ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 275 เรื่องที่น่าเสียใจ
กู้ฉ่างคิดไปถึงตรงนั้น ก็อดจะนึกถึงอวี้ถังไม่ได้
ตอนที่อินเฮ่ามาคุยเรื่องหมั้นหมายกับเขา เขารู้สึกประหลาดใจมาก
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสู่ขอภรรยาที่มาจากสกุลสูงศักดิ์
หนึ่งเพราะภาพลักษณ์ภายนอกของเขาคือเมินเฉยต่อชื่อเสียง ไม่สนใจเงินทอง สองคือกลัวว่าภรรยาของเขาจะพลอยลำบากไปด้วย เพราะต้องถูกบีบให้เลือกข้างช่วงที่องค์ชายรองและองค์ชายสามกำลังชิงบัลลังก์กัน
แต่มีประโยคหนึ่งของอินเฮ่าที่ทำให้เขาสั่นไหว
อินเฮ่าถามเขาว่า ‘เจ้าคิดว่าสกุลกู้สามารถสนับสนุนให้เจ้าเป็นขุนนางขั้นสามได้หรือไม่?’
สกุลกู้ทำไม่ได้
ท่านอาที่เกิดจากอนุของเขาแม้จะเป็นแค่ซิ่วไฉ แต่คบค้าผู้คนกว้างขวางมีประสบการณ์รอบรู้ คนเช่นนี้ ไปอยู่ที่ใดก็โดดเด่น แต่กลับถูกบิดาของเขาบีบให้แยกตัวออกจากสกุลไป
เขาเริ่มลังเล
ในสมองเขาพลันมีภาพดวงหน้าเปื้อนยิ้มของคุณหนูอวี้ผุดขึ้นมา
มันงามเสียจนทำให้คนมองอดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
รูปโฉมเพริศพริ้งเช่นนี้ หากอยู่ในสกุลที่เคร่งด้วยกฎระเบียบ คงไม่กล้ารับนางเป็นอนุแน่
หญิงที่งามเกินไป อาจทำให้ภรรยาและอนุชิงชังกันได้ง่ายๆ เป็นผลร้ายต่อลูกหลาน
คนที่กล้ารับนางเป็นอนุ หากไม่ใช่ขุนนางสูงศักดิ์ ก็คงเป็นผู้ที่ไม่ไยดีต่อการแก่งแย่งชิงดีในเรือนหลัง
กู้ฉ่างขอยอมแพ้
อันที่จริง ก็คงเพราะสกุลอินมีอำนาจแข็งแกร่งเกินไป
หากเป็นสถานการณ์ปกติ เขาไม่มีทางเกี่ยวดองกับสกุลอินแน่ นี่จึงเป็นเหตุที่เขาไม่เคยคิดเรื่องสู่ขอคนจากสกุลใหญ่มาเป็นภรรยาเลยกระมัง?
กู้ฉ่างถามตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ
บางทีนี่อาจเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เขาแต่งสตรีสกุลอินมาเป็นภรรยา เผยเยี่ยนรับคุณหนูอวี้มาเป็นอนุ
บางทีอาจมีแต่ผู้เก่งกาจอย่างเผยเยี่ยนเท่านั้นที่สามารถทำอะไรตามใจคิดได้
เขาลาออกจากขุนนางมาอยู่ประจำที่จวน คงมีทั้งเวลาและกำลังมากพอไปถ่วงดุลความสัมพันธ์ระหว่างภรรยาและอนุได้
กู้ฉ่างกระดกน้ำชาอึกๆ ลงคอ
ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
เผยเยี่ยนจะได้ไม่มีแรงไปวุ่นวายกับเรื่องไร้สาระนอกจวนอีก
ส่วนเขาก็จะได้ตั้งหน้าตั้งตาไต่เต้าเพื่อความก้าวหน้าบนเส้นทางขุนนางของตน
ในเมื่อตัดสินใจจะแต่งภรรยาแล้ว ก็สมควรจะจัดการงานแต่งของตนให้ดี ไม่ว่าแต่ก่อนจะเคยวาดฝันสิ่งใดไว้ ก็ให้มันกลายเป็นหมอกที่ลมพัดผ่านไปเสีย ลืมให้สะอาดหมดจด ดูแลรักใคร่ภรรยาของตนด้วยความซื่อตรงแน่วแน่
สามีภรรยา ก็เป็นเหมือนคู่หู
หากว่าไม่ใส่ใจ เรือก็อาจคว่ำจมได้
หากว่าเรือลำนี้ล่มไปแล้ว ก็ย่อมส่งผลกระทบถึงลูกหลาน
เมื่อไม่มีผู้สืบสกุล เช่นนั้นการต่อสู้และดิ้นรนตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขาจะมีความหมายอะไร?
กู้ฉ่างเคยวาดฝันไว้ ไม่เพียงทิ้งชื่อไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ แต่เขาต้องการถูกจดจำด้วยชื่อเสียงและความดีงามบนผังของสกุลด้วย
กู้ฉ่างผลักหน้าต่างให้เปิดออก มองดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นสูง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดว่าต่อให้ชีวิตหลังจากนี้จะย่ำแย่เพียงใด แต่ไม่มีวันหนักหนาไปมากกว่านี้แน่
เขาตะโกนสุดเสียงออกไปว่า “พวกเรากลับกันเถอะ!”
งานเกี่ยวดองกับสกุลอิน จำเป็นต้องให้บิดาเขาออกหน้า และเขาคงต้องเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง ให้ม้าเร็ววิ่งไปส่งที่เมืองหลวง ปฏิเสธซุนเกาอย่างอ้อมค้อมว่านี่เป็นคำสั่งของบิดามารดา…
ส่วนคนที่กู้ฉ่างบอกว่าจะไม่อิจฉาตาร้อน แต่ชอบยกเขาขึ้นมาเปรียบเทียบบ่อยๆ อย่างเผยเยี่ยนนั้น คนกำลังนั่งกินมื้อเช้าด้วยอารมณ์ผ่องใส ทางหนึ่งก็ฟังผู้ดูแลสี่กล่าวรายงานไปด้วย “สิ่งของที่คุณหนูอวี้ซื้อ ข้าสั่งให้คนส่งกลับไปหลินอันแล้ว รายจ่ายทั้งหมดพวกเราทางนี้จะเป็นคนจัดการ เป็นเพราะคำเตือนของท่านก่อนหน้านี้ นายหญิงสามสกุลหยางจึงเปลี่ยนแผนไปเยี่ยมคารวะใต้เท้าฉิน เมื่อเป็นเช่นนี้ แผนเดินทางกลับเมืองหลวงของนางอาจจะล่าช้าออกไปอีกสองสามวันขอรับ” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ “รถม้าของใต้เท้าหลี่มาถึงจินหวาแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงถึงหังโจว ท่านจะรอให้พวกนายหญิงสามสกุลหยางกลับเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยกลับหลินอัน? หรือว่าจะรอเจอใต้เท้าหลี่ก่อนกลับหลินอันขอรับ?”
