ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 266 ไม่สำเร็จ
อวี้ถังฟังจบก็แค่นหัวเราะในใจ
อะไรคือไม่ต้องยุ่ง?
ในเมื่อไม่ให้นางยุ่ง เช่นนั้นก็อย่าบอกนางสิ!
พูดว่าไม่ให้นางยุ่ง แต่ก็มาบอกให้นางฟังทั้งหมด นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?
กลัวก็แต่ว่าเผยเยี่ยนจะเริ่มปากไม่ตรงกับใจขึ้นมาแล้วกระมัง?
หากไม่ถูกเผยเยี่ยนเหน็บแนมก่อนหน้านี้ อวี้ถังคงจะนึกถึงความดีที่สกุลเผยมีต่อนาง นึกถึงสิ่งที่เผยเยี่ยนเคยช่วยเหลือนาง หลับตาลงข้างหนึ่งทำเป็นไม่เคยเกิดอะไรไปเสีย แต่หลังจากถูกเผยเยี่ยนประชดประชัน นางก็คิดว่าปกตินางคงจะตามใจเผยเยี่ยนมากไป เผยเยี่ยนจึงได้เหิมเกริมไม่สนใจอันใด คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น อยากทำอะไรก็ทำ!
ข้ายอมให้เจ้า คำพูดทุกประโยคของเจ้าก็ย่อมเป็นดั่งของล้ำค่า
เช่นนั้นข้าจะไม่สนใจเจ้า เจ้าจะทำอะไรก็ทำไปเถิด!
อวี้ถังตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สนใจเผยเยี่ยนอีก จึงเอ่ยวาจาประหนึ่งต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ เคารพและเอาใจใส่ ส่วนจะทำหรือไม่ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง “เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณท่านแทนครอบครัวด้วย ไม่แปลกใจที่คนอื่นกล่าวว่านายท่านสามใจกว้างมีเมตตา ติดตามท่านย่อมไม่อดตาย!”
เผยเยี่ยนได้ฟังน้ำเสียงนี้ ไฉนจึงรู้สึกว่าประจบประแจง!
ปกติอวี้ถังไม่ใช่คนเช่นนี้!
เผยเยี่ยนอดพินิจอวี้ถังอย่างละเอียดไม่ได้
บางทีอาจเพราะยามนี้กำลังกินข้าวเช้าในห้อง นางจึงสวมเสื้อกั๊กยาวผ้าหยาบหังโฉวสีแดงลายมงคลกลางเก่ากลางใหม่ ผมดำขลับเรียบลื่นม้วนเป็นก้นหอยอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านหลัง เผยใบหน้าเปล่งประกายดั่งดวงอาทิตย์ในยามเช้า งดงามจนดึงดูดสายตา
เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว
หากเป็นเมื่อก่อน อวี้ถังย่อมไล่ถามว่าเขาเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ยามนี้นางทำเพียงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ผลักถ้วยชามาด้วยรอยยิ้ม “ท่านดื่มชาสิ! นี่เป็นชา ‘เสวี่ยสุ่ยอวิ๋นลู่’ ที่นายหญิงสามสกุลหยางส่งมาให้เมื่อสองวันก่อน ข้าดื่มแล้วคิดว่าดีไม่น้อย จึงนำชานี้มารับแขก จะว่าไปแล้ว ชื่อนี้ก็ตั้งได้พิถีพิถันยิ่ง ‘เสวี่ยสุ่ย’ (น้ำจากหิมะ) ยามที่ข้าเพิ่งได้ยินยังคิดว่าเป็นเพราะชานี้มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาหิมะสูงทางเหนือ คาดไม่ถึงว่านายหญิงสามหยางจะกล่าวว่า เพราะชานี้มีต้นกำเนิดจากยอด…”
นางพูดน้ำไหลไฟดับ คล้ายกับพูดเรื่องในเรือนทั่วไป แต่เมื่อฟังอย่างละเอียด กลับเหมือนว่าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น
เผยเยี่ยนเกลียดเรื่องยิบย่อยในเรือนเป็นที่สุด บางครั้งอวี้ถังก็พูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าเขา เขากลับไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาฟังแล้วกลับหงุดหงิดใจอยู่บ้าง มักรู้สึกว่าอวี้ถังพูดจาแฝงความนัย ทั้งเขาก็จับจุดไม่ได้ อับจนหนทางอยู่บ้างจริงๆ
เขาตัดบทสนทนาของอวี้ถังอย่างรู้แล้วรู้รอดไป เอ่ยว่า “เรื่องของสกุลเจียง เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?”
