ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 256 ร่วงลง
พวกท่านแม่เฒ่าพูดคุยกันอย่างคึกคัก กู้ซีใช้เวลาอยู่พักใหญ่จึงค่อยเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ที่แท้หลังจากอวี้ถังเป็นลม สกุลเผยก็เชิญหมอที่เชี่ยวชาญการรมยาด้วยโกฐคนหนึ่งมารักษาให้อวี้ถัง ผลปรากฏว่านอกจากหมอคนนี้จะรมยาด้วยโกฐเป็น ยังสามารถนวดได้อีกด้วย จึงแนะนำฝีมือการนวดให้อวี้ถัง หลังจากถูกนายหญิงรองทราบ จึงมาแนะนำให้พวกท่านแม่เฒ่าต่อ
กู้ซีอดขมวดคิ้วไม่ได้ รอจนคุณหนูทั้งสองของสกุลซ่งเข้ามา นางก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเอ่ยถึงเรื่องนี้กับคุณหนูทั้งสองของสกุลซ่งขึ้นมา ยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยแต่ฝังเข็ม ยังไม่เคยนวดมาก่อน ได้ยินนายหญิงรองพูดคิดว่าน่าสนใจยิ่ง ข้าอยากลองเสียหน่อย พวกเจ้าอยากลองกับข้าหรือไม่?”
คุณหนูหกสกุลซ่งกระโดดขึ้นมาดังคาด เอ่ยว่า “สกุลเล็กๆ ที่ชาติกำเนิดต้อยต่ำ ไม่ได้มีกฎระเบียบอันใด หมอพวกนั้นเดินเข้าออกเรือนนั้นเรือนนี้ ชื่นชอบการซุบซิบนินทาเจ้าของบ้านเป็นที่สุด พูดให้คนผิดใจกัน คนเช่นนี้สกุลใดจะไม่อยากหลบหลีกบ้าง คงมีเพียงนาง ทั้งยังแนะนำให้นายหญิงรอง เสนอต่อหน้าพวกท่านแม่เฒ่าอีก หากเกิดเรื่องอะไร นางรับผิดชอบไหวอย่างนั้นรึ? ไม่ได้ ข้าต้องไปพูดกับพวกท่านแม่เฒ่าเสียหน่อย ไม่อาจให้นางทำเรื่อยเปื่อย ทำให้ธรรมเนียมของสกุลเผยเสื่อมเสียได้”
คุณหนูเจ็ดสกุลซ่งคว้าคุณหนูหกเอาไว้ สายตามองกู้ซีแต่กลับเอ่ยต่อคุณหนูหก “พวกท่านแม่เฒ่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าพวกเรา หมอผู้นั้นเป็นคนอย่างไร ต้องเรียกมาที่จวนหรือไม่ ย่อมตัดสินใจเองได้ เจ้าเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนคนหนึ่งจะรู้อะไร? ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเรื่องของคนสกุลเผย ธรรมเนียมของสกุลเผยเป็นอย่างไร ใช่เรื่องที่สกุลซ่งของพวกเรายุ่งได้อย่างนั้นรึ? ข้าว่า เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม ดูพวกท่านแม่เฒ่าว่าทำอย่างไรแล้วค่อยพูดเถิด”
คุณหนูหกสกุลซ่งไม่ฟัง คุณหนูเจ็ดจึงไม่ปรานี ดึงนางไปอยู่เบื้องหน้านายหญิงสี่สกุลซ่งอย่างไม่สนใจอะไร มอบให้นายหญิงสี่เป็นคนจัดการนาง
นายหญิงสี่สกุลซ่งทราบต้นสายปลายเหตุก็โมโหจนตัวสั่นเทา กำชับหญิงรับใช้ข้างกายให้จับตาดูนาง กักบริเวณไว้
กู้ซีคาดไม่ถึงว่านายหญิงสี่สกุลซ่งจะเด็ดขาดเช่นนี้ นางตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนจะกระซิบคุยเรื่องนี้กับคุณหนูอู่ เอ่ยทั้งถอนหายใจ “ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครในจวนสกุลเผยช่วยเชิญหมอให้คุณหนูอวี้? นางและคนสกุลเผยมีวาสนาต่อกันจริงๆ ทุกคนจึงได้พากันปกป้องดูแลนาง!”