ผู้ว่าการเจ้อเจียงฉินเหว่ยที่ใกล้จะออกจากตำแหน่ง เคยเป็นสหายร่วมงานที่กั๋วจื่อเจี้ยนของพี่ชายสกุลฝั่งมารดาของนายหญิงรองมาก่อน เพราะนิสัยใจคอเข้ากันได้ ทั้งสกุลเผยก็มีใจผูกมิตร ตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งก็ดูแลสกุลเผยไม่ขาด ส่วนหลี่กวงที่จะมารับตำแหน่งแทน แต่ไรก็เป็นขุนนางอยู่แถบอวิ๋นหนานและกุ้ยโจว ไต่เต้าจากนายอำเภอขึ้นมาเรื่อยๆ ครั้งนี้ที่เขาได้ขึ้นมาเป็นผู้ว่าการเจ้อเจียง นับว่าจับพลัดจับผลู ด้วยเก็บส้มที่หล่นมาจากหลายฝ่ายซึ่งต่อสู้ช่วงชิงกันได้ สกุลเผยไม่เคยไปมาหาสู่กับเขา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเผยเยี่ยนอยู่ร่วมงานตอนที่หลี่กวงรับตำแหน่งได้ ทั้งมีฉินเหว่ยอยู่ตรงกลางคอยกระชับสัมพันธ์ เชื่อว่าหลี่กวงต้องดีใจมากแน่ ใครหน้าไหนย่อมไม่กล้าล่วงเกินสกุลเผยอีก
ใครจะคิดว่าเผยเยี่ยนจะร้องเหอะใส่อย่างไม่แยแส “ไม่ต้องสนใจเขา เขาอาศัยผลงานความชอบของพวกกองโจร มิได้เดินเส้นทางสายเดียวกับพวกเรา”
ผู้ดูแลสี่พลันสะดุ้งสุดตัว
อวิ๋นหนานและกุ้ยโจวทางนั้นมีพวกถู่ซือ[1]อยู่มาก สิ่งที่เรียกว่ากองโจร ก็คือกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ตั้งค่ายอยู่ในหุบเขา
เขาเอ่ยอย่างเป็นห่วงว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ควรจะ…”
เผยเยี่ยนรู้สึกว่าแนวคิดของผู้ดูแลสี่ไม่ถูกต้อง จึงเอ่ยกับเขาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แม้จะมีคำกล่าวว่า ‘อำนาจของขุนนางในท้องถิ่น เพียงพอจะทำลายชาวบ้านได้’ แต่ก็มีอีกคำที่บอกไว้ว่า ‘ข้าราชการมักถูกโยกย้ายไปมาเป็นประจำ’ ด้วย”
หากหลี่กวงคิดใช้ลูกไม้เหมือนตอนอยู่แถวอวิ๋นหนานกับกุ้ยโจวอีก ไม่แน่ว่าเหล่าบัณฑิตแถบเจียงหนานจะยอมลงให้ง่ายๆ
ผู้ดูแลสี่รู้ว่าเผยเยี่ยนมีสายตากว้างขวาง ไม่เช่นนั้นก่อนตายท่านผู้เฒ่าคงไม่ฝากฝังสกุลเผยไว้กับเผยเยี่ยน เขาไม่พูดอะไรต่ออีก เพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่เชื่อมั่นว่า “เช่นนั้นข้าไปเตรียมเรือให้ท่านก่อน ถึงเวลานั้นก็พาคุณหนูอวี้กลับไปด้วย” ทั้งยังช่วยเผยเยี่ยนอธิบายอีกว่า “คูณหนูอวี้อุตส่าห์มาช่วยดูแลแขกเหรื่อของสกุลเรา ในเมื่อเราเป็นคนเชิญนางมา ก็สมควรพานางส่งกลับอย่างปลอดภัยขอรับ”
ตอนนั้นเองที่เผยเยี่ยนรู้สึกว่าผู้ดูแลสี่ช่างเก่งกาจ สามารถขึ้นเป็นพ่อบ้านได้อย่างเต็มภาคภูมิ
เขาได้เรื่องกว่าหูซิ่งมากโข
เผยเยี่ยนเหลือบมองผู้ดูแลสี่ทีหนึ่ง
ตำแหน่งพ่อบ้านของสกุลเผยกำหนดไว้เพียงสามคนเท่านั้น
หากว่าแต่งตั้งพ่อบ้านคนที่สี่ขึ้นมา ก็ต้องปลดที่มีอยู่ออกคนหนึ่ง และไม่ว่าจะมองอย่างไร คนที่ถูกปลดก็ต้องเป็นหูซิ่ง
หรือบางที จะเพิ่มตำแหน่งพ่อบ้านขึ้นอีกหนึ่งคน?!
