ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 283 บรรลุเป้า
ใจของเผยเยี่ยนพะวงอยู่แต่กับอวี้ถัง เขาพยายามเร่งสุดฝีเท้า อุตส่าห์กลับถึงเรือนทันยามเซินพอดี แต่เพิ่งรู้ว่าอวี้ถังตามนายหญิงสามสกุลหยางกับคุณหนูสวีไปที่คฤหาสน์หลังใหม่ของสกุลอินจนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา
แม้ในใจเขาจะพร่ำบ่นว่า ‘ก็แค่จัดของบ้านใหม่เท่านั้น ต้องใช้เวลามากมายเพียงนั้นเชียวรึ’ แต่ความจริงก็พอจะเข้าใจ เวลาที่พวกนางตกแต่งห้องขึ้นมา แม้ต้องใช้เวลาทั้งวันก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
แล้วเขาต้องไปดูสักหน่อยหรือไม่?
เผยเยี่ยนร้อนรนอยากพุ่งไปเต็มแก่
แต่ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสม…อาจเพราะเขารู้สึกกระดากอยู่เล็กน้อย
ทางนั้นมีนายหญิงสามสกุลหยางอยู่ด้วย หากเขาไปหาอย่างมากก็ทำได้แค่มองอวี้ถังสักหลายที ทว่าอวี้ถังก็ยังไม่รู้ถึงสิ่งที่เขาคิดอยู่ดี
เขานึกถึงเรื่องที่ตนขอโทษอวี้ถังไปครั้งก่อน ในใจพลันอึดอัดกระสับกระส่าย
แต่ถ้าให้เขารออยู่เฉยๆ เขาก็ไม่อาจสงบใจได้
แล้วต้องทำอย่างไรเล่า?
เผยเยี่ยนนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องหนังสือ สีหน้ามึนตึง จนสาวใช้และเด็กรับใช้ในห้องไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
โชคดีที่ทางเมืองหลวงส่งจดหมายมา เขามุ่นคิ้วก่อนไล่คนทั้งหมดออกไป มือเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นด้านหลัง เก็บตัวอยู่ในห้องลำพัง แล้วเปิดหนังสือเทียบลำดับก่อนหลังตามที่ตกลงกันไว้ เพื่อแปลสารในจดหมายออกมา
คนที่ส่งจดหมายมาคืออาจารย์ของเขาเอง อดีตเจ้ากรมขุนนางซึ่งเกษียณอายุแล้วนามว่าจางอิง
เขาบอกให้เผยเยี่ยนกับเผยเซวียนเดินทางไปเมืองหลวงหลังจากออกไว้ทุกข์แล้ว
เผยเยี่ยนไม่ละสายตาจากจดหมาย เป็นนานกว่าจะยันตัวลุกขึ้น หยิบโถกระเบื้องใบน้อยออกมา แล้วจุดเผากระดาษโยนทิ้งลงไป
ลองคำนวณเวลาดู ตอนนี้โจวจื่อจินน่าจะยังเดินทางไม่ถึงเมืองหลวง
แต่เขาให้นกพิราบส่งสารไปบอกเล่าแผนการเดินทางของโจวจื่อจินให้จางอิงฟังก่อนแล้ว
จางอิงยังเรียกตัวเขาเข้าเมืองหลวงอีก ทั้งยังให้พาพี่ชายของเขาไปด้วย
อาจารย์คิดจะใช้งานสกุลเผยอีกครั้งอย่างนั้นรึ?
แต่เขาเคยรับปากกับบิดาที่จากไป ว่าจะอยู่ดูแลกิจการของสกุลที่บ้านเกิด ปกป้องคนในครอบครัว…
อารมณ์ของเผยเยี่ยนไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก
ผู้ดูแลสี่เข้ามาถามเขาว่า “ก่อนหน้านี้ท่านให้เรียกตัวพ่อบ้านหูมาที่นี่ พรุ่งนี้เด็กในร้านจะเดินทางกลับเมืองหลินอัน ท่านจะให้ถือจดหมายไปหรือไม่ขอรับ?”
