ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 270 ขุดหลุม
อวี้ถังก็ตื่นตระหนกอยู่บ้าง
หากไม่ใช่ว่าเผยเยี่ยนกล่าวเตือน นางก็คงไม่ทันตระหนักว่าก่อนหน้านี้ที่วัดเจาหมิง กู้ฉ่างไม่เคยพบนางมาก่อน
หรือกู้ฉ่างกลับมาเกิดใหม่เหมือนกับนางเช่นกัน?
หากไม่ใช่เช่นนี้…กู้ฉ่างย่อมมีอะไรผิดปกติ!
อวี้ถังพยักหน้าระรัว เอ่ยรับประกัน “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไม่พูดคุยตามลำพังกับเขาอีก”
เผยเยี่ยนขานรับว่า ‘อืม’ ด้วยความพอใจอย่างยิ่ง คิดว่าสาวน้อยผู้นี้คล้ายกับลูกแมวที่ซุกซน เมื่อเล่นจนพอใจแล้ว สุดท้ายก็กลับมารู้ความเหมือนเมื่อก่อน
“เช่นนั้นข้าจะไปพูดคุยกับพี่รองอินก่อน” เขาเอ่ยกำชับอวี้ถัง “เจ้าไปกับคุณหนูสวี อย่าอยู่ตามลำพังเด็ดขาด หญิงรับใช้อ้วนท้วมข้างกายคุณหนูสวีผู้นั้นเป็นวรยุทธ์ เจ้าอยู่กับนาง ย่อมมีคนคอยช่วยปกป้องคุ้มครอง”
อวี้ถังตอบรับอย่างขอไปที ความสนใจทั้งหมดกลับถูกประโยคที่ว่า ‘เป็นวรยุทธ์’ ของเผยเยี่ยนดึงดูดไป อดไม่ได้ที่จะมองไปทางหญิงรับใช้ข้างกายคุณหนูสวีผู้นั้นที่ปกตินางก็แทบไม่มีภาพจำอะไร
เผยเยี่ยนเห็นเช่นนั้นก็ครุ่นคิดในใจว่าควรจะหาหญิงรับใช้แบบนั้นให้อวี้ถังสักคนดีหรือไม่
แม้จะกล่าวว่าพวกนางมีแรงมากกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง เป็นวรยุทธ์เล็กน้อย แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญกลับสามารถถ่วงเวลาได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คนธรรมดาย่อมคาดไม่ถึงว่าข้างกายอวี้ถังจะมีคนเช่นนี้อยู่
เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องพยายามหาคนเช่นนี้มาไว้ข้างกายอวี้ถังให้เร็วที่สุด เขาสาวเท้าไปหาอินเฮ่าอย่างว่องไว เห็นกู้ฉ่างยังเล่าตำนานของวัดหย่งฝูอยู่ตรงนั้น ก็อดแค่นหัวเราะในใจไม่ได้ คิดว่าไม่แปลกใจที่กู้ฉ่างหน้าหนา ที่แท้ก็เป็นเพราะธรรมเนียมของบ้านรองสกุลกู้ กู้ฉ่างผู้นี้ ก็เป็นคนที่หน้าไหว้หลังหลอก ดูเหมือนสง่าผ่าเผย ความจริงกลับจิตใจดำมืด จับตามองคุณหนูอวี้ เป็นไปได้ว่าคิดจะวางแผนอะไรกับนาง…
เผยเยี่ยนนึกมาถึงตรงนี้ ก็วูบไหวในใจ
คนอย่างเขา คนอย่างกู้ฉ่าง รวมถึงอินเฮ่า จนถึงกระทั่งจางเซ่าที่ตายอย่างกะทันหัน ล้วนแต่แต่งงานค่อนข้างช้า ประเด็นสำคัญคืองานแต่งของพวกเขาจำเป็นต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย หรือกระทั่งต้องวางแผนมากมาย อย่างกู้ฉ่าง เมื่อก่อนไม่อยากแต่งให้ลูกสาวของซุนเกา ทั้งกลัวว่าคนอื่นจะซุบซิบนินทา ทำได้เพียงยืดงานแต่งออกไป คิดจะประวิงเวลาจนลูกสาวของสกุลซุนรอไม่ไหว ครั้งนี้เขาหักหลังซุนเกา สถานการณ์จึงเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นวิธีแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดก็คือ แต่งงานกับลูกสาวของซุนเกาก่อนที่เรื่องจะแดงขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนี้ บุญคุณและความแค้นของเขากับสกุลซุนก็จะกลายเป็นเรื่องเห็นต่างทางการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับศีลธรรมส่วนตัว นอกจากสกุลซุนจะไม่อาจตำหนิเขาแล้ว ยังจะเห็นลูกเขยเช่นนี้เป็นความภาคภูมิใจ ส่วนในใจของคนสกุลซุนจะคิดอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของสกุลซุนเองแล้ว
แต่เขากลับหลอกล่อสาวน้อยผู้นี้!