การเพิ่มตำแหน่งพ่อบ้านมิใช่เรื่องยาก กลัวแต่ว่าต่อไปผู้นำสกุลจะเอาไปเป็นเยี่ยงอย่าง เพิ่มตำแหน่งพ่อบ้านกันตามอำเภอใจ เลี้ยงคนไร้ประโยชน์เอาไว้แทน
วิธีที่ดีที่สุดคือปลดหูซิ่งลงเสีย
ให้ผู้อื่นได้เห็นว่า สกุลเผยมากด้วยคนมีความสามารถ ยิ่งทุ่มเทเท่าไรก็ได้รับผลตอบแทนมากเท่านั้น
ทว่า หูซิ่งเป็นคนพาหมอหลวงหยางไปรักษาอาการนายหญิงอวี้ ทั้งยังรับใช้ข้างกายท่านแม่เฒ่า คนก็เถรตรงซื่อสัตย์ นับว่าพอถูไถใช้งานได้อยู่
มิสู้ย้ายหูซิ่งไปรับใช้ท่านแม่เฒ่าโดยตรง?
อนุญาตให้เขารับเบี้ยหวัดเท่าเดิมตามตำแหน่งพ่อบ้านได้
เช่นนี้ถือว่ารักษาหน้าของหูซิ่ง และได้เลื่อนขั้นคนขึ้นมาอีกหนึ่ง
เผยเยี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมาะสมนัก
เพียงแต่ต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าจะเอาเรื่องนี้ไปพูดกับท่านแม่เฒ่าว่าอย่างไร
เผยเยี่ยนตัดสินใจได้แล้ว สีหน้าจึงเริ่มดีขึ้น คิดว่าควรไปหาอวี้ถังดีหรือไม่ จะได้ถือโอกาสหารือกับนางเรื่องเดินทางกลับเมืองหลินอันด้วย
เพียงแต่ไม่รอให้เขาลุกยืน อินเฮ่าก็เดินเข้ามาก่อน
เขาปรึกษากับกู้ฉ่างจบแล้ว ตัดสินใจแก้ปัญหายุ่งยากด้วยความรวดเร็วและเฉียบขาด พรุ่งนี้บ้านหลักสกุลกู้จะมาขอหมั้นหมายภรรยาให้กู้ฉ่าง เขาอยากจะเชิญเผยเยี่ยนไปเป็นแขกด้วย
เผยเยี่ยนไม่อยากยุ่งเรื่องของกู้เจาหยาง
เขาถลึงตาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? งานแต่งของข้ายังไม่เป็นโล้เป็นพาย แล้วจะให้ข้าไปเป็นแขก? ข้าไม่ไป!”
อินเฮ่าโมโหแทบกระอัก “เจ้าคิดดูว่านอกจากเจ้าแล้วยังมีใครเหมาะสม? จะว่าไป เจ้าก็ถือเป็นผู้อาวุโสของกู้เจาหยาง ผู้อื่นมาขอหมั้นหมายที่บ้านเจ้า เจ้าก็สมควรด้วยเหตุและผลที่จะออกหน้าช่วยรับรองให้ผู้อื่น”
พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของเผยเยี่ยนก็ยิ่งเบิกโตกว่าเก่า “พวกเจ้าสองสกุลจะดองกัน ทำไมต้องมาสู่ขอที่บ้านข้าด้วย แล้วยังจะเชิญแขกมาที่บ้านข้าอีก? โรงสุราชั้นเลิศในเมืองหังโจวไม่มีเหลือแล้วรึ? หรือว่าสกุลพวกเจ้าใครขาดแคลนเงินทอง? ตอนที่เจ้าคุยกับกู้เจาหยางเรื่องนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่ามันผิดปกติบ้างหรือ?”
อินเฮ่าตอบว่า “พวกเรามิได้มาเมืองหังโจวอย่างเงียบๆ หรอกรึ?”