อวี้ถังคิดยั่วโมโหเผยเยี่ยน จึงเลียนแบบไปอย่างไม่สนอะไร เอ่ยจริงจังว่า “ข้าว่าการจัดการของท่านดีอยู่แล้ว ข้ามีชาติกำเนิดธรรมดา ไม่เข้าใจหลักการเหตุผลอะไร ท่านจัดการเช่นนี้ ย่อมมีเป้าหมายของตัวเอง พวกเราทำตามก็เพียงพอแล้ว จะมีอันใดให้พูดอีก?” พูดจบ ยังเผยท่าทีลนลาน ละล่ำละลักเอ่ยว่า “สกุลอวี้ได้รับบุญคุณจากท่านมากมาย ข้ากลับไปจะพูดกับท่านพ่อ ให้ท่านพ่อมาขอบคุณท่านถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง”
ข้าอยากให้พ่อเจ้ามาขอบคุณอย่างนั้นรึ?
เผยเยี่ยนมีโทสะอย่างยิ่ง รู้สึกว่าเบาะรองนั่งที่นี่แข็งเกินไป ชาก็จืดชืด ในห้องยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอาหารเมื่อครู่ เขานั่งนานอีกหนึ่งเค่อก็รู้สึกยากจะรับได้อีกหนึ่งเค่อ จึงหยัดกายขึ้นทันที “ในเมื่อเจ้าไม่มีอะไรจะพูด เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ รอกลับหลินอัน ข้าจะไปพูดกับพ่อเจ้าด้วยตัวเอง”
อวี้ถังเห็นเขาจะไป ก็ไม่คิดรั้ง ขานรับด้วยรอยยิ้มว่า “เข้าใจแล้ว” ก่อนจะส่งเขาออกไป
เผยเยี่ยนยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ
เขาคิดว่าอวี้ถังย่อมไม่เข้าใจความหมายที่เขาสื่อ หากรู้ว่าเขากำลังจะส่งเงินให้สกุลพวกนาง ทั้งยังคิดวิธีพาสกุลพวกนางเข้ามาในการค้าของเจียงซูและเจ้อเจียง หลังจากนั้นก็ค่อยเข้าสู่แวดวงการค้า คงไม่ปฏิบัติอย่างเฉยเมินเช่นนี้
ควรต้องรู้ว่า เมื่อก่อนเขาเพียงแค่ส่งต้นซาจี๋เหี่ยวๆ ไม่กี่ต้นไปให้นาง นางก็แทบซาบซึ้งอย่างยิ่ง กล่าวคำพูดดีๆ ให้เขาฟังไม่หยุดหย่อน
เห็นแก่เรื่องนี้ เขาตักเตือนนางไม่กี่ประโยคก็คงเพียงพอแล้ว
เผยเยี่ยนครุ่นคิด ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงหน้าประตูเรือน เอ่ยว่า “หากคุณหนูสวีจะออกไปซื้อของฝากพื้นเมืองกลับเมืองหลวง เจ้าก็อย่าลืมซื้อของขวัญที่เหมาะสมให้คุณหนูสวีเอากลับบ้านไปด้วย ปฏิสัมพันธ์ต่อกัน จึงจะนับเป็นวิธีที่ทำให้สนิทสนมคุ้นเคยกันได้”
อวี้ถังคาดไม่ถึงจริงๆ
นางชะงักไปเล็กน้อย คิดว่าความปรารถนาดีของเผยเยี่ยน นางไม่จำเป็นต้องพองขนเป็นแมวที่ถูกเหยียบหาง ความคิดร้ายก็ไม่จำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทนไม่ขัดอันใด แค่ทำอย่างปกติก็เพียงพอแล้ว
“ข้ารู้แล้ว!” นางขอบคุณเผยเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านที่ตักเตือน”
เผยเยี่ยนรู้สึกถึงความจริงใจของอวี้ถัง คิดว่าท่าทีนี้ของนางดีไม่น้อย ผงกศีรษะอย่างพอใจ ก่อนจะกลับไปที่พักของตน
ด้านอวี้ถังกลับเบะปากไล่หลังเผยเยี่ยน นำพวกกระดาษและหมึกเข้าไปหาทางคุณหนูสวี
คุณหนูสวีกำลังตัดกระดาษอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยว่า “ไฉนเจ้าจึงเข้ามาล่ะ?”