ในสมองของเผยเยี่ยนปรากฏความคิดหนึ่งวาบผ่านขึ้นมา
แต่เขาก็ไม่กล้ามั่นใจ
เขาดูแคลนการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์อยู่เรื่อยมา ด้วยเหตุนี้จึงค่อนข้างสับสนงงงวย ไม่เหมือนเถาชิงที่รู้เรื่องรู้ราว!
เผยเยี่ยนอยากพบเถาชิง
แต่ยามนี้เถาชิงกำลังวุ่นอยู่กับการตระเตรียมของขวัญไปพบหวังชีเป่า
แม้ว่าเขาไปพบเถาชิง คาดว่าเถาชิงก็คงไม่มีเวลาว่างมาพบเขา
ควรทำอย่างไรดี?
เผยเยี่ยนขมวดคิ้วแน่น
อินเฮ่าก็หงุดหงิดอยู่บ้าง
วัดหย่งฝูเป็นวัดอย่างไร บันทึกพงศาวดารของหังโจวเขียนไว้อย่างชัดเจนไม่รู้ตั้งเท่าใด กู้ฉ่างมีความจำเป็นต้องตามติดเขาพูดเรื่องเล่าซี้ซั้วพวกนี้ด้วยรึ? ดูท่านัดกู้ฉ่างมาเดินเล่นที่วัดหย่งฝูจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะแนะนำอาหารเจของวัดหลิงอิ่นออกมาอีกหรือไม่
เขาจึงมองไปด้านหลังทีหนึ่ง
เห็นใบหน้าเหนื่อยหน่ายของเผยเยี่ยน คล้ายว่าก็หงุดหงิดใจไม่น้อยเช่นกัน
ชั่วขณะนั้นเขาก็ดีใจขึ้นมา ลากเผยเยี่ยนมาพูดคุย “นี่เจ้าเป็นอะไร? ปวดฟัน? อยากให้ข้าตามหมอมาดูหรือไม่! ข้าได้ยินว่าวัดหย่งฝูและวัดหลิงอิ่นถ่ายทอดความรู้มาจากสำนักเดียวกัน ในเมื่อวัดหลิงอิ่นมีพระที่รู้วิชาแพทย์ วัดหย่งฝูก็คงมีเช่นกัน อีกเดี๋ยวให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่”
เผยเยี่ยนได้ยินใบหน้าก็บูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม ไม่ตอบอินเฮ่า เดินตามหลังอินเฮ่าและกู้ฉ่างอย่างเชื่องช้าแทน
เขาพบว่ากู้ฉ่างชำเลืองมองมายังด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว
เผยเยี่ยนรู้สึกว่าขนแขนตัวเองล้วนตั้งชันขึ้นมาหมด
ด้านหลังเขามีอะไร?
คุณหนูสวีและคุณหนูอวี้!
คุณหนูสวีเป็นดั่งไข่มุกล้ำค่าของสกุลสวี แม้ว่ากู้ฉ่างจะตาบอดก็ไม่อาจจะลอบมองคุณหนูสวี
เช่นนั้นก็หมายความว่าเขามองคุณหนูอวี้อยู่!
ชั่วพริบตานั้นเผยเยี่ยนก็รู้สึกว่ากู้ฉ่างผู้นี้ทั้งกลับกลอกทั้งน่าขยะแขยง
เขาเดินไประหว่างกลางอินเฮ่าและกู้ฉ่างอย่างเงียบเชียบ เอ่ยกับอินเฮ่าว่า “พี่รอง เทศกาลเพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิของไหวอันในปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ได้ยินว่าทางชิงเหอของพวกเจ้าเกิดเรื่องเล็กน้อย เป็นความจริงหรือไม่?”