เผยเยี่ยนแสยะยิ้ม “ก็แค่คนโง่ที่หลอกตัวเองเท่านั้น เจ้าคิดว่าไม่มีใครรู้ว่าเจ้ามาที่นี่รึ! อย่าเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลย พรุ่งนี้พวกเจ้านัดแนะเวลาไว้ตอนไหน? ข้าจะไปจองโรงสุราให้เดี๋ยวนี้ ค่างานเลี้ยงข้าเป็นคนออกให้เอง ถือว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดีของผู้อาวุโสที่มอบให้กู้เจาหยางก็แล้วกัน”
อินเฮ่าเห็นท่าทางของเขาไม่คล้ายว่าล้อเล่น จึงเอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “กู้เจาหยางไม่ได้ล่วงเกินเจ้ากระมัง? เหตุใดเจ้าต้องพูดถึงเขาด้วยท่าทีเหมือนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้เช่นนี้?”
เผยเยี่ยนเห็นกู้ฉ่างแล้วรำคาญตาอยู่จริงๆ แต่ตอนนี้ไม่อาจแสดงให้อินเฮ่ารับรู้ได้ ไม่อย่างนั้นอินเฮ่าคงถามต่อว่า ‘ในเมื่อกู้เจาหยางไม่ดี แล้วเหตุใดเจ้าถึงแนะนำเขาให้เป็นเขยสกุลอินของข้าเล่า?’ สุดท้ายงานแต่งของสองสกุลก็จะล่ม เช่นนั้นคงวุ่นวายน่าดู
เขาเอ่ยว่า “ตอนที่ผู้อื่นพูดถึงซุนเกา ข้าไม่ต้องการถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วย…พวกเจ้าเป็นขุนนางในราชสำนัก เส้นทางข้างหน้ายังยาวไกล ทว่าข้าได้แต่อยู่ที่หลินอันเฝ้ากิจการของสกุล เป็นคหบดีของข้าต่อไปแบบนี้ คนบางคน พวกเจ้าอาจล่วงเกินได้ แต่ข้าจะล่วงเกินไม่ได้ เจ้าก็อย่าได้ลากข้าลงน้ำเลย”
อินเฮ่าตบอกอย่างเข้าใจ พลางเอ่ยว่า “เจ้าวางใจได้ ขอเพียงเจ้าเรียกข้าว่า ‘พี่รองอิน’ สักคำ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกสกุลเผยของเจ้าเด็ดขาด ก็แค่หลี่กวงเองมิใช่รึ? ข้ารับประกันว่าเขาไม่กล้าแตะต้องเจ้าแม้เพียงปลายขนแน่”
เผยเยี่ยนไม่ได้กลัวหลี่กวงจริงๆ อย่างที่พูดเสียหน่อย
ขอเพียงพี่รองถูกเรียกตัวกลับไป สกุลเผยก็จะมีคนเป็นปากเสียงในราชสำนักอีกครั้ง เขาก็แค่หาข้ออ้างไม่ช่วยกู้ฉ่างเท่านั้น ต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยขี้ปะติ๋วเพียงใด เขาก็ไม่ยินดีทั้งสิ้น ดังนั้นต่อให้วาจาของอินเฮ่าจะน่าตื้นตันใจแค่ไหน ก็ไม่มีทางทำให้เขาสั่นคลอนได้เลย
เผยเยี่ยนเลิกสนใจอินเฮ่า แล้วเรียกผู้ดูแลสี่เข้ามาแทน สั่งเขาให้ไปจองโรงสุราชั้นเลิศในเมืองหังโจวเอาไว้ ทั้งเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมไปแจ้งแก่สกุลกู้ด้วย”
นัยน์ตาของผู้ดูแลสี่ทอประกายวิตก แต่ก็ตอบรับเสียงเบา แล้วล่าถอยออกไป
อินเฮ่าคิดจะห้ามไว้แต่ก็ห้ามไม่ทัน