ป้องกันไม่ให้เผยเยี่ยนวิ่งโร่ไปหานางทางนั้นน่ะสิ
อวี้ถังเอ่ยในใจ กลับไม่อาจพูดออกไปให้คุณหนูสวีฟังได้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไปหาข้ากับข้ามาหาเจ้าแตกต่างกันตรงไหน?” ถามอีกว่า “นายหญิงสามหยางออกไปแล้วหรือยัง?”
คุณหนูสวีเอ่ยว่า ‘อืม’ ก่อนให้อาฝูจัดเตรียมสถานที่ให้อวี้ถังคัดลอกคัมภีร์ จากนั้นก็เอ่ยว่า “นางออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว กล่าวว่ายามบ่ายและยามเย็นจะไม่กลับมากินข้าว วันนี้เจ้าก็รั้งตัวกินข้าวกับข้าที่นี่เถิด!”
อวี้ถังตอบรับด้วยรอยยิ้ม เข้าไปช่วยคุณหนูสวีตัดกระดาษ
คุณหนูสวีตัดกระดาษ ทั้งคุยเล่นกับอวี้ถังไปพลาง “ยามนี้สกุลจางคงวุ่นวายไปหมด ข้าและคุณหนูใหญ่บ้านรองสกุลจางสนิทกัน บิดาและอาของนางล้วนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ในสกุลจึงคาดหวังให้ลุงของนางก้าวหน้าในราชการ ใครจะรู้ว่ากลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าครุ่นคิดดูล้วนปลดปลงแทนพวกเขา จึงไม่มีจิตใจจะออกไปเที่ยว”
อวี้ถังคิดว่านี่คือเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าจะเขียนจดหมายไปเมืองหลวงหรือไม่ ปลอบใจคุณหนูใหญ่สกุลจางเสียหน่อย? ในเรือนนางเกิดเรื่องเช่นนี้ ย่อมกำลังเศร้าเสียใจอยู่”
คุณหนูสวีทอดถอนหายใจ “แน่อยู่แล้ว! สิ่งที่สำคัญที่สุดคืองานแต่งของนาง…เดือนเก้านางจะถึงวัยปักปิ่น เพื่อแสดงความเคารพต่อบ้านใหญ่ อย่างไรก็ต้องไม่พูดเรื่องแต่งงานภายในเวลาสามปี”
อวี้ถังจึงถามเรื่องสกุลจางขึ้นมา
คุณหนูสวีเล่าว่าใต้เท้าจางผู้เฒ่ามีบุตรสามคนลูกสาวหนึ่งคน ลูกสาวอายุน้อยที่สุด แต่งงานออกไปแล้ว แม้ว่าจางเซ่าเป็นลูกคนโต แต่กลับมีลูกยาก ก่อนหน้านี้ให้กำเนิดกี่คนก็ล้วนรักษาไว้ไม่ได้ ยามนี้จึงเหลือเพียงลูกชายคนเดียว ปีนี้เพิ่งจะเจ็ดปี ลูกสาวคนโตของบ้านรองจึงกลายเป็นคุณหนูใหญ่ แต่ทายาทของบ้านรองก็ไม่เยอะเช่นกัน คุณหนูใหญ่สกุลจางมีเพียงน้องชายอีกคน ปีนี้อายุเก้าปี อาสามของนางกลับมีลูกชายสองคน คนหนึ่งอายุหกปี อีกคนอายุสามปี
นางเอ่ยว่า “ท่านแม่เฒ่าเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ยามนี้สกุลจางเรียกได้ว่าขาดแคลนคน ใต้เท้าเจียงก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบของใต้เท้าจางผู้เฒ่า ไม่รู้ว่าภายหลังสกุลใดจะได้เชื่อมสัมพันธ์กับสกุลจาง กลัวก็แต่ว่าสกุลจางต้องเกี่ยวดองกับสกุลเช่นนี้”
ก็หมายความว่า สกุลจางสูญเสียผู้สืบทอด เพื่อรักษาเส้นสายและทรัพยากรที่ใต้เท้าจางผู้เฒ่าเคยมี ใต้เท้าจางผู้เฒ่าต้องเลือกคนในหมู่ลูกหลานเป็นผู้สืบทอดคนหนึ่ง ทั้งผู้สืบทอดคนนี้เพื่อดูแลปกป้องคนของสกุลจาง ทางที่ดีที่สุดก็คือทั้งสองสกุลต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน
อวี้ถังเอ่ยว่า “เจ้ากลัวว่าคุณหนูใหญ่สกุลจางจะได้แต่งกับคนพาลอย่างนั้นรึ?”