คุณหนูอู่รู้ดีแก่ใจว่ากู้ซีคิดจะยืมมือนางหาว่าใครเป็นคนช่วยเหลือดูแลอวี้ถัง แต่ก็ยังคงอดไปสืบหาไม่ได้
เรื่องนี้สกุลเผยไม่ได้ปิดบัง พอสืบหาก็รู้ได้ทันที
คุณหนูอู่กัดฟันแน่นจนแทบแหลกละเอียด คิดว่าหากนางอยากแต่งให้เผยเยี่ยน อวี้ถังย่อมเป็นภัยแฝง ไม่พูดถึงเรื่องอื่น พวกนางทั้งสองล้วนเป็นคนที่งามโดดเด่น เพียงแต่นางยามไม่ยิ้มก็แฝงความเย่อหยิ่งขึ้นมาหลายส่วน ด้านอวี้ถังยิ้มขึ้นมากลับพริ้มเพรามีเสน่ห์อย่างยิ่ง คนหนึ่งคล้ายดอกมู่ตัน อีกคนคล้ายดอกโบตั๋น
นางตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับนายท่านใหญ่สกุลอู่ ให้นายท่านใหญ่สกุลอู่ช่วยนางตัดสินใจ
กู้ซีรู้ว่าเผยเยี่ยนเป็นคนเชิญหมอให้อวี้ถัง ก็รู้สึกเย็นเยียบในใจ รอจนทราบว่าตอนบ่ายที่นางไม่เจอคุณหนูสวี เป็นเพราะคุณหนูสวีไปหาอวี้ถัง ลองให้หมอผู้นั้นแสดงฝีมือนวด ทั้งยังแนะนำเรื่องนี้ให้นายหญิงสามสกุลหยาง ในใจนางก็ยิ่งยากจะรับได้
เหตุใดอวี้ถังจึงมักทำเรื่องขัดแข้งขัดขานาง?
พวกนางทั้งสองไม่อาจอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้รึ?
กู้ซีหวนนึกถึงการกระทำของอวี้ถังตั้งแต่ที่เพิ่งรู้จักกัน คิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดต่ออวี้ถังจุดไหนแม้แต่น้อย กลับเป็นอวี้ถัง มักจะทำลายเรื่องดีของนางอย่างบังเอิญเสมอ แน่นอนว่าจากประสบการณ์ของนาง แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เชื่อว่าจะมีคน ‘บังเอิญ’ ทำลายเรื่องดีของตัวเองได้
ชั่วขณะนั้น นางถึงกระทั่งเกิดความแค้นขึ้นมาอย่างหนึ่งเป็นความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมกับอวี้ถังได้
ทั้งบ่ายนางฟังพระอาจารย์บรรยายธรรมอย่างเงียบเชียบ ในใจกลับคิดว่าจะทำอย่างไรให้อวี้ถังเสียหน้าครั้งใหญ่ต่อหน้าคนของสกุลเผย อย่างน้อยต้องทำให้คนสกุลเผยรู้ว่า อวี้ถังก็ไม่ใช่คนดีอะไร!
ยามบ่ายของอวี้ถังกลับผ่านไปอย่างมีความสุข
คุณหนูสวีถูกหมอสื่อรั้งตัวไว้ ห้องจึงเงียบสงัดกว่าสองชั่วยาม อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะคัดลอกคัมภีร์ให้เผยเยี่ยนสำเร็จ
มองตัวอักษรบรรจงเล็กที่งดงามเป็นระเบียบ นางก็พอใจอย่างยิ่ง กระทั่งยังอดทนอดกลั้นต่อคุณหนูสวีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถามนางว่า “พรุ่งนี้เจ้าอยากทำอะไร? พรุ่งนี้หลังจากข้าไปพบเจ้าอาวาสก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว!”
นางไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนออกไปกี่วัน นางอยากทำพิธีทางศาสนาให้แล้วเสร็จก่อนเผยเยี่ยนกลับมา
เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเพียงแค่เผยเยี่ยนไม่ตั้งใจถาม ก็จะไม่รู้ว่านางทำอะไรไปบ้างแล้ว
คุณหนูสวีใจไม่เป็นสุขอยู่บ้าง
เผยเยี่ยนเพียงยื่นมือดูแลอวี้ถังที่ป่วยเท่านั้น อวี้ถังก็ซาบซึ้งจนคัดลอกคัมภีร์ให้เผยเยี่ยนแล้ว ขอพระโพธิสัตว์ให้อำนวยอวยพรเผยเยี่ยน ยามที่นางออกจากเมืองหลวง อินหมิงหย่วนลอบให้ตั๋วเงินนางห้าพันตำลึง นางกลับไม่คิดอะไรมาก รับมาก็ไปทันที
คิดดูแล้ว แม้ว่าสกุลอินจะมีเงิน แต่ก็ดูแลจัดการอย่างเข้มงวด ตั๋วเงินห้าพันตำลึง คงเป็นเงินค่าขนมห้าปีของอินหมิงหย่วนเป็นแน่
นางลอบเช็ดเหงื่อ เอ่ยว่า “พรุ่งนี้ตอนสายข้าจะไปหาเจ้าอาวาสกับเจ้า เย็นวันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคัดลอกคัมภีร์ให้อินหมิงหย่วนเสร็จให้ได้”
อวี้ถังไม่เชื่อ เม้มปากแย้มยิ้ม
ทั้งสองคนกินข้าวเย็นด้วยกัน ก่อนจะไปน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าเผย
ท่านแม่เฒ่าเผยดึงทั้งสองคนมาพูดคุยเรื่องหมอนวดอยู่พักใหญ่ หลายวันต่อมา อวี้ถังและคุณหนูสวีตัวติดกันเป็นเงา ไปหาเจ้าอาวาสด้วยกัน ไปทำพิธีทางศาสนาเล็กๆ ด้วยกัน กระทั่งอวี้เหวินหาโอกาสมาเยี่ยมอวี้ถัง คุณหนูสวีก็ไม่ได้หลบหลีก ทำตามธรรมเนียมของสกุลที่สนิทกัน คารวะให้กับอวี้เหวิน พาให้อวี้เหวินดีใจจนลอบไปคุยกับคนสกุลเฉิน “เห็นหรือไม่ นี่จึงจะเป็นลักษณะของคุณหนูตระกูลชั้นสูง เจ้าให้อาถังเรียนรู้จากคุณหนูสวีมากๆ หน่อย” ยังกำชับกับคนสกุลเฉินว่า “คนให้ความเคารพข้า ข้าก็ให้เคารพตอบ คุณหนูสวีนั้น เจ้าต้องดูแลนางเหมือนเป็นหลานสาวของตัวเอง มีอะไรน่าอร่อยน่าสนุก มีส่วนของอวี้ถังก็ต้องส่งอีกส่วนให้นางด้วย แม้ว่าคนอื่นจะไม่เห็นเป็นของหายาก แต่พวกเราพยายามทำตามความตั้งใจของตัวเองก็เพียงพอแล้ว”
คนสกุลเฉินได้ฟังก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดันอวี้เหวินออกไปนอกประตู “เจ้าคิดว่าเจ้ามีหน้ามีตาอย่างนั้นรึ? คุณหนูสวีเห็นแก่หน้าของอวี้ถังต่างหากเล่า!”
