ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 277 ไม่รู้
เมื่อความคิดรวมเข้าด้วยกัน อวี้ถังก็ยิ่งเซื่องซึมมากกว่าเดิม
นางรินชาให้เผยเยี่ยนต่อ เอ่ยเสียงแผ่ว “คุณหนูสวีชวนข้าด้วยใจจริง ทางพวกนางไม่มีคนจริงๆ ข้าก็รับปากแล้ว เขาเฟิ่งหวง ข้าคงไม่ได้ไป”
นี่ก็คือปฏิเสธข้อเสนอของเผยเยี่ยนอย่างอ้อมๆ
หากเป็นยามปกติ เผยเยี่ยนย่อมเกิดความไม่พอใจ จากนั้นก็จะหาวิธีให้อวี้ถังทำตามที่เขาพูดให้ได้ แต่ยามนี้ เขาคล้ายว่าจู่ๆ ก็พบความรู้สึกที่ซ่อนไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ โดยเฉพาะอีกฝ่ายยังเป็นคุณหนูที่เขาเห็นเป็นผู้น้อยอยู่เรื่อยมา…โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกว่าตัวเองตรงไปตรงมา ทำทุกเรื่องอย่างบริสุทธิ์ใจ ต่อให้เขาจะฐานะโดดเด่นเพียงใด ก็เป็นครั้งแรกที่พบสถานการณ์ของหนุ่มสาวแบบนี้เช่นกัน จะไม่ให้ตื่นตกใจได้อย่างไร?
เขาไหนเลยยังจะฟังออกว่าอวี้ถังพูดอะไรบ้าง?
เผยเยี่ยนคิดเพียงจะกลับไปยังห้องของตัวเอง ครุ่นคิดเรื่องนี้ดีๆ เท่านั้น
ตกลงเขาเข้าใจผิดไปเอง หรือว่าเกิดความรู้สึกหลงรักขึ้นมาโดยที่ตัวเองไม่รู้ตั้งนานแล้ว…
“เรื่องนี้พวกเราค่อยว่ากันภายหลัง” เผยเยี่ยนลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ เอ่ยด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “ข้าจะกลับแล้ว เจ้าก็อย่าออกไปจากจวน ให้ป้าเถาและชิงหยวนมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
แม้ว่าอวี้ถังจะมีความคิดเห็นอะไรมากมายต่อเผยเยี่ยน แต่เรื่องที่เผยเยี่ยนปกป้องคุ้มครองนาง นางกลับสามารถรับรู้ได้
แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธความปรารถนาดีของคนอื่นอย่างไร
อวี้ถังผงกศีรษะ ครุ่นคิดว่าหากวันนี้คุณหนูสวีออกจวนไปด้วยเรื่องงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ของสองสกุล นางปฏิเสธไปก็เพียงพอแล้ว ปรากฏว่ารอจนยามที่นางช้อนสายตาขึ้น กลับพบว่าเผยเยี่ยนสาวเท้าออกไปจากห้องโถงอย่างว่องไวราวกับวิ่งหนีเสียแล้ว
นี่เขาเป็นอะไรกัน?
อวี้ถังกังวลใจอยู่บ้าง
เมื่อครู่สีหน้าของเขาก็ไม่ค่อยดี
หรือพบเจอกับเรื่องไม่ดีอะไร?
อวี้ถังคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้า ครุ่นคิดว่านายหญิงสามสกุลหยางและคุณหนูสวีดูแลเอาใจใส่ต่อนาง ในเมื่อทางพวกนางยุ่งมาก มิสู้นางออกไปช่วยเหลือให้เร็วหน่อย
นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ก่อนจะพาชิงหยวนเตรียมเดินออกจากประตู
แต่เดินมาถึงหน้าประตู นางก็นึกถึงคำกำชับของเผยเยี่ยน จึงหมุนกายไปเรียกป้าเถา ยามนี้ค่อยไปพบนายหญิงสามสกุลหยางที่เรือนพำนักของพวกนาง
นายหญิงสามสกุลหยางกำลังร่ายรายการของขวัญที่ส่งคืนขอบคุณสกุลกู้ ส่วนคุณหนูสวีนั่งอยู่โต๊ะหนังสือด้านข้างเขียนรายการของขวัญ
เมื่อเห็นอวี้ถังเข้ามา ทั้งสองก็วางมือจากงานโดยพร้อมเพรียงกัน ทักทายนางก่อนจะเชิญเข้ามานั่ง
อาฝูยกเก้าอี้กลมมาให้นางอย่างว่องไว
อวี้ถังเอ่ยขอบคุณ หลังจากนั่งไม่นาน เด็กรับใช้ก็ยกชาและของว่างเข้ามา ก่อนจะเอ่ยถามนายหญิงสามสกุลหยางและคุณหนูสวีด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้บ้างหรือไม่? แค่สั่งมาก็พอแล้ว!”
