ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 264 เกินตัว
ภายใต้แสงจันทร์ ผิวของอวี้ถังขาวกระจ่าง ดวงตานั้นสว่างไสวยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า ริมฝีปากราวกับดอกไม้ที่ผลิบานในลมราตรี งดงามกว่ายามปกติถึงสามส่วน
ใจดวงนั้นที่ตัดสินใจละทิ้งของกู้ฉ่าง ชั่วพริบตาก็เริ่มเต้นอย่างว้าวุ่นขึ้นมา
ใบหน้าของเขาอดเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาไม่ได้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับกลัวนกน้อยจะบินหนี “คุณหนูอวี้ คาดไม่ถึงว่าจะพบท่านที่นี่? นี่ท่านเข้ามาเป็นเพื่อนคุณหนูสวีอย่างนั้นรึ?”
นอกจากเรื่องนี้ เขาก็คิดไม่ออกอีกแล้วว่าเหตุใดอวี้ถังจึงมาอยู่ที่นี่
อวี้ถังพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เผยความยินดีราวกับได้พบสหายเก่า แทบจะลืมไปว่านางในชาตินี้ไม่เคยได้พบกู้ฉ่างอย่างเป็นทางการสักครั้ง
“ใต้เท้ากู้มาถึงเมื่อวานกระมัง?” นางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ดึกขนาดนี้แล้ว ท่านเพิ่งจะกลับมาหรอกรึ? หรือว่าออกมาเดินเล่นรอบๆ เรือน?”
“นับว่าเดินเล่นกระมัง!” กู้ฉ่างตอบอย่างคลุมเครือ ถามอวี้ถัง “ท่านวางแผนจะกลับไปเมื่อใด?”
ไม่รู้ว่าพวกเขาจะได้ร่วมทางกันหรือไม่?
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นก็ต้องดูว่าคุณหนูสวีมีแผนอย่างไร ข้าวางแผนจะส่งคุณหนูสวีก่อนแล้วค่อยกลับหลินอัน”
“ตามหลักก็ควรเป็นเช่นนั้น!” กู้ฉ่างเอ่ยเป็นมารยาทกับอวี้ถัง แม้จะเข้าใจดีว่าตัวเองเข้ามาทักทายเช่นนี้บุ่มบ่ามเกินไป แต่เท้ากลับคล้ายถูกตรึงไว้ อยากไปก็ไปไม่ได้
อวี้ถังงดงามเกินไป
ไม่พูดถึงรูปร่างหน้าตา แต่กระทั่งยามที่เปล่งวาจา รอยยิ้มเบาบางที่มุมปากล้วนพาให้เขารู้สึกหวานชื่นขึ้นมา
เขาและเผยเยี่ยนไปพบหวังชีเป่าแล้ว ทั้งนำสิ่งที่เรียกว่า ‘หลักฐาน’ ที่ซุนเกาส่งให้เขายามออกจากเมืองหลวงมอบให้หวังชีเป่าแล้ว หลังจากนี้ไม่เพียงเขาจะถูกซุนเกาต่อว่า ยังจะถูกคนใต้หล้ามองอย่างดูแคลน เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ เมื่อวานเขาจึงไม่ได้นอนทั้งคืน ตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งลูกสาวของซุนเกาเป็นภรรยา
แต่ยามนี้เขากลับพบอวี้ถังอีกครั้ง
พบในเวลาที่เขาเพิ่งจะตัดสินใจไป
นางราวกับดอกไม้ในฤดูร้อนที่สีสันฉูดฉาด จู่ๆ ก็เบ่งบานขึ้นมาเบื้องหน้าเขา
บางทีเขาก็อาจจะแต่งงานกับคุณหนูผู้นี้ได้
แม้ว่าชาติกำเนิดนางจะต่ำต้อยไปบ้าง แต่นี่ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นพอดีหรือว่า เขาหาใช่เป็นคนที่ไล่ตามในลาภยศเงินทองไม่? เขาแตกหักกับซุนเกา ก็เพราะว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีการของซุนเกา ไม่เกี่ยวกับตัวของบุคคลแต่อย่างใด?
นึกมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ใจของกู้ฉ่างก็เย็นเยียบขึ้นมา
แต่ชาติกำเนิดของคุณหนูอวี้ ก็ธรรมดาเกินไป
กลัวก็แต่ว่าจะไม่ได้รับการเห็นด้วยจากสกุลใหญ่ในเจียงหนาน
เขาได้ตัดขาดแรงสนับสนุนของเส้นทางขุนนางแล้ว หากหลังจากนี้เรือนหลังยังไม่อาจอยู่อย่างสงบราบรื่น ช่วยเหลือเกื้อกูลเขา…เขาคิดว่าการใช้ชีวิตเช่นนี้ย่อมเหนื่อยอยู่บ้าง!
กู้ฉ่างอดเผยสีหน้าลังเลออกมาหลายส่วนไม่ได้
อวี้ถังเป็นคนที่มองสีหน้าคนออก การตีสนิทอย่างกะทันหันของกู้ฉ่างทำให้นางคาดไม่ถึงอยู่บ้าง แต่ความเยือกเย็นของกู้ฉ่างกลับอยู่ในการคาดเดาของนาง อย่างไรนางและกู้ฉ่างก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน ทั้งสองแค่พักอยู่ในเรือนส่วนตัวของเผยเยี่ยน บังเอิญพบเจอกันเท่านั้น
นางจึงเป็นฝ่ายบอกลากู้ฉ่าง “นี่ก็ดึกมากแล้ว ใต้เท้ากู้ภาระรัดตัว ข้าคงไม่รบกวนท่านแล้ว”
ใบหน้าของอวี้ถัง ขาวนวลยิ่งกว่าแสงจันทร์ สีหน้ายังเรียบนิ่งยิ่งกว่าสีของบุหลัน
ในใจของกู้ฉ่างเกิดความอาลัยอาวรณ์อยู่เลือนราง แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นสติที่ฟื้นคืนมาใหม่หลังจากตกใจ
“คาดไม่ถึงว่าจะได้พบคุณหนูอวี้ที่นี่ ข้าเสียมารยาทแล้ว” เขาคำนับให้แก่อวี้ถังอย่างสุภาพ ก่อนทั้งสองคนจะแยกย้ายกันไป
กู้ฉ่างเดินไม่กี่ก้าว ก็อดหันกลับมามองไม่ได้
อวี้ถังรูปร่างไม่สูงมาก แต่ขากลับเรียวยาว สวมกระโปรงพอดีตัว ขับรูปร่างเพรียวบางให้เห็นอย่างชัดเจน ยามที่เดินก็อรชรอ้อนแอ้นราวกับกวาง
ชั่วขณะนั้นกู้ฉ่างกลับมองจนตาค้างอยู่บ้าง
เกาเซิงที่อยู่ข้างกายเขาเห็นก็อดเตือนกู้ฉ่างไม่ได้ “คุณชายใหญ่ พรุ่งนี้ท่านยังต้องไปหาใต้เท้าเติ้งไม่ใช่หรือขอรับ?”
คาดไม่ถึงว่ากู้ฉ่างจะลังเลไปพักหนึ่ง
ใต้เท้าเติ้งที่เกาเซิงพูดถึง คือเติ้งเสวียซง ผู้ตรวจการศึกษาของเจ้อเจียง
เติ้งเสวียซงและเขานับได้ว่าเป็นสหายต่างวัย ทั้งยังคบค้าสมาคมตั้งแต่อยู่สำนักศึกษาประจำจังหวัด สำนักศึกษาประจำอำเภอ มีอาจารย์และเพื่อนร่วมเรียนคนเดียวกัน ก่อนที่เรื่องของซุนเกาจะปะทุออกมา เขาจำต้องได้รับ ‘ความเข้าใจ’ และ ‘ความสนับสนุน’ ของเติ้งเสวียซงเสียก่อน
พูดถึงเรียนหนังสือ ญาติผู้พี่คนนั้นของคุณหนูอวี้ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยสอบขุนนางมาก่อนด้วยซ้ำ
กู้ฉ่างถอนหายใจแผ่วเบา เอ่ยด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “ข้ารู้แล้ว กลับไปก่อนเถิด”
ส่วนคุณหนูอวี้ด้านนั้น เขาอยากขบคิดให้ละเอียดอีกครั้ง
—
ทางอวี้ถัง กำลังเดินไปยังที่พักของตัวเอง
ซวงเถาเห็นรอบกายไม่มีใคร ก็กระซิบว่า “คุณหนู ใต้เท้ากู้คือใครเจ้าคะ? หรือเป็นพี่ชายคนโตของคุณหนูกู้?”
