ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 55 แหวกหญ้า
อวี้ถังได้ฟัง ใจก็เต้นดั่งรัวกลอง “เจ้าต้องการจะพูดอะไร?”
เว่ยเสี่ยวชวนเอ่ย “สกุลพวกเขารับคนลี้ภัยอยู่ในความดูแล พวกเราสามารถร้องเรียนพวกเขาได้หรือไม่?”
ราชสำนักมีข้อบังคับ ไม่อนุญาตให้รับผู้ลี้ภัยอย่างส่งเดช
เพราะคนลี้ภัยพวกนี้ไม่มีทะเบียนบ้าน ไม่มีที่ดิน เพื่อปากท้องของตัวเอง สามารถยอมเสี่ยงตาจน ก่อเรื่องทำร้ายผู้คนได้ง่าย เมื่อพบเรื่องเช่นนี้บ่อยๆ หากศาลาว่าการไม่ออกหน้าส่งกลับภูมิลำเนาเดิม ก็จดเข้าอยู่ในทะเบียนของท้องที่ ให้รางวัลพวกเขาได้ลงหลักปักฐานเริ่มต้นชีวิตใหม่
หากสิ่งที่เว่ยเสี่ยวชวนพูดเป็นความจริง สกุลหลี่รับคนลี้ภัยเช่นนี้ก็นับว่าไม่สมควรอยู่บ้าง
ชาติก่อน นางคล้ายได้ยินว่าสกุลหลี่มีที่นาอย่างนี้เช่นกัน แต่เวลานั้นนางไม่ได้สนใจ ทั้งเหตุผลที่นางจำที่นาแห่งนี้ได้ เป็นเพราะว่าภายหลังสกุลหลี่รู้สึกว่าคนลี้ภัยพวกนั้นควบคุมยาก จึงไล่คนลี้ภัยพวกนั้นออกไป มีคนไม่ยินยอม ก่อเรื่องฆ่าคนตาย สกุลหลี่แจ้งทางการ ภายหลังศาลาว่าการออกหน้าจึงค่อยจัดการให้เรื่องนี้สงบลงได้
เพราะเรื่องนี้คนสกุลหลินจึงอารมณ์เสียอยู่หลายวัน ทั้งยังมักระบายโทสะในเรือน กล่าวว่าเป็นคนไม่อาจจะเมตตากรุณาเกินไป สกุลหลี่ทำเรื่องดีกลับกลายเป็นเรื่องร้าย ภายหลังย่อมไม่อาจจะรับคนลี้ภัยพวกนั้นอีก
เวลานั้นนางก็คิดว่าคนลี้ภัยพวกนั้นไม่รู้จักบุญคุณ…แต่มาดูวันนี้ เกรงว่าเรื่องราวจะไม่เหมือนชาติก่อนที่นางเข้าใจเช่นนั้นแล้ว
ไม่แน่ว่าเว่ยเสี่ยวชวนอาจจับพลัดจับพลู ค้นพบเบาะแสสำคัญเข้าอย่างไม่ตั้งใจก็ได้
อวี้ถังเอ่ย “หลังจากกลับมาจากสกุลพวกเจ้า ข้าครุ่นคิดอยู่นาน คิดว่าหากสกุลหลี่ทำเรื่องเลวร้าย พวกเขาไปหาคนมาจากไหนกัน? อย่างไรก็เป็นชีวิตคนๆ หนึ่ง หาหลักฐานไปแจ้งทางการได้ สกุลพวกเขาก็ต้องโทษแล้ว หากไม่อยากมีปัญหาในอนาคต อาจจะให้ผู้ดูแลคนสนิทในสกุลเป็นผู้ลงมือ ไม่อย่างนั้นก็จ้างคนภายนอก ผู้ดูแลของสกุลหลี่ ข้าได้ไปสืบความมาแล้ว ล้วนอยู่อย่างปกติในเมือง เย็นวันนั้นก็ไม่มีใครว่าจ้างอะไรอยู่ข้างนอก ผู้ที่กล้าทำเรื่องนี้ หากเป็นข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพล ข้าก็ไปสืบมาแล้วเช่นกัน ข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลที่มีชื่อเสียงในหลินอันนั้น หลายวันมานี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในเมืองหลินอัน ไม่มีใครหลบหนี…”
เว่ยเสี่ยวชวนได้ยินพลันตากระจ่างขึ้นมา “ดังนั้นฆาตกรที่ทำร้ายพี่รองข้า เป็นไปได้ว่าก็คือคนลี้ภัยในที่นาพวกนั้น?”
