ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 285 นั่งเรือลำเดียวกัน
ครั้งนี้สกุลอินลงใต้ได้กำไรไม่น้อย นายหญิงสามสกุลหยางและคุณหนูสวีรั้งตัวอยู่ที่หังโจวอีกสองสามวัน รอจนสกุลอินและสกุลกู้ส่งมอบของหมั้นอย่างเป็นทางการ พวกนางก็ออกเดินทางกลับเมืองหลวง
ก่อนจะออกเดินทาง คุณหนูสวีก็ดึงมืออวี้ถังอย่างอาลัยอาวรณ์ “ข้าแต่งงาน เจ้าคงตามมาไม่ทัน แต่ข้าจะเขียนจดหมายหาเจ้า เจ้าต้องตอบกลับ อย่าได้ขาดการติดต่อกับข้า หากหลังจากนี้พวกเราล้วนเป็นฝั่งเป็นฝา ลูกๆ มีอายุใกล้เคียงกัน ยังสามารถนำลูกสาวลูกชายมาเกี่ยวดอง…”
คำพูดนี้ของนางเพิ่งจะออกมา ก็ถูกนายหญิงสามสกุลหยางถลึงตามอง ก่อนจะดึงมาอยู่ข้างกาย เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าอายุถึงเพียงนี้แล้ว ยังกล่าวคำพูดเช่นนี้อีก”
ไม่ว่าจะสกุลอินหรือสกุลสวี ล้วนไม่อาจเกี่ยวดองกับใครเรื่อยเปื่อยได้ ยิ่งไปกว่านั้นอวี้ถังยังไม่รู้ว่าจะแต่งให้กับสกุลแบบไหน
คุณหนูสวีคิดว่านายหญิงสามสกุลหยางตีตนไปก่อนไข้ โต้เถียงนายหญิงสามสกุลหยางมั่นใจ “เพราะรู้ว่าคุณหนูอวี้เป็นคนอย่างไร ข้าถึงได้กล้าพูดเช่นนี้”
ยังไม่พูดถึงเรื่องที่อวี้ถังเป็นคนรู้จักความเหมาะสม หากนางและอวี้ถังมีลูกหลายคน ขอเพียงแค่ไม่ใช่การเกี่ยวดองของลูกชายและลูกสาวคนโต แต่ละคนล้วนบุคลิกนิสัยดี แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันมีอะไรไม่ดีตรงไหน
นายหญิงสามสกุลหยางปวดศีรษะอยู่บ้าง
สกุลอินมาถึงรุ่นของอินหมิงหย่วนมีเพียงสมาชิกผู้ชายสามคนเท่านั้น อินเฮ่าคงไม่ต้องพูดถึง ภรรยาเอกให้กำเนิดลูกสาวสามคน ลูกชายเพียงคนเดียวเป็นลูกของภรรยานอกสมรส ไม่สามารถพาเข้าสกุล ไม่อาจจัดอยู่ในผังสกุล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรับช่วงต่อเป็นผู้นำสกุล ส่วนอีกคนหนึ่งไม่เพียงอายุน้อย ตอนเด็กยังป่วยเป็นอัมพาตเพราะจับไข้ ไม่ได้รับการดูแลที่ดี มีขาข้างหนึ่งใช้การไม่ค่อยได้ ภายหลังแต่งงานย่อมลำบากอยู่บ้าง มีเพียงอินหมิงหย่วนที่นอกจากจากอ่านเรียนเขียนได้ ยังสามารถหาสะใภ้ที่ฐานะเหมาะสมกัน สกุลอินจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับสองสามีภรรยาคู่นี้ คุณหนูสวีแต่งเข้าไปย่อมกลายเป็นตัวแทนของสกุลอิน
คาดไม่ถึงว่านางจะมีความคิดเช่นนี้ นายหญิงสามสกุลหยางล้วนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ครุ่นคิดว่าทำได้เพียงกลับไปหานายหญิงจางไม่ก็นายหญิงหลีเพื่อปรึกษาเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจให้คุณหนูสวีเป็นเหมือนยามที่อยู่ในสกุลมารดา คิดทำอะไรก็ทำอย่างนั้น
อวี้ถังย่อมไม่เอาเรื่องเกี่ยวดองลูกสาวลูกชายที่คุณหนูสวีพูดมาใส่ใจ ในความคิดของนาง นี่เป็นเพียงการแสดงความชอบที่คุณหนูสวีมีต่อนางเท่านั้น เมื่อเด็กเติบโตขึ้นล้วนมีความเป็นไปได้อย่างหลากหลาย บางทีในความเห็นของคนอื่น ลูกของนางอาจจะไม่คู่ควรกับสายเลือดของสกุลอินหรือสกุลสวี แต่สำหรับนาง นั่นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง เป็นก้อนเนื้อที่ร่วงออกมาจากร่างของนาง นางกลับไม่อยากให้ลูกสาวหรือลูกชายต้องได้รับความไม่เป็นธรรม…หากลูกของคุณหนูสวีไม่ใช่คนดีอะไร นางก็ย่อมไม่เสียดายเช่นกัน
นางให้ชิงหยวนนำของฝากที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้มอบให้อาฝู คนข้างกายของคุณหนูสวี เอ่ยกับคุณหนูสวีว่า “เจ้าวางใจ หากข้ามีโอกาส ย่อมไปเยี่ยมเจ้าที่เมืองหลวง หากเจ้ามีโอกาสออกจากเมืองหลวง ก็มาเยี่ยมข้าได้เช่นกัน”
อย่างเช่นว่า ภายหลังอินหมิงหย่วนออกมารับตำแหน่งขุนนางที่เจ้อเจียงไม่ก็เจียงซู
คุณหนูสวีผงกศีรษะระรัว น้ำตารินไหล โบกมือกล่าวลากับอวี้ถัง
เผยเยี่ยนที่มาส่งอินเฮ่าเห็นก็ถอนหายใจยาวเหยียด
พวกที่ชอบสร้างเรื่องยุ่งไปเสียที อวี้ถังว่างแล้ว พวกเขาก็คงหาเวลาพูดคุยสานสัมพันธ์ได้แล้วกระมัง?
