ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 279 ตัดสินใจ
เผยเยี่ยนเป็นคนที่ตั้งแต่เด็กก็รู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร
เขาย่อมรู้ว่าตัวเองอยากได้สิ่งใด!
แต่เพราะว่ารู้แล้ว เขาจึงไม่รู้จะพูดออกไปอย่างไรดี
เถาชิงเห็นเขาเงียบไปพักใหญ่ ในใจก็คาดเดาได้อยู่บ้าง
หากเผยเยี่ยนเพียงอยากรับคุณหนูอวี้ผู้นั้นเป็นอนุภรรยา ก็คงไม่ครุ่นคิดมากมายเพียงนี้หรอก ย่อมเป็นเพราะว่าเผยเยี่ยนวางแผนจะแต่งคุณหนูอวี้ผู้นั้นเป็นภรรยา ดังนั้นจึงได้วิตกกังวลกับผลได้ผลเสีย ตัดสินใจไม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
นี่ก็เข้ากับความเคยชินในการทำเรื่องของเผยเยี่ยนพอดี
เช่นนั้นเขาก็ต้องมองจากมุมมองของการแต่งภรรยา พูดคุยถึงความเป็นไปได้กับเผยเยี่ยนในเรื่องนี้
เถาชิงครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ท่านแม่เฒ่ามีการวางแผนอะไรกับงานแต่งของเจ้าบ้างหรือไม่?”
คนเป็นแม่ จะไม่คาดหวังงานแต่งของลูกชายได้อย่างไร
แต่หากเผยเยี่ยนมีชีวิตอยู่บนความคาดหวังของพ่อแม่ เขาก็คงไม่ดื้อรั้นเช่นนี้หรอก ทั้งไม่อาจลังเลในเรื่องแบบนี้เช่นกัน
เขาเอ่ยว่า “ดังนั้นข้าจึงกังวลว่านางจะยินดีร่วมเดินไปกับข้าหรือไม่”
งานแต่งที่ไม่ได้รับการอวยพรจากพ่อแม่ ความกดดันของเขาอาจจะมากกว่าอวี้ถัง…อวี้ถังได้รับความไม่เป็นธรรมสามารถระบายกับเขาได้ พร่ำบ่นกับเขาได้ ให้เขาช่วยแก้ไขปัญหาได้ แต่เขาจะสามารถพูดกับใครได้? กลัวก็แต่ว่าจะเหมือนเฟ่ยจื้อเหวิน เขาพยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจทำทุกวิถีทาง อีกฝ่ายกลับเกิดความคิดอยากจะไปตั้งนานแล้ว
ในใจของเจ้า ข้ากลับไม่ใช่คนที่สามารถปกป้องเจ้าอย่างมั่นคงเด็ดเดี่ยว ความไม่เชื่อใจเช่นนี้ เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าอะไรดี
เผยเยี่ยนถอนหายใจแผ่วเบา
เถาชิงย้อนคิดเรื่องทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวกับคุณหนูอวี้อย่างละเอียด
แต่เขาและคุณหนูอวี้ไม่ค่อยได้คบค้าสมาคมกันจริงๆ ในภาพจำของเขา นอกจากคุณหนูอวี้จะมีรูปลักษณ์งดงามแล้ว ดวงตาคู่นั้นก็มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่มีความประทับใจอะไรแล้ว
หรือว่าควรจะเกลี้ยกล่อมเผยเยี่ยนให้ยอมแพ้?