อวี้ถังขานรับเสียงเบา
เว่ยเสี่ยวชวนรีบเอ่ย “เช่นนั้นข้าจะลาหยุด พรุ่งนี้จะไปดูที่นาแห่งนั้นสักหน่อย”
“ไม่ได้!” อวี้ถังเอ่ยทันที “หากเจ้าถูกคนสงสัย อาศัยแค่คนผอมแห้งอย่างเจ้า เกรงว่าวิ่งหนียังจะไม่ไหว ยามนี้พวกเราไม่อาจทำเรื่องโดยใช้อารมณ์ได้”
“ก็ได้!” เว่ยเสี่ยวชวนเอ่ยอย่างท้อใจ “ข้าได้ยินญาติผู้พี่กล่าวว่า คนในที่นานั้นล้วนอยู่ดีกินดี ไม่ได้ถือเสียมถือจอบทำไร่ทำนาแต่อย่างใด เรื่องนี้ย่อมมีอะไรแฝงอยู่ เจ้าก็ต้องระวัง อย่าถูกคนจับได้ฆ่าปิดปากเชียว เจ้าไม่ได้กล่าวหรือว่า พวกเราไม่อาจทำเรื่องโดยใช้อารมณ์ได้?”
สกุลหลี่จ้างพวกอันธพาลมาฉุดนาง ทำลายชื่อเสียงนาง มีอะไรแตกต่างจากฆ่าคนปิดปากอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังเอ่ย “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ไปเองหรอก ข้าจะให้คนช่วย”
เว่ยเสี่ยวชวนใคร่ครวญดูก็คิดว่าเช่นนี้ดีแล้ว เขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เข้าเรียนวันแรก พวกอาจารย์จะขานชื่อ ข้าไม่อาจไปสาย หากเจ้ามีข่าวคราวอะไร ก็อย่าลืมให้คนไปส่งจดหมายให้ข้าล่ะ”
อวี้ถังย่อมไม่อาจรั้งเขา รีบเอ่ยว่า “เจ้านั่งเกี้ยวข้าไปเถิด! ข้าจ่ายเงินเอง”
เว่ยเสี่ยวชวนปฏิเสธ “ข้าไปทางถนนเล็กๆ ใช้เวลาไม่นาน เจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก เสียดายที่คนในที่นาสกุลพวกเราไม่เห็นหน้าของสองคนนั้นชัดเจน ไม่อย่างนั้นข้าคงจะสามารถพาคนไปยืนยันได้แล้ว”
อวี้ถังถอนหายใจ “ยังดีที่คนในที่นาพวกเจ้าไม่เห็นหน้าของสองคนนั้นชัดเจน หากทำอย่างเจ้า พาคนไปตรงๆ เช่นนี้ แม้ว่าจะยืนยันได้ พวกเขาก็ย่อมมีวิธีโยนความผิดไปให้คนอื่น เรื่องนี้ไม่อาจทำอย่างส่งเดช ต้องใช้ไหวพริบ เจ้ารีบไปเข้าเรียนเถิด เรื่องนี้ข้าจะจัดการอย่างเหมาะสมเอง”
เว่ยเสี่ยวชวนเพียงอยากบ่นสักหน่อยเท่านั้น ฟังจบก็ก้มหน้าเดินจากไป
อวี้ถังกลับมาถึงเรือน ตลอดทั้งคืนก็เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ รอจนยามที่ฟ้าใกล้สว่าง ในที่สุดนางก็ตัดสินใจไปหาอวี้เหวิน
อวี้เหวินและคนสกุลเฉินกำลังตรวจดูสิ่งของในเรือน คัดแยกออกมา เตรียมส่งไปให้อวี้ป๋อ ตั้งใจจะจัดการงานแต่งของอวี้หย่วนให้เสร็จสมบูรณ์เป็นอันดับแรก
อวี้ถังและบิดามารดาพูดคุยกันไม่กี่คำ ก่อนจะขยิบตาเป็นนัยให้บิดา
อวี้เหวินเข้าใจ เอ่ยกับคนสกุลเฉิน “ข้าเพิ่งนึกได้ปีก่อนมีสหายมาจากเหมยโจว มอบผ้าไหมสูจิ่น[1]ให้พวกเราผืนหนึ่ง เจ้าค้นมันออกมาแล้วส่งไปให้พี่ใหญ่ด้วยเถิด!”