อวี้เหวินหัวเราะเหอะๆ เดินออกไป
—
กู้ซีกลับอยากหาโอกาสสร้างปัญหาให้อวี้ถัง น่าเสียดายที่อวี้ถังไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางศาลาเทศนาธรรม ทำให้กู้ซีที่คิดแผนไว้ดิบดีแล้วกลับไม่มีโอกาสได้นำมาใช้จริงเลย
ผ่านไปเช่นนี้สี่ห้าวัน สองพี่น้องสกุลชวีก็กลับมา ให้อาเสานำจดหมายเข้ามา
อวี้ถังไม่อาจอ่านต่อหน้าคนอื่นจึงหาข้ออ้างกลับห้องเซียงฝางของตัวเอง
คุณหนูสวีรับจดหมายก็รีบเร่งไปหานายหญิงสามสกุลหยาง
นายหญิงสามสกุลหยางอ่านจดหมาย สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ
คุณหนูสวีนั่งฝั่งตรงข้ามมองนายหญิงสามสกุลหยางตาปริบๆ เห็นเช่นนั้นก็รีบถามว่าในจดหมายเขียนอะไร
นายหญิงสามสกุลหยางเอ่ยว่า “พี่รองอินของเจ้าให้พวกเราอย่าได้คาดการณ์ส่งเดช ในเมื่อมาถึงสกุลเผย ไปมาหาสู่กับสตรีของสกุลเผยอย่างเป็นมิตรก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องที่พวกเราเป็นกังวล เขาทราบแล้ว สกุลอินและสกุลเผยก็นับว่าคบกันมาหลายชั่วอายุคน บางเรื่องก็ไม่อาจแบ่งแยกกันได้ หนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่ง หนึ่งร่วงทุกคนล้ม” พูดจบ นางก็ถอนหายใจ “พี่รองอินเจ้ากล่าวว่า อีกไม่กี่วัน เขาจะหาทางไปหังโจวสักครั้ง ให้พวกเราไปพบเขาที่หังโจวด้วย เขามีจดหมายจะให้พวกเรานำกลับเมืองหลวง”
คุณหนูสวีไม่เข้าใจ เอ่ยว่า “สกุลพวกเราไปมีความสัมพันธ์หนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่ง หนึ่งร่วงทุกคนล้มกับสกุลเผยตั้งแต่เมื่อใดกัน? เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินผู้อาวุโสในสกุลพูดถึงมาก่อน?”
นั่นเพราะว่ายามนั้นนางยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะแต่งให้สกุลอินหรือไม่
เพียงแต่คำพูดนี้นายหญิงสามสกุลหยางไม่อาจกล่าว ทำได้เพียงปลอบใจนาง “ข้าก็ไม่เคยทราบมาก่อนเช่นกัน! สกุลเผยและสกุลอิน เมื่อก่อนยามที่ฉลองปีใหม่ก็ไม่ได้ส่งของขวัญอะไรให้กัน”
คำพูดนี้นางกลับไม่ได้โกหกคุณหนูสวี
ตกลงสกุลเผยและสกุลอินมีความสัมพันธ์แบบใด นางก็ไม่กระจ่างชัดเช่นกัน
คาดว่านี่จะเป็นเรื่องระหว่างผู้นำสกุล
ผู้นำรุ่นนี้ของสกุลอิน คืออินเฮ่า เขาคือพี่รองอินที่คุณหนูสวีพูดถึง
ความสนใจของคุณหนูสวีถูกเบี่ยงเบนออกไป นางสงสัยความสัมพันธ์ของสกุลเผยและสกุลอินอย่างยิ่ง จึงคาดหวังจะได้พบอินเฮ่าอย่างเต็มเปี่ยม ยามที่เจออวี้ถัง นางก็อดเป่าหูให้อวี้ถังไปหังโจวกับนางไม่ได้ “ถึงเวลานั้นพี่รองอินก็จะเข้ามาอย่างเงียบๆ เจ้าไม่อยากรู้ว่าเผยสยากวงกำลังแอบวางแผนอะไรอยู่รึ?”
อวี้ถังคิดว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของสกุลเผย นางควรเป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงจึงจะถูก
ด้านคุณหนูสวีเริ่มเล่นลูกไม้ ดึงแขนเสื้อนางไม่ปล่อย “ไปเถิด! ไปเถิด! หังโจวมีแต่เรื่องน่าสนุก! ข้ายังไม่เคยไปมาก่อนเลย! ไม่แน่ว่าชั่วชีวิตนี้ของข้า อาจจะมีโอกาสไปหังโจวแค่ครั้งเดียว ภายหลังเจ้าก็ทำได้เพียงไปเจอข้าที่เมืองหลวงเท่านั้น พวกเราเข้ากันได้ดีเช่นนี้ กลับไม่มีความทรงจำและเรื่องให้อาลัยอาวรณ์สักนิด ไม่น่าเสียดายเกินไปรึ?”