ความคิดนี้วาบผ่านขึ้นมาในสมองเถาชิงก่อนจะถูกเขาสลัดทิ้งไป
เขาไม่ได้ติดต่อเผยเยี่ยนมากี่ปีแล้ว ท่านผู้เฒ่าเผยก็จากไปอย่างกะทันหัน แม้เผยเยี่ยนจะรับช่วงต่อเป็นผู้นำสกุลเผย แต่นิสัยของเขากลับยังชอบต่อต้านเหมือนเมื่อก่อน เจ้าบอกให้เขาไปตะวันออก เขาก็จะไปตะวันตก เช่นนั้นหากเถาชิงคิดว่างานแต่งครั้งนี้ไม่เหมาะสม คาดว่าเผยเยี่ยนก็จะยิ่งยืนหยัดในเรื่องนี้
เถาชิงรีบเอ่ยหยั่งเชิง “ทุกคนล้วนแตกต่างกัน ใช่ว่าคุณหนูอวี้จะเหมือนกับภรรยาของใต้เท้าเฟ่ยเสมอไป เจ้าก็อย่าได้ตีตนไปก่อนไข้ กังวลจนเกินเหตุ”
เผยเยี่ยนผงกศีรษะเล็กน้อย
เถาชิงเห็น ก็ลอบสั่นศีรษะในใจ
เห็นได้ชัดว่าเผยเยี่ยนตัดสินใจแล้ว พูดคุยเรื่องพวกนี้กับเขา แปดถึงเก้าในสิบก็เพียงแค่ระบายความในใจเท่านั้น
ยามนี้เขาไม่กล้ายั่วโมโหเผยเยี่ยนอีกแล้ว
เถาชิงเอ่ยอย่างครุ่นคิด “แต่คุณหนูอวี้เป็นคนอย่างไร พวกเราก็ไม่รู้แน่ชัด ไม่ใช่ว่าคุณหนูอวี้มาหังโจวเป็นเพื่อนคุณหนูสวีหรอกหรือ? ไม่อย่างนั้น เจ้าก็ลองทำความรู้จักกับคุณหนูอวี้ดู? เมื่อเป็นเช่นนี้ ภายหลังเจ้าทำเรื่องอะไรก็จะเตรียมพร้อมได้ อย่างไรก็สามารถรับประกันได้บ้าง”
แม้ปากเขาจะพูดเช่นนั้น ในใจกลับรู้สึกผิดต่ออวี้ถังไม่น้อย
เป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเป่าหูเผยเยี่ยนให้ไปพบปะพูดคุยกับอวี้ถังส่วนตัว แต่เทียบกับทั้งสองฝ่ายแล้ว เขาย่อมเข้าข้างเผยเยี่ยนมากกว่า ทำได้เพียงรู้สึกผิดต่อคุณหนูอวี้เท่านั้น
ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนได้ยินกลับตาเป็นประกาย ชั่วขณะนั้นสีหน้ามืดครึ้มก็สว่างขึ้นมา เอ่ยกับเถาชิงอย่างดีใจ “พี่ใหญ่ มาพูดกับท่านเป็นเรื่องที่ถูกจริงๆ ไฉนข้าจึงนึกไม่ถึงกัน? ก่อนหน้าที่จะเชิญแม่สื่อมาสู่ขออย่างเป็นทางการ ข้าควรถามความต้องการของคุณหนูอวี้เสียหน่อย นางเป็นคนเข้มแข็ง ฉลาดหัวไว ทั้งยังเจ้าแผนการ หากนางรับปาก ย่อมสามารถเดินร่วมทางไปด้วยกันได้แน่”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ตื่นตัวขึ้นมา ผุดลุกขึ้น เริ่มเดินไปเดินมาในศาลา เดินไปพลาง เอ่ยไปพลาง “พี่ใหญ่พูดถูก ทุกคนล้วนแตกต่างกัน เรื่องของสกุลเฟ่ย ข้าก็ไม่ได้เข้าใจมากมาย เป็นศิษย์พี่เฟ่ยที่ดื่มจนเมาแล้วพร่ำบ่นกับข้า ข้าก็เพียงฟังคำไม่กี่คำของเขาเท่านั้น คุณหนูอวี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว! นอกจากนางจะกล้าพูดกล้าทำ ยามนี้สิ่งที่สำคัญคือข้าต้องทำให้นางเห็นด้วย แต่ว่าข้าจะทำให้นางเห็นด้วยได้อย่างไร?”
คำพูดของเผยเยี่ยนพาให้เถาชิงปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาพักใหญ่
แต่เขายังจะมีวิธีอะไรอีก?
นี่เป็นความคิดที่เขาเสนอออกมา
หากว่า…เผยเยี่ยนไม่สร้างปัญหาให้เขา ก็คงเป็นท่านแม่เฒ่าแทน
อย่างไรเขาก็ทำเป็นเมินเฉยไม่ได้ วิ่งหนีไม่พ้น
เช่นนั้นก็มิสู้ช่วยเผยเยี่ยนให้ทำสำเร็จ
อย่างน้อยก็ไม่ได้ล่วงเกินทั้งสองคน
เขาปล่อยไปตามยถากรรมอยู่บ้าง เอ่ยว่า “นี่ก็เหมือนกับการทำกิจการของพวกเรา ขอเพียงแค่ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน เช่นนั้นก็ย่อมพูดไปทางเดียวกันได้”
ผลประโยชน์ร่วมกัน!