ผ้าผืนนั้นแข็งเกินไป ทำเป็นเสื้อสวมก็คงจะไม่สบายตัว ทว่าขอบเสื้อกลับงดงามไม่น้อย เดิมทีคนสกุลเฉินเตรียมจะเก็บไว้ให้อวี้ถัง เวลานี้ได้ยินอวี้เหวินพูด นางจึงอดลังเลไปครู่หนึ่งไม่ได้ คิดว่าแม้ผ้าไหมสูจิ่นจะหายาก แต่ก็ใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้ เพียงแค่ราคาสูงไปหน่อยเท่านั้น อย่างไรลวดลายขอบเสื้อน่าจะเยอะไปอยู่บ้าง ให้อวี้หย่วนก็ให้อวี้หย่วน นางตอบรับ ก่อนจะไปยังห้องเก็บของ
อวี้เหวินให้งานคนสกุลเฉินทำแล้ว เวลานี้จึงค่อยวางใจ ไปห้องหนังสือกับอวี้ถัง
อวี้ถังยังคงไม่รู้ว่าผ้าไหมสูจิ่นที่เดิมทีควรเป็นของนางกลับหายไปเช่นนี้แล้ว
นางเอ่ยกับอวี้เหวิน “เมื่อวานยามที่กลับมาข้าพบกับคุณชายห้าสกุลเว่ย เขาบอกข้าว่า ยามที่เขาไปส่งของขวัญให้ตาในเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็พบว่า ห่างจากที่นาของตาเขาไม่ไกลมีที่นาของสกุลหลี่อยู่แห่งหนึ่ง รับคนลี้ภัยไว้ไม่น้อย…”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ!” อวี้เหวินตกใจ เอ่ยอย่างมีโทสะ “หากคนลี้ภัยพวกนั้นก่อจลาจลขึ้นมา เมืองหลินอันย่อมมิพ้นมีคนตาย หรือสกุลหลี่จะไม่รู้เรื่องนี้เชียว? ไม่ได้ เรื่องนี้ข้าต้องบอกให้ท่านข้าหลวงทังทราบ”
อวี้ถังดึงบิดาไว้ “ท่านพ่อ ท่านไม่อาจไปหาท่านข้าหลวงทังแบบนี้ได้”
อวี้เหวินไม่เข้าใจ
อวี้ถังเอ่ย “ท่านลองคิดดู สกุลหลี่นั้นนับว่าเป็นสกุลขุนนาง อันตรายของพวกลี้ภัย คนอื่นอาจไม่รู้ แต่สกุลพวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างนั้นรึ? พวกเขาจ้างอันธพาลมาฉุดข้าได้ ก็สามารถส่งคนลี้ภัยพวกนั้นมาก่อความวุ่นวายในเรือนได้เช่นกัน ความหมายของข้าคือ ท่านมิสู้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่านข้าหลวงทังก่อน ให้เขาอาศัยชื่อของทางการตรวจสอบ กล่าวไปว่ามีคนรายงานว่ามีการรับพวกญี่ปุ่นมาอยู่ในที่นา หากสกุลหลี่ทำเรื่องดีรับคนพวกนั้นไว้ก็แล้วไป หากผิดปกติ ท่านข้าหลวงทังย่อมรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร”
อวี้เหวินตรึกตรอง รู้สึกว่าความคิดนี้ดีกว่าการที่ตัวเองเข้าไปหาข้าหลวงทังตรงๆ
พื้นที่ในการดูแลของตัวเองมีคนรับพวกลี้ภัยไว้ เขากลับไม่รู้ หากไม่เกิดเรื่องอะไรก็แล้วไป แต่เมื่อเกิดปัญหา ผลงานตลอดสามปีของเขาที่สั่งสมมาก็นับว่าเป็นอันจบ ไม่ถูกถอดยศก็คงจะกระทบกับการเลื่อนตำแหน่ง ยิ่งไปกว่านั้นสกุลอวี้และสกุลหลี่เป็นดั่งน้ำกับไฟที่อยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว แม้ว่าสกุลหลี่จะรู้ว่าเขาเป็นคนรายงานแล้วอย่างไร? หรือเขาไม่รายงานสกุลหลี่ สกุลหลี่ก็จะปล่อยสกุลอวี้ไปอย่างนั้นรึ?