นายหญิงสามสกุลหยางรีบเอ่ยอย่างว่องไว “กล่าวว่าสั่งก็ไม่เหมาะเกินไป เจ้ามาช่วยพวกเราได้ พวกเราก็ซาบซึ้งใจยิ่งแล้ว” คล้อยหลังก็ไม่ได้เกรงใจกับนางอีก เอ่ยว่า “เดิมทีเตรียมจะส่งของหมั้นทางนี้ ก็อยากจะขอเจ้าช่วยพวกเราดูพวกบ่าวสาวใช้หน่อย ยามนี้แม้ว่าพวกเราตัดสินใจจะส่งของหมั้นไปในจวนที่ซื้อใหม่ แต่พวกบ่าวรับใช้ที่เพิ่งซื้อมายังไม่ทันได้เรียนรู้กฎระเบียบอะไร เกรงว่ายังจะต้องยืมคนของทางสกุลเผย ข้าเขียนรายชื่อแล้ว เจ้าลองดู ถึงเวลานั้นยังคงต้องขอให้เจ้าพาชิงหยวนมาช่วยควบคุมบ่าวรับใช้พวกนั้น”
อวี้ถังรับรายชื่อมา เห็นด้านบนเขียนว่าต้องการคนดูแลในห้องชาและสุราจำนวนหนึ่ง ห้องครัวอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งงานเลี้ยงด้านนอกและด้านในก็ต้องการจำนวนหนึ่ง…ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องการยืมคนประมาณหนึ่งร้อยคน
นางลอบตกใจ เอ่ยว่า “จวนใหม่ใหญ่เท่าใดกัน?”
“ยังไม่รู้เลย!” นายหญิงสามสกุลหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้ดูแลสี่เป็นธุระหาให้ แต่ว่าลองคาดการณ์จากบ่าวรับใช้สองสามคนดูแลแขกคนหนึ่ง ข้ายังคิดว่าคำนวณน้อยเกินไปหน่อย”
คุณหนูสวีเอ่ยอยู่ด้านข้างว่า “นี่ก็ช่วยไม่ได้ ข้าว่าคนในจวนทางนั้นก็คงมีไม่มาก ทำได้เพียงแก้ขัดเช่นนี้ไปก่อน”
ทั้งสามคนพูดคุยกัน อวี้ถังก็ไม่มีใจจะนึกถึงเผยเยี่ยนอีกแล้ว
—
แต่เผยเยี่ยนที่กลับมาในห้องของตัวเอง นั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ เผยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่เอ่ยวาจาอันใด
ผู้รับใช้ข้างกายเขาล้วนตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ยังมีเด็กรับใช้ที่หัวไวคนหนึ่งวิ่งไปรายงานกับผู้ดูแลสี่
ผู้ดูแลสี่ตกใจยกใหญ่ ก็ไม่มีเวลาจะสนใจหานายหน้าอีกแล้ว วิ่งเหยาะๆ มาตลอดทาง
อาฉากำลังยืนเกาศีรษะอยู่ด้านนอกประตู เห็นผู้ดูแลสี่เข้ามา เขาก็วิ่งเข้าไปหาคล้ายกับเจอดาวแห่งความช่วยเหลือ เอ่ยด้วยเสียงกระอึกกระอัก “ผู้ดูแลสี่ ท่านรีบคิดวิธีเถิด! นายท่านสามไล่พวกเราออกมาหมด นั่งอยู่ในห้องเพียงคนเดียว ไม่มีใครเข้าไปรับใช้อยู่พักใหญ่แล้ว ท่านดูสิ พวกเรายังไม่ทันได้ยกชาและของว่างเข้าไปเสียด้วยซ้ำ!”