อวี้ถังใจสั่นคลอนอยู่บ้าง แต่นางไม่อยากสร้างปัญหาให้คนของสกุลเผยอีกแล้ว ทั้งเรื่องนี้นางยังต้องปรึกษากับคนสกุลเฉินและอวี้เหวิน
“ให้ข้าตรึกตรองอย่างละเอียดก่อน” อวี้ถังเอ่ยประวิงเวลา “หากสามารถไปได้ ข้าย่อมไปกับพวกเจ้า”
ยังสามารถให้มารดาไปเที่ยวเล่นสักครั้งได้
ทำเรื่องอย่างรีบเร่งย่อมยากจะสำเร็จ คุณหนูสวีไม่ได้ดึงดันให้นางตัดสินใจในทันที เอ่ยเรื่องสองพี่น้องสกุลชวีขึ้นมา “สองคนนี้ที่เจ้าแนะนำมานับว่าเชื่อถือได้ไม่น้อย แต่ว่าเจ้ารู้จักพวกเขาดีอย่างนั้นรึ?”
อวี้ถังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
คุณหนูสวีบอกนาง “ทั้งสองคนอยากตามข้าไปเมืองหลวง ยังถามสกุลอินว่าต้องการคนหรือไม่ ทั้งสองคนยินดีขายตัวเป็นบ่าวให้”
อวี้ถังตกตะลึงอย่างยิ่ง
ชาติก่อนสองพี่น้องสกุลชวีหัวแข็งดื้อรั้น มีพรรคพวกมากมายที่เก่งกว่าพวกเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ แต่ว่ายามนี้ไม่อาจเอาเรื่องในอดีตมาเทียบได้ ไม่ว่าจะสกุลอินหรือสกุลสวี ล้วนเป็นสกุลใหญ่โดดเด่นที่มีชื่อเสียงของราชสำนัก เลื่องชื่อกว่าสกุลเผยเสียอีก สามารถเป็นบ่าวรับใช้ให้สกุลเช่นนี้ได้ ย่อมดีกว่าต่อสู้เพียงลำพังอยู่มาก
นางเอ่ยว่า “เรื่องหลักๆ ข้าก็ไม่ชัดเจนเช่นกัน หากเจ้าต้องการจริงๆ เกรงว่าต้องสืบหาเบื้องลึกเบื้องหลังของพวกเขาด้วยตัวเองแล้ว”
สถานการณ์เปลี่ยนไป คนก็เปลี่ยนตาม ยามนี้นางไม่กล้ารับประกันเรื่องใดทั้งนั้น แม้ว่าชาติก่อนจะเป็นคนที่คุ้นเคยหรือเรื่องที่เข้าใจก็ตาม
คุณหนูสวีเอ่ยว่า “สกุลพวกเรากลับไม่ต้องการ แต่ว่าคนของสกุลอินมีน้อย ข้าถามพี่รองอินแล้วค่อยว่ากัน”
อินเฮ่าสามารถควบคุมผู้บังคับการสำนักขนส่งทางน้ำ ทั้งยังมีข้าหลวงไหวอันที่เป็นผู้บังคับการขนส่งเกลือแห่งเหลียงไหวอีกคน นั่นก็ไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว มีเขาช่วยตัดสินใจย่อมปลอดภัยกว่า
อวี้ถังพยักหน้าระรัว
—
เผยเยี่ยนที่ต้องเดินทางไปหังโจว มองกระดาษของนกพิราบที่ส่งสารมาจากเมืองหลวงด้วยสีหน้าไม่ชัดเจน
เผิงอวี่อยู่ในสำนักตรวจการอย่างสงบเสงี่ยมไม่มีความเคลื่อนไหว กลับเป็นเพราะกระดาษแผ่นเดียวของเขา ยามที่สกุลจางไปตรวจสอบเผิงอวี่กลับบังเอิญพบลูกไม้เล็กๆ ของซุนเกา
พวกเขาคิดมาโดยตลอดว่าคดีของเกาโหยวเพียงแค่ใช้ปิดบังคดีขององค์ชายสามเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าซุนเกากลับวางแผนใช้ประโยชน์จากคดีเกาโหยวสร้างเรื่องสั่นสะเทือนวงการขุนนาง ลากใต้เท้าเสิ่นที่เป็นโซ่วฟู่ของราชสำนักลงจากหลังม้า
————————