อวี้เหวินเอ่ย “ข้ารู้ว่าควรพูดอย่างไรแล้ว เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เจ้าเถิด! ตอนนี้อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ข้าได้ยินว่าอีกไม่กี่วันหมอหลวงหยางจะมาตรวจสุขภาพให้นายหญิงใหญ่สกุลเผย อยากจะเชิญเขาเข้ามาดูแม่เจ้าเสียหน่อย เจ้าจับตาดูแม่เจ้าไว้ อย่าให้นางจับไข้เชียว…หากจับไข้ ก็ต้องรอให้หายป่วยก่อนจึงจะจัดยาบำรุงได้ ไม่แน่ว่าหมอหลวงหยางจะรออยู่ถึงเวลานั้นเสียทีเดียว”
ตั้งแต่กินยาของหยางโต่วซิง คนสกุลเฉินก็ไม่ป่วยอีกเรื่อยมา ความเชื่อมั่นของอวี้เหวินที่มีหยางโต่วซิงจึงเพิ่มมากขึ้น คิดว่าขอเพียงสามารถเชิญหยางโต่วซิงมาทำการรักษา ร่างกายของคนสกุลเฉินก็จะไม่เจ็บป่วยอะไรแล้ว
อวี้ถังรับปากอย่างดี
ก่อนอวี้เหวินจะเดินทางไปศาลาว่าการ
อวี้ถังจึงจัดเตรียมของที่จะส่งไปให้ลุงใหญ่เป็นเพื่อนคนสกุลเฉิน รอจนอวี้เหวินกลับมาก็ไปเรือนลุงใหญ่ด้วยกัน
ระหว่างทางอวี้ถังถามบิดา “ท่านข้าหลวงทังว่าอย่างไร?”
อวี้เหวินเอ่ย “ท่านข้าหลวงทังคิดว่าสกุลพวกเราจะแก้แค้นสกุลหลี่ แม้จะรับปากไปตรวจสอบ แต่ข้าเห็นว่าไม่กระตือรือร้นเท่าใด เวลานั้นข้าจึงคิดขึ้นมาอย่างว่องไว ยามที่จะจากมากล่าวว่าจะไปเชิญหมอหลวงหยางที่สกุลเผยมาตรวจดูอาการป่วยเสียหน่อย ท่าทีเขาก็เปลี่ยนไปทันที” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ “ติดหนี้บุญคุณสกุลเผยอีกแล้ว ก็ไม่รู้ว่ายามใดจะสามารถคืนได้หมด”
ประเด็นอยู่ที่ว่ายังคงไม่รู้จะคืนอย่างไร
อวี้ถังคิดว่าไม่ออกว่าเผยเยี่ยนยังขาดแคลนอะไร
โดยเฉพาะเผยเยี่ยนที่คิดว่านางมีใจคิดไม่ซื่ออยู่เรื่อยมา ทำเรื่องอะไรล้วนมีจุดประสงค์แอบแฝง มองนางขัดหูขัดตาเป็นอย่างยิ่ง
นึกมาถึงตรงนี้ อวี้ถังจึงถอนหายใจอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง
ช่างเถิด บุญคุณอันใหญ่หลวงของสกุลเผย นางทำได้เพียงค่อยคืนในชาติหน้าเท่านั้น
หากนางยังสามารถเกิดในชาติหน้าได้ละก็?
ระหว่างที่พูดกันไม่กี่ประโยค พวกเขาก็มาถึงเรือนของอวี้ป๋อ เรื่องนี้จึงหยุดชะงักไปเช่นนี้
อวี้ถังสั่งให้อาเสามอบเงินจำนวนหนึ่งให้อาลิ่วที่ขายสาลี่อยู่ตรงธารเสี่ยวเหมย ให้เขาจับตาดูสกุลหลี่
ไม่กี่วันต่อมา ทั่วเมืองหลินอันก็มีคนเล่าลือกันว่า สกุลหลี่ปรารถนาดีรับพวกลี้ภัยไว้จำนวนมาก เมื่อข้าหลวงทังทราบ จึงส่งคนไปตรวจสอบถึงหน้าประตูว่า คนลี้ภัยพวกนั้นเคยทำเรื่องผิดกฎหมายหรือไม่ ใครจะรู้ว่าคนลี้ภัยพวกนั้นจะร้อนตัว ยามที่คนของศาลาว่าการเข้าไปสอบสวน ก็ได้เกิดการปะทะกับคนลี้ภัยพวกนั้น ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตไปสองคน
สกุลหลี่หน้าถอดสี เสียใจอย่างยิ่งที่ปรารถนาดีรับคนพวกนั้นไว้ คุณชายใหญ่สกุลหลี่ออกหน้าด้วยตัวเองจัดการกับเรื่องนี้ ไม่เพียงปลอบใจครอบครัวชาวไร่ชาวนาที่อยู่รอบๆ ยังควักเงินออกมาจัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่ให้สองเจ้าหน้าที่ จ่ายเงินค่าทำขวัญกองโตให้เสร็จสรรพ
อวี้ถังยิ้มเยาะ
นางไม่เชื่อว่าแผนล่อเสือออกจากถ้ำนี้ของนางจะล้มเหลว
เพียงแต่เมื่อสองคนนั้นปรากฏตัว นางจะนำคนมาไว้ในมืออย่างไรดี
อวี้ถังครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นว่าจะขอให้ใครช่วยเหลือ
หากนางมีพี่น้องมากหน่อยก็คงจะดี!