อินเฮ่าฟังจบก็ยิ้มขื่นอย่างจนใจ เอ่ยว่า “ไฉนเจ้าจึงรู้ไปหมด? ข้าเอาแต่ปิดเรื่องไว้ไม่ให้ใครรู้อยู่เรื่อยมา เจ้าทราบได้อย่างไรกัน?”
เผยเยี่ยนยิ้มบาง กลับหยุดฝีเท้าลง
อินเฮ่าอยากฟังว่าเขาจะตอบอย่างไร ย่อมหยุดฝีเท้าตามไปด้วย ด้านกู้ฉ่างมีเรื่องในใจของตัวเอง อยากฉวยโอกาสพูดคุยกับอวี้ถัง จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร เดินไปด้านหน้าต่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้ รอยามที่คุณหนูสวีและอวี้ถังเดินผ่านเผยเยี่ยนและอินเฮ่า เขาก็สามารถหันกลับมาต่อบทสนทนากับพวกอวี้ถังได้แล้ว
เผยเยี่ยนทอดมองแผ่นหลังของกู้ฉ่าง แววตาเย็นเยียบขึ้นมาหลายส่วน
เขาอดกดเสียงเบาไม่ได้ “พี่รอง หากยามนี้กู้ฉ่างแต่งลูกสาวสกุลซิ่วไฉธรรมดาผู้หนึ่งเป็นภรรยา จะมีผลกระทบอะไรกับเส้นทางขุนนางของเขาบ้าง?”
ยามนี้อินเฮ่าจึงพบว่าที่แท้ เผยเยี่ยนคิดจะดึงเขาออกจากกู้ฉ่าง เขาก็เข้าใจผิดคิดว่าคำถามเมื่อครู่เป็นเรื่องที่สำคัญ จึงละเรื่องของชิงเหอไว้ชั่วคราว ครุ่นคิดอย่างจริงจัง กระซิบว่า “หากเขาสามารถเป็นขุนนางขั้นสามก่อนที่เรื่องของซุนเกาจะแดงขึ้นมา ทั้งสกุลซุนไม่มีลูกหลานที่เปี่ยมความสามารถจนน่าตกใจ ใครจะล่วงเกินกู้เจาหยางซักไซ้ไล่เลียงเรื่องของซุนเกากัน?”
ก็หมายความว่า ไม่ถึงกับทำอะไรไม่ได้เสียทีเดียว
สีหน้าของเผยเยี่ยนเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นอย่างยิ่ง
อินเฮ่าสะดุ้งโหยง เร่งเอ่ยว่า “เป็นอะไรรึ? เจ้าพบอะไรเข้า? หรือกู้เจาหยางคิดเปลี่ยนใจ?”
“ไม่ใช่!” ขณะที่เผยเยี่ยนเอ่ย สายตาที่มองอินเฮ่าก็เปลี่ยนเป็นลึกล้ำขึ้นมา
เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาอีกครั้ง “เจ้าคิดว่า กู้เจาหยางตรงกับคุณสมบัติของบุตรเขยที่สกุลอินพวกเจ้าต้องการหรือไม่?”