คุณหนูสวีไม่สบายใจ เอ่ยว่า “ข้ากลัวว่าสุดท้ายสกุลจางจะอับจนหนทาง ทำได้เพียงเลือกสกุลเจียง ลูกสะใภ้ใหญ่ของสกุลเจียงคือลูกสาวภรรยาเอกของสกุลอู่แห่งหูโจว ลูกสาวของสกุลอู่ เจ้าก็เห็นแล้วว่ามีนิสัยอย่างไร หากข้ามีคนเช่นนั้นเป็นพี่สะใภ้ คงโมโหตายเข้าสักวัน”
อวี้ถังทำได้เพียงปลอบใจนาง “เจ้าไม่ใช่กล่าวว่าใต้เท้าจางผู้เฒ่าไม่ค่อยชอบใต้เท้าเจียงมิใช่รึ? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ ไม่แน่ว่าใต้เท้าจางผู้เฒ่าอาจจะมีแผนของตัวเองแล้วก็ได้!”
คุณหนูสวียู่ปาก เอ่ยว่า “นั่นยังมิสู้แต่งไปสกุลเสิ่น อย่างไรก็เป็นบัณฑิตมาหลายชั่วอายุคน ใต้เท้าเสิ่นเองก็ใจกว้างและอ่อนโยน สตรีในเรือนก็ประพฤติตัวเหมาะสม เพียงแค่พวกคุณชายของสกุลเสิ่นทักษะร่ำเรียนเขียนอ่านธรรมดา ทำให้คนร้อนใจอยู่บ้างจริงๆ”
อวี้ถังครุ่นคิดอย่างละเอียด นึกได้ว่าเหมือนมีคุณชายคนหนึ่งของสกุลเสิ่นอายุเท่ากับหลี่ตวน
เหมือนมีฉายานามว่า ‘ผู้ปลีกวิเวกแห่งจิ้งอัน’
นางคิดว่าจากความสัมพันธ์ของสกุลจางและเผยเยี่ยน นางรู้สึกว่าควรช่วยเหลือสกุลจางเสียหน่อย แต่คำพูดติดอยู่ที่ปากแล้ว นางก็นึกได้ว่าหากสกุลจางและสกุลเสิ่นเกี่ยวดองกัน ทรัพยากรในมือของใต้เท้าจางผู้เฒ่าก็คงจะเอนเอียงไปทางสามีของหลานสาวตัวเองกระมัง?
ชาติก่อนสกุลเผยสามารถหลบภัยร้ายพวกนี้ได้ หากเป็นเพราะว่าเกี่ยวข้องกับแรงสนับสนุนของสกุลจางล่ะ ชาตินี้นางตัดสินใจทำเรื่องวุ่นออกมา หากทำให้สกุลเผยประสบกับความเลวร้ายจะทำอย่างไร?