นางถอนหายใจอยู่ตรงนั้น จู่ๆ ท่านข้าหลวงทังก็มาเยี่ยมอวี้เหวินถึงหน้าประตู
อวี้ถังให้ซวงเถาใช้โอกาสที่ยกชาให้ท่านข้าหลวงทังลอบฟังเสียหน่อย
ซวงเถามาบอกนาง “ท่านข้าหลวงทังมาขอโทษนายท่านของพวกเรา กล่าวว่าเรื่องครั้งที่แล้ว คุณชายใหญ่สกุลหลี่มาไถ่ถามเขาด้วยตัวเอง เขาไม่อาจปิดบังจึงบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คุณชายใหญ่สกุลหลี่ฟัง ยังดีที่คุณชายใหญ่สกุลหลี่เป็นคนมีเหตุผล พูดขอโทษนายท่านพวกเราอย่างตรงๆ ยังกล่าวว่า รอเรื่องสงบแล้ว เขาจะมาขอโทษถึงเรือนด้วยตัวเอง ขอให้นายท่านอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ยามที่ไปสกุลเผย” พูดจบ นางก็เบิกตาโตถามอวี้ถังอย่างแปลกใจ “คุณหนูใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ? เหตุใดท่านข้าหลวงทังถึงกระทั่งมาขอโทษนายท่านพวกเราด้วยตัวเอง?”
“เรื่องของเจ้านายเจ้าไม่ต้องยุ่ง” อวี้ถังไล่ซวงเถาออกไปอย่างไม่จริงจังนัก ในใจกลับดูแคลนข้าหลวงทังเป็นอย่างยิ่ง
เขามาขอโทษบิดาของนางที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่ามาบอกบิดาของนาง สกุลหลี่นั้นรู้แล้วว่าคนที่รายงานต่อทางการคือบิดาของนาง เขาเห็นแก่สกุลเผยจึงลอบมาส่งข่าวให้บิดานาง ยังบอกบิดานางว่า เรื่องนี้หลี่ตวนสอดมือยุ่งแล้ว หากสกุลอวี้และสกุลหลี่ทั้งสองเกิดแตกหักอันใด ก็ไม่เกี่ยวกับเขา
มิน่าเล่าข้าหลวงทังรับราชการที่หลินอันอยู่เก้าปีเต็มจึงย้ายไปที่อื่น ยอมไกล่เกลี่ยให้สองฝ่ายจบเรื่อง ประจบประแจงทั้งคู่ ขี้ขลาดตาขาวไม่กล้ารับผิดชอบในหน้าที่ สามารถเป็นขุนนางใหญ่ได้ก็แปลกแล้ว!
อวี้เหวินวางแผนฉีกหน้ากับสกุลหลี่ตั้งนานแล้ว ย่อมไม่ใส่ใจในคำพูดของข้าหลวงทัง เขาต้อนรับข้าหลวงทังอย่างกระตือรือร้น คุยเรื่องร่ายกาพย์กลอน ทั้งยังนัดขึ้นเขาชมดอกเบญจมาศในยามเทศกาลฉงหยาง ไม่เอ่ยถึงความขัดแย้งกับสกุลหลี่แม้แต่คำเดียว
เดิมทีข้าหลวงทังก็เห็นแก่สกุลเผยจึงได้มาบอกกล่าว หากสกุลเผยปกป้องสกุลอวี้ต่อไป แม้ว่าสกุลหลี่จะรู้ก็ไม่อาจทำอะไร หากสกุลเผยไม่สนใจ สกุลอวี้ก็เหมือนเอาไข่ไปทุบหิน อย่างมากที่สุดเขาทำได้เพียงถอนหายใจเท่านั้น
เขาดึงตัวเองออกมาก็เพียงพอแล้ว ส่วนอย่างอื่น เขาไม่อยากจะล่วงเกินใคร ทั้งไม่มีความสามารถจะจัดการด้วย
———————————————
[1]ผ้าไหมสูจิ่น ผ้าไหมขึ้นชื่อของเสฉวน สีสันหลากหลาย มีความประณีตชดช้อย