เผยเยี่ยนนึกถึงเรื่องสวนป่าของอวี้ถังขึ้นมาได้
เขาขมวดคิ้วเป็นปม “บอกเขามอบงานที่วัดเจาหมิงให้ผู้อื่นดูแล แล้วรีบเดินทางมาหังโจว”
ผู้ดูแลสี่ค้อมตัวรับคำสั่ง ก่อนจะล่าถอยออกไป
เผยเยี่ยนไม่มีกะใจนั่งในห้องหนังสือต่อ เขาไปเดินเล่นที่ทะเลสาบน้อยซึ่งอยู่ด้านหลัง ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง แต่คนกลับไม่ได้ทันสังเกตเห็น
พวกอวี้ถังกลับมาถึงก่อนเวลาที่ตั้งใจเอาไว้มาก นายหญิงสามสกุลหยางพอเข้าประตูมาก็เรียกหาผู้ดูแลสี่ทันที แล้วถามถึงเผยเยี่ยนว่า “เขากินอาหารเย็นแล้วหรือไม่? พวกเราตอนนี้ไปหาเขาจะสะดวกหรือเปล่า?”
ผู้ดูแลสี่เหลือบมองอวี้ถังอย่างรวดเร็วทีหนึ่ง ค่อยตอบว่า “หลังจากที่นายท่านสามกลับมาจากหอชุนเฟิงก็เก็บตัวอยู่คนเดียว ตอนนี้กำลังเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบด้านหลัง ยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลยขอรับ ข้าก็กำลังกลุ้มใจว่าจะทำเช่นไรดี?”
ความหมายก็คือ ให้นายหญิงสามสกุลหยางตัดสินใจเอง ว่าจะให้เขานำความไปแจ้งต่อเผยเยี่ยนหรือไม่
อวี้ถังประหลาดใจ จึงถามอย่างอดไม่ได้ว่า “เย็นขนาดนี้แล้ว นายท่านสามยังไม่ได้กินข้าวอีกรึ?”
ในสายตานาง เผยเยี่ยนเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับตนเองมาก นี่คงเพราะเจอเรื่องอะไรมาอีกเป็นแน่ ถึงได้ไม่สนใจกินมื้อเย็นแบบนี้
นายหญิงสามสกุลหยางก็แปลกใจไม่แพ้กัน
อวี้ถังเป็นคุณหนูที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี แต่พอได้ยินว่าเผยเยี่ยนยังไม่รับมื้อเย็น คนกลับเสียกิริยาสอดปากถามก่อนนางเสียอีก
เมื่อคิดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างอวี้ถังกับเผยเยี่ยนแล้ว นางก็คิดถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง
นายหญิงสามสกุลหยางหันไปมองคุณหนูสวี
คุณหนูสวีกลับวางท่าเฉย แต่เล็กนางก็เติบโตท่ามกลางผู้คนที่ประคบประหงมเอาใจ เช่นอวี้ถังที่พูดจาตามสบายแบบนี้ ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วยซ้ำ นางถึงไม่ทันสังเกตเห็นสายตาที่นายหญิงสามสกุลหยางส่งมาให้ ทั้งนางก็สงสัยไม่ต่างจากอวี้ถัง จึงได้ถามออกไปว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?”
ผู้ดูแลสี่ไม่มีทางวิจารณ์เรื่องของเผยเยี่ยนลับหลังอยู่แล้ว เพียงตอบว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบ นายท่านสามไม่พูดไม่จามาตลอดบ่ายแล้วขอรับ”
คนสกุลอินไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองหังโจว แม่สื่อที่อินเฮ่าพาไปด้วย เป็นคนที่นายหญิงสามสกุลหยางให้ฮูหยินของฉินเหว่ยช่วยหาให้ นายหญิงสามสกุลหยางสนใจความเป็นไปของงานเกี่ยวดองระหว่างสกุลอินกับสกุลกู้มาก จึงส่งคนตามประกบแม่สื่อตั้งแต่แรกแล้ว ที่หอชุนเฟิงทางนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง การหมั้นหมายของอินเฮ่ากับสกุลกู้ยังไม่ทันจบตามขั้นตอนดี นางก็รู้เรื่องหมดแล้ว
