ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 278 เดินไปเดินมา
เดิมทีเผยเยี่ยนก็ไม่อยากสนใจอินเฮ่า แต่อินเฮ่าดึงตัวเขาไว้แน่น หากเขาอยากจะหลุดออกไปก็ต้องใช้แรงเล็กน้อย ย่อมมิงามที่จะฉุดรั้งกันไปกันมา เขาจึงหยุดฝีเท้าอย่างรู้แล้วรู้รอดไป เอ่ยว่า “ผู้ที่มาโน้มน้าวข้าคือเจ้า ผู้ที่ดึงข้าไม่ให้ออกจากประตูก็คือเจ้าอีก ตกลงเจ้าต้องการอะไรกันแน่? หรือจะให้ข้าพูดเรื่องทุกข์ในใจออกมา เจ้าก็จะรู้สึกดีอย่างนั้นรึ? แต่แม้ข้าจะเล่าความทุกข์ในใจ เจ้าจะสามารถช่วยข้าแก้ไขได้อย่างนั้นรึ? หากเจ้าสามารถช่วยข้าได้ มา มา มา ข้าจะพูดให้เจ้าฟัง”
ชั่วขณะนั้นอินเฮ่าก็ไม่กล้าจะฟังอยู่บ้างจริงๆ…หากเผยเยี่ยนกล่าวว่าเขาอยาก ‘รั้ง’ หวังชีเป่าให้อยู่ที่เมืองหังโจวตลอดไป เขาจะช่วยหรือไม่ช่วยล่ะ?
อินเฮ่าหัวเราะเหอะๆ
ครั้งนี้เผยเยี่ยนจึงสะบัดตัวเบาๆ ออกจากมือของอินเฮ่า สาวเท้ายาวออกจากห้องโถงไป
พวกผู้ดูแลสี่ไม่รู้ว่าในห้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น เห็นเผยเยี่ยนออกมา ก็แทบจะเบียดตัวเข้ามาด้านหน้า
เผยเยี่ยนตวัดสายตาเยือกเย็นขึ้นมา
คนทั้งหมดล้วนพากันก้มหน้าทันที ยืนหยุดที่ตำแหน่งเดิม
รอจนอินเฮ่าไล่ตามออกมา ก็เห็น ‘ท่อนไม้แข็งทื่อ’ อยู่เต็มเรือนไปหมด
เผยเยี่ยนไปหาอวี้ถังที่เรือนด้วยความกระวนกระวายใจ เห็นมีเพียงสาวใช้ไม่กี่คนเช็ดบานหน้าต่างอยู่ที่นั่น ยามนี้จึงค่อยนึกได้ว่าอวี้ถังไปหานายหญิงสามสกุลหยาง แต่การรอคอยครั้งนี้ กลับทำให้เขาลังเลขึ้นมา
ครั้งก่อนเพียงแค่ถามว่ากู้ฉ่างรู้จักนางได้อย่างไร นางก็โกรธจนไม่สนใจเขา จะว่าไปแล้วก็แปลกๆ อยู่เหมือนกัน ครั้งนี้หากไปถามนางว่าเสียใจเพราะเรื่องของกู้ฉ่างใช่หรือไม่…คิดว่านางคงตบตีไล่เขาออกมา
ไม่อย่างนั้น รอคอยสักพัก!
เผยเยี่ยนยืนสองจิตสองใจอยู่ตรงนั้น
ชิงเหลียนที่ทราบข่าวพาสาวใช้ไม่กี่คนออกมา
“นายท่านสาม!” พวกนางย่อกายคารวะเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนพยักหน้า ไม่ได้พูดอันใด
พวกชิงเหลียนไม่กล้าถามมาก ทั้งไม่กล้าจากไปเช่นกัน
ทุกคนยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
เผยเยี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมาอย่างหุนหันพลันแล่นไปบ้าง
หากอวี้ถังเสียใจเพราะเรื่องนี้จริงๆ เขาถามเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นการแทงมีดที่อกนางหรอกรึ?
แม้เขาจะไม่ใช่คนที่ชอบเอาอกเอาใจ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักหนักเบา
ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ก็ทำเป็นความลับระหว่างพวกเขาทั้งสอง ปล่อยให้จบไปเช่นนี้?