อวี้ถังชะงักฝีเท้า
ซวงเถาไม่ทันตั้งตัว เกือบจะชนเข้ากับร่างของอวี้ถัง
อวี้ถังขมวดคิ้ว
ใช่แล้ว นางมีประสบการณ์ของชาติก่อน รู้จักกู้ฉ่างย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่กู้ฉ่างรู้จักนางได้อย่างไร? ทั้งยังเป็นฝ่ายทักนางก่อน?
หรือว่า…กู้ฉ่างก็เคยพบเจอนางอย่างบังเอิญเช่นกัน?
ในใจของอวี้ถังมีความรู้สึกสับสนปนเปไปหมด ขยำผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างไม่รู้ตัว
เงาไม้สูงใหญ่ข้างทาง ลมพัดผ่านยอดไม้ เงาไม้จึงสั่นไหว พาดผ่านทับเงาของนาง ราวกับจะกลืนกินเงาของนางอย่างไรอย่างนั้น
ซวงเถารู้สึกขนลุกไปหมด
ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มต่ำลอยออกมาจากเงาต้นไม้ที่มืดดำอย่างกะทันหัน “ใช่แล้ว! คุณหนูอวี้ เจ้ารู้จักกับใต้เท้ากู้ได้อย่างไร?”
ซวงเถาตกใจจนแทบวิ่งหนี
“ใครกัน!” นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา คว้าจับมือของอวี้ถังอย่างแน่น เตรียมจะพาอวี้ถังวิ่งหนี หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้น
ด้านอวี้ถังสีหน้าซีดเผือด จับจ้องทิศทางของเสียงอย่างไม่ละสายตา ยังคงฝืนจับซวงเถาบังไว้ด้านหลังนางอย่างใจเย็น
ก่อนเงาหนึ่งจะค่อยๆ เดินออกมาจากเงาของแมกไม้
แสงจันทร์นวลลออส่องกระทบจมูกโด่งรั้นของเขา พาให้ใบหน้าที่หยิ่งผยองอยู่ในที่แจ้งครึ่งหนึ่ง อยู่ในที่มืดครึ่งหนึ่ง เผยความเฉียบคมที่ไล่ต้อนผู้คนขึ้นมาหลายส่วน
“อะไรกัน? กระทั่งข้า คุณหนูอวี้ก็จำไม่ได้แล้วรึ?” เผยเยี่ยนเงยหน้าขึ้น ปรากฏสีหน้าดูแคลนอยู่บ้าง
อวี้ถังและซวงเถาต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนอวี้ถังจะตำหนิขึ้นมาอย่างไม่สนใจมารยาท “นายท่านสาม การสร้างความตกใจสามารถทำให้คนอื่นตกใจตายได้ ท่านไม่รู้รึ เมื่อครู่ข้าตกใจจนแข้งขาอ่อนไปหมด ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่? หรือท่านกลับมาพร้อมกับใต้เท้ากู้? เมื่อครู่ท่านเห็นข้าและใต้เท้ากู้พูดคุยกัน? ไฉนจึงไม่ส่งเสียงหน่อย? ข้าและใต้เท้ากู้จะได้ไม่คุยกันอยู่ฝ่ายเดียวให้กระอักกระอ่วนใจเช่นนี้”
“อ่อ!” เผยเยี่ยนฟังจบแววตาก็สว่างวาบ กระจ่างใสดุจแสงดาว ทว่ากลับตอบไม่ตรงคำถาม “เจ้าคิดว่าไม่ค่อยดีอย่างนั้นรึ?”