คุณหนูสวีกับอวี้ถังติดตามอยู่ข้างกายนายหญิงสามสกุลหยาง นายหญิงสามสกุลหยางรู้เรื่องตอนไหน พวกนางก็รู้พร้อมกันตอนนั้น
สามคนได้ฟังเช่นนั้นก็หันมาสบตากัน
นายหญิงสามสกุลหยางสังหรณ์ใจว่าเผยเยี่ยนมากกว่าครึ่งคงเพราะกังวลเรื่องงานแต่งสองสกุล จึงรีบเอ่ยว่า “รบกวนท่านช่วยไปแจ้งต่อนายท่านสามสักคำ หากว่าวันนี้นายท่านสามไม่สะดวก พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปพบก็ได้”
ผู้ดูแลสี่ก็ห่วงอยู่ตลอดกลัวว่านายท่านสามจะไม่สบอารมณ์ บัดนี้มีคนขอพบเขา ตนจึงยินดีเป็นที่สุด
ใครจะคิดว่าพอนายท่านสามได้ยินว่านายหญิงสามสกุลหยางกลับมาแล้ว ก็รีบเชิญพวกนางไปพูดคุยที่ห้องรับแขกข้างทะเลสาบทันที
ผู้ดูแลสี่ทางหนึ่งรีบไปส่งข่าว ทางหนึ่งก็ขบคิดไม่หยุดว่าทำไมเผยเยี่ยนต้องไปเจอพวกนายหญิงสามสกุลหยางที่ห้องรับแขกข้างทะเลสาบด้วย
หรือเพราะที่แห่งนั้นไม่เพียงทิวทัศน์สวยงาม ทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากที่พักของนายหญิงสามสกุลหยาง
ผู้ดูแลสี่เค้นสมองอยู่ครึ่งวันก็ยังไม่ได้คำตอบ พวกนายหญิงสามสกุลหยางกลับมารออยู่ตรงหน้าแล้ว เขาได้แต่โยนเรื่องนั้นทิ้งไปก่อน แล้วพาพวกนายหญิงสามสกุลหยางไปพบเผยเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม
พอพวกนางไปถึง เผยเยี่ยนก็จัดการห้องรับแขกเรียบร้อยแล้ว ทั้งน้ำชา ขนมและผลไม้ต่างวางไว้เสร็จสรรพ
เผยเยี่ยนมองอวี้ถังทีหนึ่ง เห็นดวงหน้ายิ้มแย้มของนาง ดวงตาก็วูบแสงพอใจ แล้วเอ่ยกับนายหญิงสามสกุลหยางว่า “วันนี้ลำบากท่านแล้ว! ข้าได้ยินจากเด็กรับใช้ว่าท่านยังไม่ได้กินข้าวเย็น ข้าก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน จึงเชิญพวกท่านมากินข้าวและพูดคุยกันที่นี่เสียเลย ท่านจะได้รีบกลับไปพักผ่อน”
นายหญิงสามตอบรับด้วยความยินดี ในใจก็คิดว่า มิน่าใครๆ ต่างก็บอกว่าเผยเยี่ยนเป็นคนละเอียดใส่ใจ มิใช่เพียงข่าวลือจริงๆ สินะ
ทุกคนแยกย้ายกันนั่งตามลำดับศักดิ์ จิบชาไปหลายอึก กินผลไม้อีกสองสามอย่าง บรรยากาศก็เริ่มกลมเกลียว นายหญิงสามสกุลหยางจึงเอ่ยถึงเจตนาการมาของนางทันที “เหตุการณ์ที่หอชุนเฟิงข้าได้ยินมาแล้ว จึงอยากมาขอบคุณเจ้าโดยเฉพาะ…พี่รองอินของเจ้าไม่เคยสนใจธุระพวกนี้ ยากจะเลี่ยงทำผิดพลาดได้ หากมิใช่เจ้าเตือนสติ วันนี้เขาคงก่อเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
เผยเยี่ยนไม่เข้าใจ หันไปมองอวี้ถังทีหนึ่ง
อวี้ถังคิดถึงคำบอกเล่าของคนที่นายหญิงสามสกุลหยางสั่งให้ติดตามไปหอชุนเฟิงด้วย ก็เม้มปากยิ้มๆ
ตะวันลับฟ้าไปแล้ว แต่นัยน์ตาของนางพร่างพราวไม่ต่างกับดวงดาวเลย
เผยเยี่ยนเสียสมาธิ ตอนที่ดึงสติกลับมาอีกครั้งก็ไม่รู้แล้วว่านายหญิงสามสกุลหยางกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
เห็นว่านายหญิงสามสกุลหยางยิ้มรอคำตอบจากเขา ใบหูพลันร้อนฉ่าขึ้นมา ได้แต่แสร้งเอ่ยไปว่า “ท่านก็คือว่า…”