แต่เผยเยี่ยนก็รู้สึกขึ้นมาอีกว่าตัวเองกล้ำกลืนฝืนทนเรื่องนี้ไม่ได้
กู้ฉ่างผู้นั้นยังดีต่ออวี้ถังไม่เท่าเขา อวี้ถังถือสิทธิ์อะไรถึงสนใจกู้ฉ่างขนาดนั้น?
เผยเยี่ยนนึกมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ในใจก็สว่างวาบขึ้นมา
ใช่แล้ว! เขาเห็นอวี้ถังดีต่อกู้ฉ่าง สนใจกู้ฉ่างตั้งแต่เมื่อใดกัน?
แทบจะเป็นเขาที่คิดเองเออเองอย่างสิ้นเชิง!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จู่ๆ เผยเยี่ยนก็รู้สึกว่าตอนแรกตัวเองทำผิดต่ออวี้ถังอยู่บ้างจริงๆ…สิ่งที่เขาสงสัยไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างอวี้ถังและกู้ฉ่าง แต่เป็นนิสัยของอวี้ถังเอง
เผยเยี่ยนยิ้มอย่างกระดากอายอยู่บ้าง ลอบดีใจที่เขาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดินมาถึงที่พักของอวี้ถังอย่างตรงๆ นี่หากประจันหน้ากับอวี้ถังเข้า ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนจะถกเถียงเรื่องไม่สลักสำคัญขึ้นมาหรอกรึ?
เขาถอนหายใจยาวเหยียด คิดว่าครึ่งวันนี้ตัวเองคล้ายกับสติหลุดออกจากร่าง ไม่มีเรื่องไหนที่ทำได้ดีทั้งนั้น
เผยเยี่ยนเดินไปลำธารเล็กๆ หลังห้องของอวี้ถัง นั่งนิ่งอยู่ในศาลาข้างลำธาร
เขาชอบอวี้ถังตั้งแต่เมื่อใดกัน? เป็นตอนที่พบกันครั้งแรก ในใจเกิดความเสียดายที่ว่า ‘หญิงสาวหน้าตาน่ารักเช่นนี้ ไฉนถึงเป็นโจร’ หรือว่าหลังจากที่ประสบพบเจอกันอย่างไม่หยุดหย่อน?
เรื่องหลักๆ เขาก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้วเช่นกัน
คล้ายว่านางอยู่ข้างกายของเขามาเนิ่นนาน
นานจนเขาเห็นการปรากฏตัวของนางเป็นเรื่องปกติ ทั้งยังคุ้นชินกับการปกป้องนางไปแล้ว
หากไม่ใช่การปรากฏตัวของกู้ฉ่าง หากไม่ใช่ว่ากู้ฉ่างปิดบังความชมชอบไม่มิด เขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังใส่ใจสาวน้อยผู้นี้อยู่
แต่ความใส่ใจเช่นนี้คือความชอบอย่างนั้นรึ? ความชอบเช่นนี้จะทำให้พวกเขาอยู่หัวขาวไปด้วยกันจนแก่ได้อย่างนั้นรึ?
สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ใคร่ครวญเรื่องรับอวี้ถังเป็นภรรยา ก็ไม่ใช่เพราะเขาเห็นงานแต่งของศิษย์พี่ เฟ่ยจื้อเหวินด้วยตาของตัวเองหรอกรึ?
เผยเยี่ยนเริ่มรู้สึกหม่นหมองขึ้นมา
เขาอยากจะพูดคุยกับศิษย์พี่เฟ่ยอย่างยิ่ง
แต่ที่นี่ห่างไกลจากเมืองหลวงเกินไป เกรงว่าแม้เขาจะขี่ม้าเร็วไปเมืองหลวง พอเห็นศิษย์พี่เฟ่ย ความปรารถนาที่อยากจะพูดก็คงมลายหายสิ้นไปนานแล้ว
เผยเยี่ยนเดินวนไปวนมาในศาลา ราวกับสัตว์ร้ายที่ติดอยู่ในกรงขัง ไม่รู้ว่ายามใดจะพลั้งปล่อยไอสังหารในใจ ถลาออกไปทำร้ายคนอื่นอย่างเกรี้ยวกราด
เถาชิงที่มาหาเขามองเห็นฉากนั้นจากที่ไกลๆ ชั่วขณะนั้นก็อกสั่นขวัญแขวน เอ่ยกับผู้ดูแลสี่เสียงเบา “เขาอยู่สภาพนี้มานานเท่าใดแล้ว? ใต้เท้าอินล่ะ? ไม่ใช่กล่าวว่าเขาอยู่ทางนี้หรอกรึ? ไฉนจึงไม่มาเกลี้ยกล่อมนายท่านสามของพวกเจ้ากัน?”