เผยเยี่ยนตบลงที่ไหล่ของอินเฮ่า ทำทีคล้ายผู้ใหญ่สั่งสอนผู้น้อยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าลองไปถามนายหญิงสามสกุลหยางดูก็ได้ ว่าสิ่งที่ข้ากับเจ้าทำ อย่างไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”
อินเฮ่าได้ยินคำนี้ คนก็กระสับกระส่ายทันที
เขาถูกพะเน้าพะนอมาตั้งแต่เล็ก ทั้งเรื่องสัพเพเหระทุกประการก็มีเหล่าท่านน้าและพี่สาวช่วยดูแล แม้เขาจะเป็นผู้นำสกุลอิน แต่ไม่เชี่ยวชาญการจัดการเรื่องพวกนี้เอาเสียเลย
เผยเยี่ยนไม่ยอมละเว้นเขาง่ายๆ ยังเอ่ยต่อว่า “ถ้าเจ้าคิดว่ายังเชื่อไม่ได้อีก เจ้าก็ลองไปถามท่านผู้เฒ่าเถาดู อย่างไรเขาก็ไม่หลอกลวงเจ้าแน่”
อินเฮ่าไม่ต้องการไปถามใครทั้งนั้น เขาได้แต่ยอมรับในชะตากรรม “ก็ได้ ข้าจะไปแจ้งท่านน้าก่อน หากว่าทางนั้นเชิญแม่สื่อมาแล้ว คงต้องให้ท่านน้าข้าเป็นคนออกหน้า”
เผยเยี่ยนตอบว่า “ขอเพียงไม่ใช่บ้านข้าก็พอ”
อินเฮ่าส่ายหน้าหมดปัญญา ก่อนจะไปหานายหญิงสามสกุลหยางต่อ
หลังจากนายหญิงสามสกุลหยางรู้เรื่องก็หัวเราะ “ข้ากำลังคิดเรื่องที่เจ้าจะพบหน้าสกุลกู้วันพรุ่งนี้อยู่พอดี รู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ค่อยเหมาะสม พอเผยสยากวงอาละวาดเช่นนี้ นึกแล้วก็มีเหตุผลอยู่จริงๆ…พวกเราสองสกุลจะดองกัน ตามหลักแล้วต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ บอกกล่าวให้บรรพบุรุษรับรู้ ที่แห่งนี้เป็นคฤหาสน์สกุลเผย พวกเราจะมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษของตนที่คฤหาสน์สกุลเผยได้อย่างไร? ข้าเห็นว่าเผยสยากวงจัดการเรื่องนี้ได้ถูกต้องแล้ว พวกเราไม่เพียงรับรองแขกของสกุลกู้ที่นี่ไม่ได้ และจะทำพิธีต่างๆ ที่สกุลเผยไม่ได้อย่างเด็ดขาด ข้าว่าพวกเราซื้อคฤหาสน์สักหลังดีหรือไม่ รอให้อาจื่อออกเรือน ยังสามารถใช้เป็นสินเดิมของนางได้ ต่อไปพวกเรามาเมืองหังโจว ก็ยังมีเรือนให้พักค้างอ้างแรม”
สายตาของอินเฮ่าสว่างวาบ ปรบมือแล้วร้องว่า “ประเสริฐ” จากนั้นก็รีบให้คนไปเชิญผู้ดูแลสี่มา บอกให้เขาช่วยหาซื้อคฤหาสน์สักหลังให้ “เล็กใหญ่ไม่จำกัด แต่ทำเลต้องดี เดินทางเข้าออกสะดวก ทางที่ดีหาใกล้ๆ ที่นี่เข้าไว้ ต่อไปจะได้ดูแลกันได้”
ผู้ดูแลสี่ไม่ได้คิดมาก เขาไปรายงานต่อเผยเยี่ยน แล้วสั่งคนไปเรียกนายหน้าที่คุ้นเคยเข้ามา ช่วยสกุลอินจัดการธุระทั้งหมด
———————————————————–
[1]ถู่ซือ คือนโยบายของจีนในการปกครองชนกลุ่มน้อยเริ่มในสมัยราชวงศ์หยวน โดยจีนแต่งตั้งข้าหลวง ซึ่งเป็นหัวหน้าชนกลุ่มน้อยเป็นผู้ดูแลต่างพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ ทำหน้าที่เกลี้ยกล่อมบ่าวไพร่ให้จงรักภักดีต่อจีน และคอยส่งบรรณาการให้