นายหญิงสามสกุลหยางนึกว่าตนพูดจาอ้อมค้อมเกินไป จึงหัวเราะแล้วเอ่ยอย่างไม่ปิดบังว่า “ข้ารู้ สินเดิมของเจ้าสาวไม่ควรแจกแจงให้ชัดเจนเพียงนั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าสาวยังไม่ทันแต่งเข้าบ้านสามี กลับทำให้คนบ้านสามีต้องระแวงใจเสียแล้ว วันข้างหน้าก็มีแต่จะเย็นชาใส่กันมากขึ้น แต่สถานการณ์ของสกุลกู้ไม่เหมือนกัน บิดาของใต้เท้ากู้ไม่เอาอ่าว พวกเรายอมเป็นคนเลว ดีกว่าให้เจ้าสาวแต่งเข้าไปแล้วต้องมาผิดใจกับบิดาและมารดาเลี้ยงของใต้เท้ากู้เพียงเพราะเรื่องสินเดิมนี้”
เผยเยี่ยนเพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้นายหญิงสามสกุลหยางมาขอบคุณเขาที่เอ่ยเตือนอินเฮ่าว่าต้องหารือเรื่องสินเดิมของเจ้าสาวกับสกุลกู้ให้ชัดเจนตั้งแต่แรก
เขาไม่คิดเช่นนั้น จึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณหนูอินก็นับเป็นน้องสาวข้าคนหนึ่ง อย่างไรข้าก็ต้องยืนฝั่งเดียวกับนางอยู่แล้ว”
นายหญิงสามสกุลหยางพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ตอนที่เหล่าคุณหนูรุ่นก่อนออกเรือนไป ไม่ว่าใต้เท้าจางหรือใต้เท้าหลี ตอนนั้นล้วนยังบากบั่นเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษา ผู้อาวุโสในสกุลอยากยื่นมือช่วยเหลือ แต่ก็กลัวจะเป็นการหมิ่นเกียรติลูกเขย ถึงไม่เคยมีข้อตกลงเรื่องสินเดิมมาก่อน ก็เพราะอยากให้บุตรเขยใช้ชีวิตอย่างสบายขึ้นมาหน่อย ทุ่มเทความคิดไปกับการเล่าเรียนเท่านั้น ส่วนที่ใต้เท้ากู้เกี่ยวดองกับสกุลข้า เขาตอนนี้มีทั้งชื่อเสียงและฐานะแล้ว เรื่องบางอย่างสมควรตกลงไว้ล่วงหน้าถึงจะดี”
แต่ข้อตกลงที่ว่านี้ หากกู้ฉ่างเป็นคนเอ่ยออกมาก่อน จะมิดีกว่ารึ?
เผยเยี่ยนเชื่อว่ากู้ฉ่างเป็นคนฉลาด สายตาเขาจับจ้องที่อวี้ถัง แต่หันไปถามนายหญิงสามสกุลหยางด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วสกุลกู้ว่าอย่างไรบ้าง?”
อวี้ถังเบิกตาโต
วันนี้เผยเยี่ยนเป็นอะไรไป? พูดประโยคหนึ่งก็หันมามองนางทีหนึ่ง หรือมีเรื่องอะไรที่ต้องการคุยกับนางส่วนตัว?
นางกำลังคิดว่าอีกเดี๋ยวจะหาจังหวะถามเผยเยี่ยนดีหรือไม่
นายหญิงสามสกุลหยางทางนั้นเห็นชัดว่าพอใจกับเรื่องครั้งนี้มาก จึงไม่ทันสังเกตเห็นเผยเยี่ยนกับอวี้ถังที่ส่งสายตากันไปมา ทั้งยังยิ้มแย้มเอ่ยต่อว่า “ครั้งนี้เจ้ารองก็จัดการได้เข้าท่า ตอนแรกไม่เห็นพูดอะไรสักอย่าง ภายหลังที่แม่สื่อเอ่ยเรื่องสินเดิมขึ้นมา เขาก็ไม่ได้พูดถึงข้อตกลง เป็นสกุลกู้ที่พอได้ฟัง กู้เจาหยางจึงเสนอให้กำหนดสินเดิมตามธรรมเนียมของเจียงหนาน ท่านผู้เฒ่าสกุลกู้ก็ช่วยร้องรับอยู่ข้างๆ คงอยากหาทางป้องกันบิดาของกู้เจาหยางไว้ก่อน เจ้ารองถึงได้ผลักเรือตามน้ำ กล้ำกลืนตกปากรับคำไป”
ส่วนในใจจะคิดอย่างไร นั่นก็ไม่อาจรู้ได้แล้ว
แต่การมีบิดาเช่นนี้สักคน กู้เจาหยางก็นับว่าขายหน้ามากเกินพอ!