“ก็ดีอยู่บ้าง!” อวี้ถังเอ่ย “คนเขาทักทายกับข้าตามมารยาท ข้าก็ไม่อาจหดเกร็งไม่พูดไม่จา แต่หากมีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน อย่างไรก็ดีกว่ามีข้าเพียงคนเดียว ยังดีที่ทุกคนเพียงทักทายกันเท่านั้น ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่รับบทสนทนาของเขา”
เผยเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าเล็กน้อย
แต่อวี้ถังกลับรู้สึกว่าอารมณ์ของเขาดีขึ้นมาบ้างอย่างแปลกประหลาด
นางมองเผยเยี่ยนไปทีอย่างไม่เข้าใจ
เผยเยี่ยนถามย้ำอีกครั้ง “เจ้ารู้จักกู้เจาหยางตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
อวี้ถังกังวลเรื่องนี้อยู่พอดี ได้ยินก็หลุบตาลง เอ่ยอย่างหลบหลีกอยู่บ้าง “ข้าก็ไม่รู้! บางทีเขาอาจจะเคยบังเอิญพบข้าที่ไหน? ข้าจำไม่ได้”
นางกำลังโกหก!
เผยเยี่ยนมองนาง ในใจคล้ายคลื่นซัดสาดขึ้นมา สูดลมหายใจลึกติดต่อกัน จึงค่อยกลืนคำถามที่ติดอยู่โคนลิ้นลงไปได้ ชั่วพริบตานั้นกลับเกิดความท้อแท้ผิดหวังขึ้นมา
ในเมื่อคนเขาไม่อยากบอก เขาทำเป็นไม่รู้ก็เพียงพอแล้ว
เผยเยี่ยนสะบัดแขนเสื้อ ตัดสินว่าภายหลังจะไม่ยุ่งเรื่องของอวี้ถังอีกแล้ว แต่เมื่อยกเท้าขึ้น เสียงเยียบเย็นที่ราวกับเปล่งออกไปอย่างไม่รู้ตัวกลับดังขึ้นมา “ใช่! นี่ไม่เกี่ยวกับข้า เป็นข้าที่ล่วงเกินเอง”
น้ำเสียงนั้น แฝงความดูแคลนและเหน็บแนมอย่างไม่ยอมให้อภัยอยู่เลือนราง
แน่อนว่าเผยเยี่ยนไม่ใช่คนที่คบค้าสมาคมง่าย อวี้ถังได้ยินเขาเหน็บแนมคนอื่นไม่รู้ต่อกี่ครั้ง แต่เอ่ยเสียดสีนาง ดูแคลนนาง กลับยังคงเป็นครั้งแรก
อวี้ถังตกตะลึง
เผยเยี่ยนก็ตกตะลึงเช่นกัน
แม้เขาจะเป็นคนโหดร้าย แต่ไม่ใช่โหดร้ายกับทุกคน ยังคงแยกแยะอะไรได้
ทว่าครั้งนี้ อีกฝ่ายไม่ได้ผิด เขากลับควบคุมอารมณ์ไม่ได้ กล่าวเหน็บแนมคนอื่น เขาโตมาจนถึงขนาดนี้แล้ว นับว่ายังคงเป็นครั้งแรก
ทั้งสองคนเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ล้วนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
บรรยากาศคล้ายถูกแช่แข็งไว้
ซวงเถาจับมืออวี้ถังแน่นอย่างหวาดกลัว พาให้อวี้ถังดึงสติกลับมา
เผยเยี่ยน…
นางยิ้มขมขื่นในใจ
เขาแค่ใจกว้างกับนางเป็นพิเศษ นางกลับคิดได้คืบจะเอาศอก คิดว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น เผยเยี่ยนคงไม่ปฏิบัติหยาบคายต่อนาง
ความจริง นางก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
เมื่อก่อนเผยเยี่ยนปฏิบัติต่อนางอย่างใจกว้าง ก็แค่เพราะว่านางไม่เคยพบเจอกับคำเสียดแทงของเผยเยี่ยนเท่านั้น