ในหมู่พวกเขาเผยเยี่ยนเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด ยามที่ท่านผู้เฒ่าเผยยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นคนใจกว้าง ชอบช่วยเหลือผู้คน สกุลเถาและสกุลอินล้วนเคยได้รับความช่วยเหลือจากเขาทั้งนั้น โดยเฉพาะเถาชิง ปีนั้นหากไม่มีเงินก้อนนั้นที่ท่านผู้เฒ่าเผยลอบส่งให้ เป็นไปได้ว่า อาจจะพามารดาที่เป็นม่ายและน้องชายที่ยังเล็กออกห่างจากบ้านเกิดไปหาเลี้ยงชีพที่อื่นแล้ว ทั้งคงไม่ได้มีนายท่านใหญ่เถาและใต้เท้าเถาอย่างทุกวันนี้หรอก
ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อเผยเยี่ยนจึงค่อนข้างซับซ้อน ตามความอาวุโสคือน้องชาย ด้านความรู้สึกกลับเป็นเหมือนลูกหลาน
ผู้ดูแลสี่ลอบร้องทุกข์ในใจไม่หยุดหย่อน กลับไม่แสดงออกมาแม้แต่น้อย ยังจำต้องกล่าวให้เกียรติว่า “สกุลกู้และสกุลอินจะเกี่ยวดองกันแล้ว เรื่องนี้กำหนดอย่างเร่งด่วนอยู่บ้าง ทางใต้เท้าอินก็วุ่นจนหัวหมุน เมื่อครู่เข้ามาหานายท่านสามพวกเรา นายท่านสามก็ไม่ยอมพูดอะไร ใต้เท้าอินอับจนหนทาง ทั้งก่อนหน้าที่ท่านมา เขาก็ถูกนายหญิงสามสกุลหยางส่งคนมาเรียก กล่าวว่างานเลี้ยงหมั้นหมายอยากเชิญพวกใต้เท้าฉินและใต้เท้าเติ้ง จึงได้เชิญตัวใต้เท้าอินไปเขียนเทียบเชิญ”
ขุนนางอย่างฉินเหว่ย และเติ้งเสวียซง สกุลอินและสกุลกู้เชิญมางานหมั้นหมาย พวกเขาย่อมต้องมา แต่หากอินเฮ่าไปเชิญด้วยตัวเองหรือเขียนเทียบเชิญให้คนไปส่งด้วยตัวเอง ความหมายก็ไม่เหมือนกันแล้ว
เถาชิงเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี ก็ไม่อาจโทษอินเฮ่าได้ หลังจากส่งผู้ดูแลสี่ออกไป ก็เดินเข้าไปหาโดยตรง
“สยากวง” เขาเรียกเผยเยี่ยนตรงๆ “ใต้หล้านี้ไม่มีหลุมอันใดที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ เจ้านั่งลงก่อน มีเรื่องอะไรพวกเรามาหารือด้วยกันเถิด หากยังแก้ไขไม่ได้ ข้าก็จะให้คนไปเรียกพี่รองเจ้าเข้ามาเดี๋ยวนี้”
จากความเข้าใจที่เถาชิงมีต่อเผยเยี่ยน เรื่องที่ทำให้เขาเป็นทุกข์ได้ย่อมไม่ใช่การปฏิสัมพันธ์กับคนภายนอกหรือเรื่องที่สกุลพบเจอกับอันตราย เผยเยี่ยนเหมือนจะมีความชำนาญในเรื่องนี้มาตั้งแต่กำเนิด ทั้งเขาชอบจัดการเรื่องพวกนี้ นอกจากไม่คิดว่าลำบากแล้ว ยังเห็นเป็นเรื่องสนุก สิ่งที่ทำให้เผยเยี่ยนเป็นเช่นนี้ได้ มีเพียงการทรยศหรือความขัดแย้งของคนในครอบครัวไม่ก็ญาติมิตรเท่านั้น เผยเซวียนเข้ามาใช่ว่าจะแก้ไขได้เสมอไป แต่อย่างน้อยก็สามารถปลอบใจเผยเยี่ยนได้ ให้เขารู้ว่า อย่างไรพี่ชายของตนก็ยืนอยู่ข้างเขามาโดยตลอด
เผยเยี่ยนฟังจบก็ไม่ได้ร้อนใจเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว
เขาขมวดคิ้วนั่งเก้าอี้ในศาลา อาฉาที่ได้รับคำสั่งจากผู้ดูแลสี่ให้มารับใช้เผยเยี่ยน วิ่งเข้ามาสั่งการพวกเด็กรับใช้ให้จัดที่นั่ง ยกชาและของว่างอย่างกระหืดกระหอบ ยามนี้จึงค่อยถอนตัวออกจากศาลาไป
เถาชิงชี้ที่เบาะรองนั่งผ้าไหมเย็บด้วยลวดลายดอกไม้สีแดง เอ่ยกับเผยเยี่ยน “แม้จะเป็นต้นฤดูร้อนก็ประมาทไม่ได้ นั่งลงบนเบาะรองนั่งพูดคุยกันเถิด”
พวกเขาล้วนนับถือแนวคิดของเหล่าจวง[1] พิถีพิถันในการดูแลฝึกฝนกายใจ เผยเยี่ยนก็อยากหาคนพูดคุยอยู่บ้าง ไม่ได้ผลักไสการจัดการของเถาชิง นั่งลงบนเบาะรองนั่งด้านข้าง
เถาชิงค่อยสบายใจเล็กน้อย รินชาส่งให้เขาด้วยตัวเอง เอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “ดื่มชาสักถ้วยคลายความเหนื่อยล้าเถิด”
เผยเยี่ยนก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ยามนี้เถาชิงจึงค่อยนั่งลง เอ่ยว่า “เจ้าอยากพูดกับข้าหรือไม่? หากไม่อยาก ข้าก็จะนั่งเป็นเพื่อนเจ้าที่นี่”
เผยเยี่ยนจ้องมองถ้วยชาในมือไม่ปริปากอันใด ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยเอ่ยอย่างเงียบเชียบ “พี่ใหญ่ เจ้าทราบเรื่องศิษย์พี่เฟ่ยของข้าหรือไม่?”
เฟ่ยจื้อเหวินรองเจ้ากรมขุนนาง?
เฟ่ยจื้อเหวินที่หลังจากจางอิงเกษียณอายุก็รับช่วงต่อเส้นสายและอำนาจในกรมขุนนางของจางอิง?
เถาชิงจะไม่ทราบได้อย่างไร
ครั้งนี้เถาอันแย่งชิงตำแหน่งผู้ตรวจการเจียงซี เขาก็เป็นคนสำคัญคนหนึ่ง
แต่เขาทำเรื่องถูกทำนองคลองธรรมอยู่เรื่อยมา ฟังจบก็เอ่ยว่า “เจ้าหมายถึงทราบเรื่องไหน? ข้าและเขาไม่เคยคบค้าสมาคมส่วนตัว เพียงแต่เรื่องของอาอันเคยไปกินข้าวด้วยกันสองครั้ง”
เผยเยี่ยนไม่ได้เงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงแผ่ว “เขาเป็นลูกหลานสกุลเฟ่ยแห่งถงเซียง เพราะตั้งแต่เด็กเรียนหนังสือเก่ง ยามที่อยู่ในช่วงหนุ่มสาวจึงหยิ่งผยองอย่างยิ่ง ตั้งแต่เล็กเคยหมั้นหมายครั้งหนึ่ง ยังไม่ทันได้ตกลงอย่างเป็นทางการอีกฝ่ายก็ด่วนจากเสียก่อน ภายหลังเขาถึงช่วงที่เหมาะกับการแต่งงาน ถูกใจลูกสาวคหบดีชนบทครอบครัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้างที่นาของพวกเขา จึงหาวิธีแต่งเข้ามา…”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หยุดลง
เถาชิงเคยได้ยินเรื่องของเฟ่ยจื้อเหวินมาเล็กน้อย รวมกับประสบการณ์ของตัวเอง เห็นท่าทีของเผยเยี่ยนที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นึกเชื่อมโยงกับกลางดึกนั้นที่จู่ๆ เผยเยี่ยนก็มาเข้าพบ เขาก็อดเอ่ยคาดเดาไม่ได้ “ภายหลังพวกเขาใช้ชีวิตได้ไม่ค่อยดีใช่หรือไม่?”