ผู้ดูแลสี่มองเด็กรับใช้ที่ถือถาดรองอยู่ด้านหลังอาฉาอย่างเคร่งขรึมไปที เด็กรับใช้ผู้นั้นค้อมศีรษะลงอย่างเกรงกลัว
เพราะปกตินายท่านสามไม่ค่อยได้พักอยู่ทางนี้ คนในจวนอยากจะประจบประแจงนายท่านสามก็ยังไม่มีโอกาส เขาเป็นผู้ดูแลสี่ที่ตามมารับใช้นายท่านสาม พวกเขาทั้งหมดจึงคาดหวังให้เขาเป็นผู้ออกหน้า!
ผู้ดูแลสี่เอ่ยอย่างจริงจัง “ก่อนหน้านี้นายท่านสามไปพบใคร?”
อาฉาเอ่ยว่า “คุณหนูอวี้”
“ทั้งสองคน…” สายตาของผู้ดูแลสี่มองอาฉาอย่างลึกล้ำ
อาฉากลับไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย เอ่ยว่า “พวกเราก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน นายท่านสามไม่ได้ให้ข้าตามเข้าไป ข้าเพียงรู้ว่ายามที่นายท่านสามเข้าไปยังอารมณ์ดี พอออกมากลับหน้าแข็งทื่อแล้ว หลังจากถึงห้องก็นั่งลงไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว ก่อนจะไล่พวกเราออกมา…”
ก็หมายความว่า เรื่องเกิดขึ้นที่ทางคุณหนูอวี้
ยามนี้ผู้ดูแลสี่พบว่าการที่ไม่ส่งแม่นมไปดูแลทางคุณหนูอวี้เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง
เพียงแต่จะส่งไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย เรียกคนสนิทของตัวเองมา ก่อนจะให้เงินเล็กน้อย ให้เขาหาวิธีไปพบซวงเถา “สืบมาให้ชัดเจนว่านายท่านสามและคุณหนูสวีคุยอะไรกันไปบ้าง?”
คนสนิทรีบวิ่งไปแทบไม่เห็นฝุ่น
ผู้ดูแลสี่ทำได้เพียงเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู
ดวงอาทิตย์ของต้นฤดูร้อนค่อยๆ ลอยเคลื่อนไปอยู่กลางท้องฟ้า คนสนิทของผู้ดูแลสี่มารายงานด้วยเหงื่อชุ่ม “ซวงเถาตามคุณหนูอวี้ไปหานายหญิงสามสกุลหยาง ยามนั้นผู้ที่เข้าเวรอยู่ก่อนหน้านี้กับคุณหนูอวี้และนายท่านสามก็คือชิงเหลียน”
นั่นก็หมายความว่าจะพูดอะไรก็ไม่อาจสืบได้ทั้งนั้น!
ผู้ดูแลสี่ใจร้อนดั่งไฟสุม กลับทำได้เพียงรอคอย
ทางนายหน้าพาผู้ดูแลรองของสกุลเผยไปดูจวนไม่กี่หลัง ผู้ดูแลรองคิดว่าแต่ละแห่งล้วนมีจุดเด่นและจุดบกพร่องแตกต่างกันไป ลอบเรียงลำดับอยู่ในใจ เตรียมจะกลับไปรายงานผู้ดูแลสี่ ยามบ่ายก็จะพาอินเฮ่าเข้ามาดู ทำเรื่องจวนให้เสร็จไป ใครจะรู้ว่าอินเฮ่าที่เป็นคนใจเย็น รอครู่หนึ่งก็ทนไม่ได้เสียแล้ว วิ่งไปหาผู้ดูแลสี่ด้วยตัวเอง ก่อนจะบังเอิญพบกับผู้ดูแลรองที่มาถ่ายทอดคำพูดพอดี
อินเฮ่าเห็นว่าเดิมทีผู้ดูแลสี่ก็ไม่ได้ไปเอง ชั่วขณะนั้นก็โมโหอย่างยิ่ง ไม่พูดพร่ำอันใดก็เข้ามาหาเผยเยี่ยน
ทุกคนต่างก็พบกันที่หน้าประตูของเผยเยี่ยน
อินเฮ่าตะลึงงัน ถามผู้ดูแลสี่ว่า “นี่พวกเจ้าเกิดอะไรขึ้น?”