แม้ว่าทั้งสองจะผิดใจกัน กลับไม่อาจจะผิดใจจนทำลายเรื่องสำคัญได้
อวี้ถังขบคิดอยู่พักหนึ่ง ตัดสินใจว่าควรไปถามเผยเยี่ยนเสียก่อน
นางและคุณหนูสวีพูดคุยกันอย่างไม่หยุดหย่อน รอจนตัดกระดาษเสร็จแล้ว ก็เริ่มคัดลอกคัมภีร์
คุณหนูสวีเอ่ยว่า “ข้าช่วยเขียนส่วนหนึ่งให้คุณหนูใหญ่สกุลจางเช่นกัน ให้พระโพธิสัตว์คุ้มครองนางราบรื่นในทุกอย่าง”
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูท่า เจ้าและคุณหนูใหญ่สกุลจางจะสนิทกันไม่น้อย!”
คุณหนูสวีเอ่ยว่า “พวกเราโตมาด้วยกัน ตอนยังเด็กยามที่แม่อุ้มข้าไปไหว้พระโพธิสัตว์ในวัด แม่ของนางก็อุ้มนางเข้าไปเช่นกัน พวกผู้ใหญ่ไปฟังธรรมด้วยกัน พวกเราทั้งสองก็จะเล่นอยู่ในลานด้านนอก น่าเสียดายที่สกุลอินไม่มีคน ไม่อย่างนั้นข้ายังคิดว่าพวกเราทั้งสองอาจจะเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กันได้!”
ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาวันหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว
อวี้ถังและคุณหนูสวีคัดลอกคัมภีร์ได้พอสมควรแล้ว ทั้งสองก็นัดกันคัดคัมภีร์พรุ่งนี้อีก วันมะรืนก็ไปวัดหลิงอิ่น
ไม่นานข่าวนี้ก็ล่วงรู้ไปถึงหูของเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนปรึกษากับอินเฮ่า “พรุ่งนี้พวกเราไปเข้าพบหวังชีเป่า วันมะรืนทุกคนก็พักกันหนึ่งวัน ข้าจะไปวัดหลิงอิ่น”
อินเฮ่าเอ่ยอย่างแปลกใจ “เวลาเช่นนี้เจ้าไปวัดหลิงอิ่นทำไม? พรุ่งนี้ไปเข้าพบหวังชีเป่า เถาชิงยังไม่มา หรือไปแค่เจ้ากับข้าเท่านั้น? ไปพูดอะไร? มีความหมายอันใด?”
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “เดิมทีก็เพื่อวิ่งเต้นให้สกุลเถา เถาชิงมาย่อมดี แต่เขาไม่อยู่ บางคำพูดพวกเราเอ่ยขึ้นมาจะสะดวกกว่า”
อินเฮ่าคิดว่าเผยเยี่ยนแย้งอย่างไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง เขามองเผยเยี่ยนอย่างงุนงง
เผยเยี่ยนไม่สนใจอินเฮ่า กลับไปในห้องถามอาฉา “วันนี้คุณหนูอวี้ไม่ได้ออกไปไหนรึ?”
ไม่ใช่กล่าวแล้วว่าไม่ออกไปไหนหรอกรึ?
อาฉาสับสนมึนงง
เผยเยี่ยนจึงคิดขึ้นมาว่า ตัวเองทิ้งเขาไว้ที่จวนทางนี้ก็ไม่ไร้เหตุผลเสียทีเดียว
เขาเอ่ยอีกครั้งว่า “คุณหนูอวี้ได้ส่งจดหมายกลับหลินอันหรือไม่?”
เขามอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้สกุลอวี้ถึงขนาดนั้น อวี้ถังควรจะรีบส่งจดหมายให้บิดาอย่างดีใจ ให้บิดานางมาพูดรายละเอียดกับเขาจึงจะถูก
อาฉาหวนนึกอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่มีขอรับ! วันนี้คุณหนูอวี้พักอยู่กับคุณหนูสวีทั้งวันไม่ออกไปไหน พี่ซวงเถาก็รับใช้อยู่ด้านข้าง ไม่ได้เรียกพวกเราไปทำธุระให้”
อวี้ถังกำลังวางแผนอะไรอยู่?
ไม่เชื่อที่เขาพูด? หรือว่ารอกลับหลินอันก่อนจึงค่อยคิดวางแผนอีกที?