เผยเยี่ยนไม่ชอบวิธีพูดเช่นนี้
เถาชิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมากกว่าเดิม
เขาเอ่ยว่า “ข้ายกตัวอย่างขึ้นมาเท่านั้น เหมือนกับงานแต่งของอาอัน ข้าก็อยากหาผู้ที่สามารถช่วยเหลือเขาในเส้นทางขุนนาง กลับไม่อาจให้อาอันพึ่งพาสกุลพวกเขาทุกเรื่องได้ ดังนั้นสะใภ้ของอาอันจึงเป็นลูกสาวของสกุลใหญ่ที่เพิ่งมีชื่อเสียงมาสองรุ่นเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนก็สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ทั้งสามารถปกป้องดูแลกัน สกุลภรรยาของอาอันก็คิดเช่นนี้ หวังจะหาลูกเขยที่สกุลมีเบื้องหลังและเส้นสาย พวกเราสองสกุลมีผลประโยชน์ร่วมกัน งานแต่งเช่นนี้จึงเป็นนับเป็นเรื่องดี”
เช่นนั้นก็ไม่ควรพูดว่า ‘ผลประโยชน์ร่วมกัน’ กล่าวว่า ‘มีเป้าหมายร่วมกัน’ ไม่ได้อย่างนั้นรึ?
เผยเยี่ยนยังคงไม่พอใจ เพียงแต่เถาชิงเริ่มถามเรื่องสกุลอวี้ขึ้นมา เขาจึงไม่มีใจ ทั้งไม่มีเวลาจะไปแก้ไขอะไรให้เถาชิงแล้ว “ครอบครัวของคุณหนูอวี้มีใครบ้าง? พ่อของนางเป็นคนอย่างไร? มีความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านใกล้เคียงหรือไม่?”
สรุปแล้วยังคงถามมากมายก่ายกอง
เผยเยี่ยนจึงเล่าเรื่องในสกุลของอวี้ถังให้เถาชิงฟังคร่าวๆ
เถาชิงจึงเอ่ยว่า “เจ้าดูสิ หากสกุลอวี้จะแต่งลูกเขยเข้าสกุลให้ได้ เจ้าจะดีเลิศสมบูรณ์แบบขนาดไหน คนเขาก็ไม่อาจเห็นด้วย เจ้าต้องแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้ก่อน ส่วนคุณหนูอวี้ หากนางอยากแต่งกับคนที่รู้เรื่องกิจการ ผู้ที่สามารถควบคุมดูแลเรื่องในสกุลแทนนางได้ เจ้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว แต่หากนางอยากแต่งให้บัณฑิต เจ้าย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด” ขณะที่พูด แววตาที่เขามองเผยเยี่ยนก็จริงจังขึ้นมา คล้ายว่ามองเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าเผยเยี่ยนไม่ชอบวิธีพูดที่ว่า ‘ผลประโยชน์ร่วมกัน’ แต่ก็ยังอดหยอกเย้าเผยเยี่ยนไม่ได้ “นี่ยังไม่ใช่ ‘ผลประโยชน์ร่วมกัน’ อีกรึ? ดังนั้นจึงพูดว่าไม่ว่าจะเรื่องอะไรล้วนต้องหาวิธีที่ถูกต้อง เมื่อวิธีสอดคล้องกันแล้ว ทุกอย่างก็จะสำเร็จ เจ้าวางใจก็เพียงพอแล้ว”
เผยเยี่ยนพยักหน้าระรัว ในใจกลับวางแผนอย่างว่องไว
ทางอวี้เหวินยังพูดง่าย สกุลพวกเขากล่าวว่าจะรับลูกเขยเข้าสกุล ย่อมมิพ้นกลัวว่าลูกสาวแต่งออกไป จะไม่มีพี่น้องคอยช่วยเหลือ ถูกรังแกในสกุลสามีไม่มีคนคอยหนุนหลัง ยิ่งไปกว่านั้นอยากจะหาคนมารับช่วงต่อกิจการของสกุล อวี้เหวินและอวี้หย่วนล้วนเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างยิ่ง ถึงเวลานั้นพูดสองปัญหานี้ให้กระจ่างก็พอแล้ว อวี้เหวินย่อมยอมรับงานแต่งในครั้งนี้