อินเฮ่าตะลึงงัน เอ่ยโต้แย้งทันที “สกุลพวกเราไม่มีคุณหนูที่อายุเหมาะสมกับเขา ทั้งเขาก็ไม่แน่ว่าจะยอมรับความเสี่ยงที่ใหญ่ถึงขนาดนี้”
สกุลอินเป็นหนึ่งในสกุลใหญ่ที่ค่อนข้างโดดเด่นของราชสำนัก อำนาจก็ไม่อาจดูหมิ่นได้ เป็นลูกเขยของสกุลอิน ข้อดีก็คือมีตัวตนขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่สำหรับกู้ฉ่างกลับไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด
หากซุนเกาหมดอำนาจ กู้ฉ่างเป็นบุตรเขยของสกุลอิน ตัวเลือกของเขาก็ควรค่าแก่การพิจารณาแล้ว
คงจะมีผลกระทบกับชื่อเสียงของกู้ฉ่างอย่างแน่นอน
เผยเยี่ยนหรี่ตาแย้มยิ้ม เพียงแค่รอยยิ้มนั้นในสายตาของอินเฮ่ากลับดูเย็นเยียบอยู่บ้าง
“กู้เจาหยางอยากเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสาม ไม่มีสกุลใหญ่สนับสนุน เกรงว่าก็คงไม่ง่ายกระมัง?” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ คล้ายกับเสือที่กำลังพินิจว่าจะงับเหยื่อที่ใด “พ่อของเขา เพระแม่เลี้ยงผู้นั้น จึงล่วงเกินคนไปไม่น้อย สกุลกู้ย่อมไม่อาจเอาทรัพย์สินทั้งหมดไว้ที่เขา ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีมานี้สกุลกู้ก็ตกต่ำอย่างยิ่ง สิ่งที่เรียกว่าสี่สกุลใหญ่ของเจียงหนาน ก็เป็นเพียงความได้เปรียบเรื่องคนมากเท่านั้น!”
นี่ก็ถูก
เหมือนเถาอันที่อยากเป็นผู้ตรวจการเจียงซี นอกจากต้องการแรงผลักดันจากหลายสกุลแล้ว สกุลเถายังต้องนำทรัพย์สินจำนวนมหาศาลออกมาขอบคุณทุกคน
อาศัยความสามารถของกู้ฉ่างเอง ย่อมไม่อาจนำออกมาได้
อินเฮ่าใจคล้อยตามอยู่บ้าง
กู้ฉ่างผู้นี้ที่ไหนก็ดีไปหมด ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ ความสามารถ การวางแผนหรือความกล้าต่างก็โดดเด่น
หากมีแรงสนับสนุนของสกุลอิน ใช้เวลาสักสิบปีย่อมสามารถเป็นขุนนางขั้นสามได้อย่างสิ้นเชิง
ก็ต้องดูที่กู้เจาหยางแล้วว่าจะรับข้อเสนอนี้หรือไม่!
ยามนี้อินเฮ่ากลับไม่วางใจเผยเยี่ยนอยู่บ้าง
เขาเอ่ยว่า “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร? คงไม่ใช่ว่าขุดหลุมอะไรรอข้าหรอกกระมัง?”
เผยเยี่ยนเก็บกรงเล็บกลับคืนมา เผยความจริงใจออกไปเท่าใดก็ดูจริงใจขึ้นมาเท่านั้น เอ่ยว่า “พี่รอง ข้าขุดหลุมเจ้าได้ แต่ข้าย่อมไม่อาจขุดหลุมให้สกุลอิน”
ขุดหลุมให้เขา เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองคน แต่ขุดหลุมให้สกุลอิน นั่นก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตแล้ว
อินเฮ่าลูบคาง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเจ้ากำลังคิดทำอะไรไม่ดี กลับกันเหมือนกำลังรอดูเรื่องขำขันมากกว่า”
“ไม่หรอก” เผยเยี่ยนมองอินเฮ่า คิดว่าตัวเองยังคงฝึกฝนไม่ถึงขั้นชำนาญ คาดไม่ถึงว่าจะถูกอินเฮ่ามองออกถึงความชั่วร้าย ดูท่าเขาจะประมาทคนอื่นเกินไป เขาเร่งเอ่ยกู้สถานการณ์ “ข้าไม่ใช่ว่ากลัวกู้เจาหยางจะเปลี่ยนใจหรอกรึ? คนผู้นี้ อย่างไรก็เป็นลูกหลานของสกุลใหญ่ ซุนเกาปลอมแปลงหลักฐาน ใส่ร้ายผู้อื่นย่อมไม่ถูก แต่อย่างไรเขาก็เป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของกู้เจาหยาง กู้ฉ่าง นอกจากตัวเองแล้ว เบื้องหลังก็มีเพียงสกุลกู้ หากถูกคนเปิดโปงจริงๆ การใช้ชีวิตในภายหลังของเขาย่อมยากลำบาก ขุนนางขั้นสามอะไรนั่น ก็เป็นได้เพียงความเพ้อฝันเท่านั้น หากไม่อาจบรรลุเป้าหมายล่ะ? เปลี่ยนเป็นข้า เกรงว่าข้าคงไม่อาจตอบรับอย่างง่ายดายเช่นนี้”
อินเฮ่าแค่นเสียง ‘เหอะ’ ออกมาอย่างดูแคลน “ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถิด! เจ้าเด็กคนนี้ ไม่รู้ว่าเหมือนใคร เอาแต่ปัดกวาดหิมะหน้าประตูของตัวเอง ไม่สนใจหิมะบนหลังคาคนอื่น หากเจ้าพบเรื่องเช่นนี้ ไม่สำคัญหรอกว่าคนที่ใส่ร้ายอาจารย์เป็นใคร ขอเพียงไม่ใช่คนข้างกายของเจ้า เจ้าอย่าพูดว่าคัดค้านเลย ไม่ช่วยส่งมีดให้ก็ดีเกินพอแล้ว”
เผยเยี่ยนแสร้งเอ่ยอย่างโกรธเคือง “พี่รองอินก็กล่าวหาข้าเกินไป ข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ?”