ผู้ดูแลสี่กำลังไม่รู้จะทำอย่างไรดี เห็นอินเฮ่า สายตาก็เปี่ยมความคาดหวังขึ้นมาทันที เล่าเรื่องทั้งหมดให้อินเฮ่าฟัง แน่นอนว่าย่อมปิดบังเรื่องที่เผยเยี่ยนไปพบอวี้ถังเอาไว้ ท้ายที่สุดเขาก็ถามอินเฮ่าอย่างกังวลว่า “ทางด้านหวังกงกงเกิดเรื่องอะไรใช่หรือไม่?”
ในความคิดของผู้ดูแลสี่ มีเพียงเรื่องเช่นนี้ถึงจะทำให้เผยเยี่ยนโกรธจนแสดงออกทางสีหน้าได้ ส่วนอวี้ถังก็เป็นไปได้ แต่ครั้งนี้เหมือนจะบังเอิญมากกว่า
อินเฮ่าดูแคลนการคาดเดาของผู้ดูแลสี่
เขาเอ่ยว่า “นายท่านสามของพวกเจ้า กระทั่งใต้เท้าจางผู้เฒ่ายังคิดจะเกลียดก็เกลียด เขาจะกลัวหวังชีเป่าอย่างนั้นรึ?”
อินเฮ่าถามเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่พบความผิดปกติอะไร ทั้งหวนคิดถึงเรื่องหลายวันที่ผ่านมานี้ครั้งหนึ่ง ก็ไม่พบเรื่องอะไรที่ทำให้เผยเยี่ยนลำบากใจได้เช่นกัน ยามนี้เขาจึงเอ่ยกับผู้ดูแลสี่ “ข้าจะเข้าไปดู!”
ผู้ดูแลสี่ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล ไปส่งอินเฮ่าถึงหน้าประตู
อินเฮ่าไม่เกรงใจ เดินผลักประตูเข้าไปทันที ก่อนจะเห็นเผยเยี่ยนที่เหมือนกับพระสงฆ์นั่งทำสมาธิ หลับตาลง สีหน้าที่เรียบนิ่งนั้นแฝงความเซื่องซึมอย่างเลือนราง นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ ได้ยินความเคลื่อนไหว หางตากลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เผยสยากวงผู้นี้!
ครั้งก่อนที่เห็นเขาเป็นเช่นนี้ยังคงเป็นยามที่นายท่านใหญ่สกุลเผยจากไปอย่างกะทันหัน
ครั้งนี้เขาพบเจอเรื่องใหญ่อะไรเข้า?
อินเฮ่าลากเก้าอี้ไท่ซือมานั่งตรงข้ามเผยเยี่ยนเสียงดัง เอ่ยว่า “เอาล่ะ ที่นี่ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว เจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถิด!”
เผยเยี่ยนไม่แม้แต่จะลืมตา เอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้าไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น เจ้าก็อย่าถามเลย ข้าอยากอยู่คนเดียว”
อินเฮ่าร้อง ‘เฮ้’ ออกมา “เจ้าคิดว่าข้าอยากอยู่กับเจ้าอย่างนั้นรึ! นี่เป็นเพราะข้าอับจนหนทางต่างหาก คนรับใช้นับร้อยของพวกเจ้าออกันอยู่ด้านนอก ข้าอยากจะสั่งให้ทำอะไรก็ไม่มีคนสนใจ ไม่อย่างนั้นข้าจะมาดูหน้าเจ้าอย่างนั้นรึ!”
“ไม่ใช่ว่าเรื่องยุ่งนั้นของกู้ฉ่างหรืออย่างไร?” เผยเยี่ยนลืมตาขึ้น แววตาที่มองอินเฮ่าเต็มไปด้วยความดูแคลน “หากเรื่องเน่าเฟะของสกุลกู้ เขายังจัดการไม่ได้ ลูกเขยเช่นนี้ไม่เอาก็ได้กระมัง!”
อินเฮ่าโมโหจนฉีกยิ้มขึ้นมา “งานแต่งนี้ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนแนะนำหรอกรึ?”
“หรือสกุลพวกเราไม่ใช่ผู้เคราะห์ร้าย?” เผยเยี่ยนเริ่มเหน็บแนม “อีกไม่กี่วันน้องสาวเขาก็จะแต่งเข้าสกุลพวกเราแล้ว สกุลพวกเจ้าพบปัญหา สกุลพวกเราก็ย่อมเป็นปัญหาเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้สกุลพวกเจ้าถอนหมั้นยังทัน ไม่เหมือนคนโง่เขลาสกุลพวกเราเหล่านั้น ยื่นศีรษะเข้าไปแล้วเอาออกไม่ได้ ยังคิดว่าไปเองว่าตัวเองเก็บเด็กที่น่ารักน่าชังคนหนึ่งได้”
อินเฮ่าล้วนไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
เผยเยี่ยนกลับยังคงหงุดหงิดใจ อยากจะเอ่ยเสียดสีกู้ฉ่างต่อ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรสนุกแล้ว
แม้ยามนี้ยังไม่รู้ว่าในฝันอวี้ถังรู้จักกู้ฉ่างได้อย่างไร แต่กู้ฉ่างย่อมเคยคิดจะวางแผนอะไรกับอวี้ถังเป็นแน่ มิเช่นนั้นกู้ฉ่างก็คงไม่กระตือรือร้นเข้ามาตีสนิทกับอวี้ถังเช่นนี้หรอก
ไม่แน่ว่ากู้ฉ่างอาจจะเฝ้ามองอย่างชื่นชม เกิดความคิดไม่ดีกับอวี้ถังขึ้นมา อวี้ถังจึงได้ฝันถึงเขา
เผยเยี่ยนคาดเดาอย่างเลวร้ายขึ้นมาหลายส่วน
ไม่แปลกใจยามที่เขาเห็นกู้ฉ่างพูดคุยกับอวี้ถัง จึงรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
จะว่าไปแล้ว ช่องว่างระหว่างเขาและอวี้ถัง ก็ล้วนมีต้นเหตุมาจากกู้ฉ่าง…หากกู้ฉ่างไม่กระตือรือร้นกับอวี้ถังขนาดนั้น เขาก็คงไม่รู้สึกกังวลใจ ทั้งไม่อาจเหน็บแนมอวี้ถังในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่รู้อะไรหรอก อวี้ถังก็คงไม่รู้สึกน้อยใจ โกรธเคืองเขาเช่นกัน
แต่ก็นับว่ากู้ฉ่างรู้ความ ยอมรับงานแต่งของสกุลอิน ไม่อย่างนั้น…
ไม่อย่างนั้นทำไม?
เขายังจะทะเลาะกับกู้ฉ่างอย่างนั้นรึ?
นึกมาถึงตรงนี้ เขาก็นั่งไม่ติดที่อยู่บ้าง
อวี้ถังคงไม่ตระหนักถึงความรู้สึกเล็กๆ นั้นที่กู้ฉ่างมีต่อนางหรอกกระมัง?
เช่นนั้นที่นางเศร้าสร้อยตกลงเป็นเพราะตัวเองทำให้นางเคืองโกรธ? หรือเพราะกู้ฉ่างตีสนิทผู้มีอำนาจ หมั้นหมายกับสกุลอินกัน?
ไม่ได้!
เขาต้องไปถาม
เผยเยี่ยนกระจ่างใจดีว่าอินเฮ่าอยู่ที่นี่ เขาควรอดกลั้นเสียหน่อย แทบจะทิ้งอินเฮ่าให้กับผู้ดูแลสี่ได้อย่างสิ้นเชิง รอเขายุ่งวุ่นวายกับเรื่องจวนแล้วก็ค่อยเข้าไปหาอวี้ถัง แต่เขากลับไม่อาจรอได้แม้แต่เฮือกหายใจเดียว จำต้องไปถามให้กระจ่างยามนี้ให้ได้
เผยเยี่ยนสวมรองเท้าก็พุ่งออกไปด้านนอกทันที
กลับถูกอินเฮ่าคว้าตัวก่อน เอ่ยว่า “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ข้ามาเจ้าก็ไป ข้าไป เจ้าคงไม่ใช่กลับมาอีกครั้งหรอกกระมัง? ข้าไม่ได้ล่วงเกินเจ้าใช่หรือไม่? ไฉนเจ้าจึงคล้ายกับกินประทัดเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น?”
————————–