกุลเผยจะมาถึง
คุณหนูสวีมากินอาหารเช้าด้วยเพียงคนเดียว ยังบอกอีกว่า “นายหญิงใหญ่สกุลเผยวิ่งไปเยี่ยมนายหญิงสามทางนั้นตั้งแต่ฟ้าไม่สาง นายหญิงสามรั้งนางให้กินข้าวเช้าด้วยกัน ข้าถึงมาขอข้าวเจ้ากินที่นี่อย่างไรเล่า”
อวี้ถังย่อมต้อนรับนางอยู่แล้ว
คุณหนูสวีคนเดียวกินซาลาเปาเจไปสองลูก ทั้งยังโวยวายว่าจะนำกลับไปด้วยอีกสักชุด “จะเอาไปให้สาวใช้กับหญิงรับใช้ข้างกายข้าชิมดูหน่อย”
อาจเพราะซาลาเปาทำออกมาไม่ออก หากว่าต้องการเพิ่ม ก็ต้องรีบไปขอที่ห้องครัวตั้งแต่เช้า
นายหญิงใหญ่สกุลเผยยังอยู่กับนายหญิงสามสกุลหยางทางนั้น นางย่อมไม่อาจแสดงออกจนดู ‘หยาบคาบ’ มากจนเกินไป
อวี้ถังเม้มปากลอบหัวเราะ สั่งซวงเถาไปขอจากห้องครัวมาอีกชุดหนึ่ง ทั้งยังกระเซ้าตนเองว่า “หากมีคนลือว่าข้ากินอาหารปริมาณเท่าวัว ล้วนจะเป็นความผิดของท่านทั้งสิ้น”
คุณหนูสวีไม่เห็นด้วย นางหัวเราะหึ หันไปพูดกับคนสกุลเฉินว่า “อาถังทางนี้มีข้าอยู่เป็นเพื่อน ยากนักที่วัดเจาหมิงจะเชิญพระอาจารย์ชั้นสูงจากข้างนอกมาบรรยายธรรม ท่านไปฟังบรรยายที่ศาลาเถอะเจ้าค่ะ จะได้อยู่เป็นเพื่อนเหล่าท่านแม่เฒ่าด้วย”
เหล่าแม่เฒ่าสกุลเผยต่างก็ชื่นชอบคนสกุลเฉินที่ทั้งงดงามและนิสัยเรียบง่าย
คนสกุลเฉินกลับไม่คิดอยากไปร่วมความครึกครื้น แต่ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยมีบุญคุณต่อนาง หากว่าสามารถไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่เฒ่าสกุลเผยได้ ก็นับว่าเป็นการแสดงความขอบคุณท่านแม่เฒ่าแทนอวี้ถัง ซึ่งก็ไม่เลวเลยทีเดียว อีกอย่างสกุลอวี้คนอื่นยังไม่รู้เรื่องที่อวี้ถังเป็นลม อวี้เหวินเป็นผู้ชาย ไม่สะดวกจะแวะมาหาพวกนางสองแม่ลูกที่นี่ นางจะต้องไปพูดกับอวี้เหวินไว้ก่อนถึงจะถูก
อวี้ถังคิดเหมือนกันว่าการขังมารดาไว้ที่นี่ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ทั้งเงียบเหงาเป็นที่สุด จึงช่วยกันกับคุณหนูสวียุให้นางไปฟังบรรยายธรรมที่ศาลาทางนั้นด้วย
ชิงหยวนที่อยู่ด้านข้างยังเสริมว่าจะดูแลอวี้ถังอย่างดี
คนสกุลเฉินเห็นว่าทางนี้สามารถจัดการได้เรียบร้อยเหมาะสม จึงไม่ได้ดื้อดึงต่อ หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ นางพูดกำชับกับอวี้ถังอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็พาป้าเฉินเดินไปที่ศาลาเทศนาธรรม
คุณหนูสวีกลายเป็นลิงที่กระโดดออกจากกลางฝ่ามือทันที นางแทบจะกลิ้งไปทั่วห้อง ซ้ำยังเอ่ยขึ้นว่า “คราวนี้อยากทำอะไรก็ทำได้หมดเลย!”
เป็นเหตุให้อวี้ถังต้องหัวร่องอหาย
ชิงหยวนยังแกล้งหยอกคุณหนูสวีว่า “ยังมีใครกล้าสั่งท่านได้อีกเล่าเจ้าคะ?”
คุณหนูสวียิ้มกว้าง ชวนชิงหยวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ที แต่จู่ๆ อาหมิงก็วิ่งเข้ามา
เขาพูดกับชิงหยวนว่า “นายท่านสามเรียกท่านไปพบขอรับ”
———————————————————–