แต่ทางอวี้ถังกลับเป็นเรื่องยากอยู่บ้าง
ตกลงนางชอบคนแบบไหน มีความคิดกับงานแต่งของตัวเองอย่างไร เขาไม่ทราบอะไรเลย แต่เถาชิงก็บอกแล้ว ฉวยโอกาสนี้เป็นฝ่ายทำความรู้จักกับคุณหนูอวี้เสียหน่อย ก็จะรู้ทุกเรื่องแล้วไม่ใช่รึ
เผยเยี่ยนมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม คิดว่าเขาย่อมไม่เป็นเหมือนเฟ่ยจื้อเหวิน
แน่นอนว่า ภรรยาของเฟ่ยจื้อเหวินผู้นั้นก็คงไม่ใช่คนดีอะไร ใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้ หย่ากันก็พอแล้ว ยังจะไปอยู่กับผู้ดูแลหมู่บ้านผู้นั้นก่อนถึงค่อยมาขอหย่า ไม่แปลกใจที่เฟ่ยจื้อเหวินจะหงอยเหงาเศร้าซึม หากเปลี่ยนเป็นเขา คงคิดจะฆ่าตัวตายเสียด้วยซ้ำ
เผยเยี่ยนนั่งไม่ติดที่อยู่บ้าง เขาอยากส่งเถาชิงแล้วออกไปพบอวี้ถังเร็วๆ ดีที่เขายังไม่ถึงกับเลอะเลือน ยังมีสติถามเถาชิงว่ามาหาเขามีเรื่องอันใด
เถาชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทางหวังชีเป่าข้าตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว เย็นนี้อยากจะชวนเจ้าไปกินข้าวด้วยกัน ก็ไม่รู้ว่าเจ้ามีเวลาว่างหรือไม่?”
เขาไม่อยากจะออกไปข้างนอกแม้แต่น้อย
แต่เถาชิงเพิ่งช่วยเหลือเขาครั้งใหญ่ ทั้งยังเป็นคนที่เขาให้ความเคารพ เขาทำได้เพียงรับปาก ยังถามเถาชิงว่า “จะให้เรียกพี่รองอินไปด้วยหรือไม่?”
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะมีคนดื่มสุราแทนเขาด้วย
ยามที่เขากลับมายังสามารถไปพบอวี้ถังได้
เรื่องที่เถาอันช่วงชิงตำแหน่งผู้ตรวจการเจียงซี อินเฮ่าก็เป็นธุระวิ่งเต้นให้สกุลเถาเช่นกัน ย่อมต้องชวนไปด้วย
เผยเยี่ยนเอ่ยทันที “ข้าจะให้คนไปเรียกเขาเข้ามาเดี๋ยวนี้”
ผลปรากฏว่าอินเฮ่ายังเขียนเทียบเชิญไม่เสร็จ อาฉาจึงรอเขาอยู่ด้านนอก
นายหญิงสามสกุลหยางรู้ว่าตอนเย็นเขาต้องไปดื่มสุรา กลัวว่าเขาจะปล่อยตัวปล่อยใจโดยไม่สนอะไร รีบกำชับเขาว่า “เย็นนี้เจ้าดื่มน้อยๆ หน่อย พรุ่งนี้ยังต้องพบกับคนของสกุลกู้ จวนที่ซื้อใหม่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ”
อินเฮ่ารู้สึกหัวหมุนไปหมด จึงฝากฝังนายหญิงสามสกุลหยาง “ท่านให้ข้าไปดูจวน ข้าก็ดูอะไรไม่ออก มิสู้ท่านตัดสินใจแทนข้าก็พอแล้ว ทางสยากวงคงรอจนร้อนใจแล้ว ข้ารีบล่วงหน้าไปเสียหน่อยดีกว่า”
พูดจบก็วิ่งหายวับไปทันที
นายหญิงสามสกุลหยางอับจนหนทาง ทิ้งคุณหนูสวีและอวี้ถังให้อยู่ในเรือน วางแผนเรื่องที่จะพบปะกับสกุลกู้ในวันพรุ่งนี้ นางให้ผู้ดูแลสี่ไปดูจวนเป็นเพื่อน ยุ่งจนถึงยามเย็นจึงค่อยกลับมาอย่างหิวโหย