ทั้งสองคนผลัดกันเย้าหยอก ก่อนอินเฮ่าจะเริ่มลองใคร่ครวญเรื่องรับกู้ฉ่างมาเป็นบุตรเขยสกุลอินอย่างจริงจัง
เขาพูดคุยกับเผยเยี่ยนอย่างใจลอยอยู่บ้าง
มุมปากของเผยเยี่ยนยกยิ้มอย่างหาได้ยาก
คิดว่าเรื่องนี้แปดถึงเก้าในสิบย่อมสำเร็จได้
รอจนเห็นกู้ฉ่างและอวี้ถังพูดคุยกัน ในใจเขาก็สงบนิ่งดั่งทะเลลึก คิดว่าตัวเองใจกว้างจริงๆ ช่างมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นอกจากจะไม่หงุดหงิดใจแล้ว ยังเย้าแหย่อินเฮ่า ให้อินเฮ่าควักเงินสิบตำลึงออกมา เขาถึงจะบอกอินเฮ่าว่าใครเป็นคนบอกเรื่องของชิงเหอแก่เขา พาให้อินเฮ่าโกรธจนหนวดกระตุก
กู้ฉ่างต่อบทสนทนากับอวี้ถังอย่างยากลำบาก เอ่ยถึงอวี้เหวินอย่างมีแผนในใจ เล่าว่าอวี้เหวินเป็นซิ่วไฉปีไหน ปีนั้นสอบหัวข้ออะไร ยามที่เขาเรียนหนังสือ อาจารย์เคยนำหัวข้อนี้มาให้พวกเขาศึกษา ยังถามอวี้ถังว่าบิดาของนางเตรียมจะสอบขุนนางต่อหรือไม่ หากยังอยากจะลงสนาม ทางที่ดีควรหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในหังโจวไว้คอยชี้แนะ “เช่นนี้จะง่ายกว่าอยู่บ้าง”
อวี้ถังยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ากู้ฉ่างนั้นจงใจเข้าใกล้นาง
ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้เรื่องบิดาของนางมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?
กระทั่งเผยเยี่ยนก็ยังไม่รู้เรื่องของบิดานางถึงขนาดนี้
อวี้ถังจับแขนคุณหนูสวีไว้แน่น ฟังกู้ฉ่างพูดด้วยรอยยิ้มแข็งทื่อ
กู้ฉ่างคิดว่านางเขินอาย
ด้านคุณหนูสวีคิดว่ากู้ฉ่างแทบที่จะส่งสายตาหวานให้คนตาบอดมองอย่างสิ้นเชิง
นางกลอกตาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น แต่นึกถึงพี่ชายซื่อบื้อของตัวเอง ต่อหน้าพี่สะใภ้ก็เคยไม่รู้อะไรเช่นนี้ จึงเกิดความเห็นใจ ยามที่กู้ฉ่างถามว่าสกุลของอวี้ถังมีที่นากี่หมู่ อวี้ถังแสดงท่าทีไม่อยากตอบ นางจึงเอ่ยทั้งถอนหายใจว่า “ใต้เท้ากู้ ปกติคุณหนูอวี้ไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยในสกุล เจ้าถามคุณหนูอวี้ว่าในสกุลมีที่นากี่หมู่ยังมิสู้ถามว่าปกติคุณหนูอวี้ชอบทำสิ่งใด?”