เป้าหมายของเผยเยี่ยนบรรลุแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจดึงเรื่องนี้มาพัวพันกับตัวเองได้อีก เขาจึงฝืนใจเอ่ยชมอินเฮ่าไปยกใหญ่
เหล่าสตรีสกุลอินที่ออกเรือนไปแล้วต่างขึ้นชื่อเรื่องถูกสกุลฝั่งมารดาพะเน้าพะนอตามใจ นายหญิงสามสกุลหยางเป็นคนมีไหวพริบ แต่กลับไม่นึกสงสัยสักนิด รับคำชมกระบุงโตของเผยเยี่ยนโกยเข้ากระเป๋าไปอย่างไม่เกรงใจ ทั้งเอ่ยว่า “ถ้ารู้แต่แรกว่าการปล่อยเจ้ารองออกมาข้างนอกแล้วจะรู้ความมากขึ้น ข้าคงให้เขาออกจากเมืองหลวงมาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว”
เผยเยี่ยนเพียงเอ่ยทักนายหญิงสามสกุลหยางด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ก็ต้องดูจังหวะด้วยเช่นกัน ผ่านไปสองสามปี พี่รองอินก็ต้องกลับเมืองหลวงอยู่เช่นเก่า”
ผู้อื่นไม่กล้าปล่อยคนออกมา เพราะกลัวจะไม่ยอมกลับไป แต่อินเฮ่ามีท่านอาที่เป็นถึงเก๋อร์เหล่าของราชสำนัก สำหรับเขาการถูกปล่อยออกมาหมายถึงการได้หนีออกจากใต้จมูกของพวกผู้อาวุโสไปเที่ยวเล่นด้านนอกก็เท่านั้น
ทุกคนสนทนากันอีกหลายประโยค ผู้ดูแลสี่ก็ยกอาหารเข้ามาจัดโต๊ะ
เวลากินไม่คุย เวลานอนไม่พูด
อวี้ถังรู้สึกว่าเผยเยี่ยนเอาแต่จ้องนาง แต่พอนางเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าเผยเยี่ยนก้มหน้ากินข้าวอยู่ นางได้แต่บอกตัวเองว่าคงคิดมากไป
เผยเยี่ยนกำลังนึกว่าจะใช้ข้ออ้างไหนในการเดินไปส่งอวี้ถัง น่าเสียดายที่นายหญิงสามสกุลหยางกับอวี้ถังพักเรือนใกล้กัน กระทั่งกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้พูดเลย
วันต่อมา สกุลกู้กับสกุลอินก็มอบของขวัญให้กันอย่างเป็นทางการ อวี้ถังถูกนายหญิงสามสกุลหยางลากไปด้วย เผยเยี่ยนก็ถูกอินเฮ่าฉุดกระชากไปเช่นกัน สองคนไม่ได้เห็นหน้ากันตลอดวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสนทนาด้วยซ้ำ
เผยเยี่ยนตัดสินใจจะกลับไปให้เร็วหน่อย
ในเวลานั้น หูซิ่งที่ตะลอนเร่งเดินทางก็มาถึงหังโจวพอดี
เผยเยี่ยนมองเขาแล้วสบายตาขึ้นไม่น้อย ไม่รอให้เขาพักเก็บของ ก็เรียกคนไปที่ห้องหนังสือ แล้วถามเรื่องสวนป่าของสกุลอวี้ทันที
สมองของหูซิ่งวิ่งแล่นอย่างรวดเร็ว
เรื่องสวนป่าผืนนั้นเขารายงานเผยเยี่ยนไปตั้งหลายรอบแล้ว ครั้งนี้เผยเยี่ยนยกเรื่องเก่ามาพูดอีก เพราะต้องการให้เขาคิดหาทางออกให้สวนป่าของสกุลอวี้ให้ได้อย่างนั้นรึ? หรือว่าเรื่องก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนไม่ได้ใส่ใจ ถึงต้องเรียกเขามาใหม่อีกรอบ?
หูซิ่งคิดว่าน่าจะเป็นประการแรกมากกว่า
อาศัยสมองอย่างเผยเยี่ยน ไม่มีทางที่เขาจะความจำไม่ดีแน่
ส่วนสวนป่าผืนนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมันดีแล้ว!
หูซิ่งกลุ้มใจหนัก ทว่าวาจาประจบประแจงกลับพรั่งพรูออกมาได้อย่างน่าฟังและจริงใจ “ท่านมีความรู้กว้างขวาง สวนป่าของเราก็เพราะฟังคำของท่าน ช่วงหน้าร้อนจึงผลิตส้มออกมาได้ ท่านเกิดมาก็เป็นเจ้าความคิด ข้าน้อยเกิดมาเป็นเพียงคนวิ่งรับคำสั่ง ขอเพียงท่านสั่งการลงมา ข้ารับประกันว่าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยราบรื่นขอรับ”