นางก็หมดสนุกแล้วเช่นกัน
อวี้ถังถอยกลับไปยืนในระยะที่ควรจะมีกับเผยเยี่ยน คำนับเผยเยี่ยนอย่างนอบน้อม เอ่ยเคร่งขรึมว่า “ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้ายังต้องออกไปข้างนอกกับคุณหนูสวี ต้องขอตัวก่อน” พูดจบ ก็ไม่คิดมองเผยเยี่ยนสักนิดว่ามีสีหน้าอย่างไร ดึงซวงเถาออกไปราวกับวิ่งหนี
“อวี้…” เผยเยี่ยนมองเงาของอวี้ถังที่ห่างออกไป รู้ทั้งรู้ว่ายามนี้ตัวเองควรจะขอโทษอวี้ถัง แต่คำพูดกลับติดอยู่ที่ปาก เขากลับคล้ายถูกบีบคอไว้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็พูดไม่ออก มองอวี้ถังอยู่เช่นนี้จนนางหายไปจากสายตาของเขา
ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกว่าทั่วร่างตัวเองล้วนแปลกไปหมด จะเดินก็ไม่ใช่ ยืนก็ไม่ใช่ พูดก็ไม่ใช่ เงียบก็ไม่ใช่ ไล่ตามไปย่อมไม่เหมาะ ไม่ตามไปอธิบายก็ยิ่งยากจะรับได้
เผยเยี่ยนอยากถามคนข้างกาย มองซ้ายแลขวากลับมีเพียงอาฉาที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งนั้น
สีหน้าของเขามืดมนขึ้นมาทันตา เอ่ยเยือกเย็นว่า “ยังจะยืนที่นี่อีกทำไม? กลับไปสิ!”
เดิมทีอาฉาก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เห็นเผยเยี่ยนโมโห ก็รีบรับคำสั่ง วิ่งเหยาะๆ นำทางอยู่เบื้องหน้า ไม่กล้าพูดอะไรโดยสิ้นเชิง
เผยเยี่ยนนอนพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับทั้งคืน
จวบจนเช้าตรู่ เขานั่งกินข้าวเช้าคนเดียวในห้องโถง เด็กรับใช้มารายงานว่าอินเฮ่าเข้ามา เขาก็ยังคงคิดเรื่องนี้อยู่
การกระทำเมื่อวานของเขาหุนหันพลันแล่นไปบ้างจริงๆ
อวี้ถังรู้จักกู้ฉ่างเมื่อใด แม้ว่าอวี้ถังไม่อยากบอกเขา หากเขาใช้แผนเล็กน้อย จะไม่ทราบได้อย่างไร เหตุใดเขาต้องใช้วิธีรุนแรงและหยาบคายเช่นนั้นบีบให้อวี้ถังบอกเขาให้ได้ด้วย?
นี่ล้วนต้องโทษกู้ฉ่าง เมื่อวานเขาพากู้ฉ่างไปพบหวังชีเป่า ทุกคนล้วนรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลำพังกู้ฉ่างยังแสร้งต่อรองกับเขาและหวังชีเป่าที่นั่น ผลปรากฏว่ากู้ฉ่างได้ประโยชน์ เขากลับติดหนี้น้ำใจหวังชีเป่า…ไม่อย่างนั้นยามที่เขาพบกู้ฉ่างและอวี้ถังพูดคุยกันอย่างรื่นเริง ก็คงไม่ถึงกับหัวเสีย ทำเรื่องไม่เหมาะสมออกมาหรอก
ใช่! เป็นเพราะแบบนี้แหละ!
ดูท่าสิ่งที่บิดาเขากังวลจะมีเหตุผลไม่น้อย อย่างไรเขาต้องสละเวลามาฝึกฝนสงบจิตใจเสียหน่อย
เผยเยี่ยนคิดเช่นนี้ ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
แต่ทางอวี้ถัง ควรจะทำอย่างไรดี?