เผยเยี่ยนพยักหน้า เอ่ยอย่างคลุมเครือ “หลังจากนายหญิงเฟ่ยแต่งเข้ามา ไม่ว่าจะด้านไหนก็ล้วนปรับตัวไม่ได้ ศิษย์พี่เฟ่ยจึงพานางไปเมืองหลวง…นางก็ไม่สามารถคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของเมืองหลวง…ศิษย์พี่เฟ่ยทำได้เพียงส่งนางกลับถงเซียงมา ให้นางพักอยู่ในเรือนนอกตามลำพัง เชิญคนของสกุลมารดานางมาอยู่เป็นเพื่อน…”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หยุดลงราวกับไม่อาจเอ่ยต่อได้
เถาชิงรู้ว่า ต่อจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นประเด็นสำคัญ
เขาอดกลั้นลมหายใจไม่ได้ เอ่ยอย่างจริงใจ “เจ้าวางใจ ข้าไม่บอกใครทั้งนั้น แม้แต่อาอันก็ไม่บอกเช่นกัน”
เผยเยี่ยนยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยามนี้ค่อยกล่าว “ภายหลังหญิงสาวผู้นั้นไปได้ดีกับผู้ดูแลหมู่บ้าน จึงเป็นฝ่ายขอหย่า…”
ในสมองของเถาชิงเกิดเสียงดัง ‘วิ้ง’ ขึ้นมาอยู่พักหนึ่ง
เขารู้เพียงว่าเฟ่ยจื้อเหวินไม่มีลูก ทั้งไม่ได้รับอนุภรรยา ยังคิดว่าเฟ่ยจื้อเหวินรักใคร่ภรรยาอย่างลึกซึ้งมาโดยตลอด คาดไม่ถึงว่า…
เถาชิงรู้สึกลำคอบีบรัด พูดอะไรไม่ออก
เผยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมา แววตาที่ราบเรียบกลับแฝงความเงียบเหงา เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่ แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยคิดว่าจะหาหญิงสาวที่ไม่ได้มาจากสกุลใหญ่ของเจียงหนานเป็นภรรยา…ข้าไม่รู้…”
ไม่รู้ว่าเขาสามารถเดินร่วมทางไปกับคนผู้นี้ได้หรือไม่
ทั้งไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเข้าใจเขาหรือไม่ ยินดีหรือไม่ยินดีที่จะเดินร่วมทางไปกับเขา
เขากลัวว่าเขาจะกระตือรือร้นอยู่ฝ่ายเดียว ยิ่งไปกว่านั้นคือกลัวว่าจะลากหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องราวลงน้ำมาด้วยกัน
เถาชิงชาหนึบที่หนังศีรษะไปหมด
เรื่องความรู้สึกเช่นนี้ จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ล้วนผิดทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเผยเยี่ยนยังเป็นคนที่มีความคิดอย่างยิ่ง
ไม่แน่ว่าเขาจะตัดสินใจไว้นานแล้ว เพียงแค่อยากให้คนเห็นด้วยกับความคิดเขา เพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้ผิดจนไร้เหตุผลเกินไป อาศัยเรื่องนี้เป็นข้ออ้าง เพื่อปลอบใจตัวเองเท่านั้น
แต่เขาก็จำเป็นต้องแสดงความเห็นออกไป
เขากลัวว่าหากเกิดผลลัพธ์อะไรไม่ดีขึ้นมา เผยเยี่ยนจะนำความผิดทั้งหมดไว้ที่ตัวเอง ไม่อาจหาทางปีนขึ้นมาจากโคลนลึกได้อีก
คนอย่างเฟ่ยจื้อเหวิน ไม่มีทายาท ทั้งไม่รับอนุภรรยา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เข้าหอน้ำชาโรงสุรา ว่ากันว่าเคร่งครัดยิ่งกว่าพระสงฆ์ด้วยซ้ำ…
เถาชิงคิดอย่างว่องไว ยังไม่กล้าจะให้เผยเยี่ยนมองออก ตึงเครียดจนบีบมือแน่นกลายเป็นหมัด
“เรื่องของความรัก ใครก็พูดไม่ชัดเจนทั้งนั้น สถานการณ์ของทุกคนไม่เหมือนกัน” เขาเอ่ยกำกวม “เจ้าต้องพูดกับข้าว่าเจ้าคิดอย่างไร ข้าจึงจะช่วยแนะนำเจ้าได้!”
————————
[1]เหล่าจวง เป็นแนวคิดปรัชญาที่ใช้เรียกรวมกันระหว่างแนวคิดของเหล่าจื่อและจวงจื่อ