คุณหนูสวีและอวี้ถังกินข้าวเย็นแล้ว กำลังนั่งรับลมเย็นบนเก้าอี้ในห้อง ทั้งถักเชือกพูดคุยกันไปพลาง “หากในอนาคตคุณหนูอินไม่อยู่ที่เมืองหลวง ประตูจวนของสกุลในเมืองหลวง กู้เจาหยางย่อมเข้าไปไม่ได้ ถึงเวลานั้นจะเป็นปัญหาอย่างยิ่ง ข้าไม่สนใจคนอื่นหรอก แค่อยากรู้ว่าเจ้าจะสามารถเข้าเมืองหลวงได้อย่างไร? ไม่อย่างนั้น สกุลพวกเจ้าก็เปิดร้านค้าเครื่องลงรักแห่งหนึ่งในเมืองหลวงสิ? สามารถนำป้ายชื่อของอินหมิงหย่วนไปศาลาว่าการ พวกเขาก็จะไม่กล้าหาเรื่องสกุลพวกเจ้าแล้ว ทั้งรอเจ้าไปเมืองหลวง ก็จะรู้จักคนมากขึ้น อยากหาลูกเขยที่ตรงใจเข้าสกุลก็จะเป็นเรื่องง่ายอยู่บ้าง หลินอันยังคงเล็กเกินไป คนที่มีความสามารถล้วนออกไปกันหมด”
อวี้ถังกลับไม่ได้มีความทะเยอทะยานถึงเพียงนั้น นางเพียงหวังให้พวกคนที่เคยทำร้ายนางในชาติก่อนได้รับกรรมก็เท่านั้น
นางได้ยินก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าตัดสินใจได้ ทั้งเมืองหลวงก็อากาศเย็นเกินไป ข้ากลัวปรับตัวกับที่นั่นไม่ได้ สกุลของพวกเราอย่างมากก็คิดจะเปิดร้านที่หังโจวเท่านั้น เมืองหลวงยังคงไกลเกินไป”
คุณหนูสวีเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปหาเผยสยากวง หากไม่ใช่เขาพูดขึ้นมา พวกเราก็ยังไม่รู้ว่าใต้เท้าฉินต้องโยกย้ายไปเมืองหลวง ข่าวสารของเขาฉับไวอย่างยิ่ง เจ้าไปขอป้ายชื่อจากเขา ทำกิจการในเมืองหังโจว ก็คงไม่มีคนกล้าท้าทายสกุลพวกเจ้าแล้ว”
นั่นก็ต้องดูว่ากิจการของเจียงเฉาสามารถหาเงินได้เท่าใด
หากมีเงินทุนเพียงพอ สกุลพวกเขาก็คงเปิดกิจการที่หังโจวอีกแห่งหนึ่ง
อวี้ถังขบคิด เมื่อเงยหน้าก็พบนายหญิงสามสกุลหยางเดินเข้ามาโดยมีสาวใช้คอยประคอง
นางรีบหยัดกายขึ้นทักทายนายหญิงสามสกุลหยางด้วยรอยยิ้ม ถามนางว่ากินข้าวเย็นแล้วหรือยัง เมื่อทราบว่านางยังไม่ได้กิน ก็ให้อาฝูไปกำชับคนในครัว ทั้งยืนถามนายหญิงสามสกุลหยางว่าเรื่องราวราบรื่นดีหรือไม่ ตัดสินใจซื้อจวนแห่งใด ยามนี้จึงค่อยกล่าวลา
นายหญิงสามสกุลหยางนับวันก็ยิ่งชอบอวี้ถังขึ้นเรื่อยๆ ครุ่นคิดว่ารอจนเรื่องงานหมั้นของสองสกุลแล้วเสร็จ ก็จะช่วยหาคนดีๆ ให้อวี้ถังสักคน
คุณหนูสวีย่อมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ด้านอวี้ถังที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเพิ่งกลับมาถึงห้องก็ทราบว่าเผยเยี่ยนต้องการพบนาง ยามนี้กำลังนั่งรออยู่ในห้องโถง
อวี้ถังถามชิงหยวนที่มารายงานนางด้วยความสงสัย “ไม่ใช่ว่านายท่านสามออกไปดื่มสุรากับนายท่านใหญ่สกุลเถาและใต้เท้าอินหรอกรึ?”
ไฉนยังมาพบนางในเวลานี้ได้อีก?