ใครจะรู้ว่าอินเฮ่ากลับต้องการให้เขาไปเข้าพบหวังชีเป่าด้วยกัน
เผยเยี่ยนย่อมไม่ยินยอม เขาเอ่ยอย่างมีเหตุผล “ข้าออกจากราชการแล้ว ภายหลังก็จะไม่เข้าสู่ราชสำนักเป็นขุนนางอีก เรื่องของหวังชีเป่าข้าทำได้เพียงช่วยเหลือแค่นี้ ในสกุลยังมีเรื่องราวมากมายรอให้ข้าจัดการอยู่!”
ลูกหลานของสกุลเผยใกล้จะออกจากช่วงไว้ทุกข์แล้ว คนอื่นยังพูดง่าย แต่เรื่องที่เผยเซวียนกลับมารับตำแหน่งต้องเริ่มลงมือวางแผนแล้ว อินเฮ่านั้นกระจ่างใจดี แต่เรื่องของซุนเกายังไม่เสร็จสิ้น ยามนี้กู้ฉ่างก็กลายเป็นน้องเขยของเขา อย่างไรเขาก็ต้องช่วยกู้ฉ่างจัดการเรื่องสืบเนื่องในภายหลังถึงจะสามารถแสดงกำลังของสกุลอินให้เป็นที่ประจักษ์ได้ ให้กู้ฉ่างคิดว่างานมงคลครั้งนี้เป็นเรื่องที่คุ้มค่า ญาติผู้น้องของเขาแต่งไปสกุลกู้ กู้ฉ่างก็จำต้องให้ความสำคัญต่อนาง
เผยเยี่ยนกลับไม่สนใจว่าคุณหนูของสกุลอินจะเป็นอย่างไร ส่งมอบเรื่องราวแล้ว ก็พาอวี้ถังนั่งเรือกลับหลินอันในคืนนั้น
ยามที่อินเฮ่าไล่ตามไปที่ท่าเรือ เรือของสกุลเผยก็จากไปไม่เห็นเงาตั้งนานแล้ว
เผยเยี่ยนยืนอยู่ข้างกราบเรืออย่างสบายใจเฉิบ มีหูซิ่งคอยกำกับพวกสาวใช้และบ่าวรับใช้วิ่งวุ่นจัดเก็บของใต้ท้องเรือ ด้านตัวเองกลับอาศัยข้ออ้างว่ายังไม่ได้จัดการที่พัก ไปพูดคุยกับอวี้ถังที่หัวเรือ
“เดินทางอย่างเร่งด่วนอยู่บ้าง” เขาเอ่ยอย่างเกรงใจ แต่กลับไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย “แต่ไม่ไปก็ไม่ได้ ล้วนมีแต่เรื่องยิบย่อยทั้งนั้น ไม่มีข้าก็ได้เช่นกัน แต่หากมีข้า ก็จะมีคนที่ช่วยออกแรงอีกหนึ่งคน ข้าครุ่นคิดแล้ว อย่างไรพวกเรากลับหลินอันเร็วหน่อยจะดีที่สุด หากยังอยู่ต่อ ก็คงจะใกล้ถึงกลางฤดูร้อน ปลูกต้นไม้อะไรล้วนไม่ได้ จะพาให้ผลผลิตฤดูนี้ช้าเสียเปล่า”
พูดราวกับว่าเขาต้องอาศัยผลผลิตของฤดูนี้ในการเลี้ยงชีวิตอย่างนั้นแหละ
แต่อวี้ถังยังคงซาบซึ้งใจเช่นเคย อย่างไรคนเขาก็ช่วยสกุลพวกนาง
นางขอบคุณเผยเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม
เผยเยี่ยนเอ่ยเรื่องปลูกต้นไม้กับนางขึ้นมา “งานบรรยายธรรมของวัดเจาหมิงเสร็จสิ้นแล้ว พระอาจารย์พวกนั้นคงกำลังเดินทางกลับ สมาชิกของสกุลอู่ สกุลซ่งก็คงไม่อยู่ในหลินอันแล้วเช่นกัน แต่มีบัญชีบางอย่างที่ข้ายังต้องกลับไปดู ทางนายท่านอวี้และนายหญิงอวี้ก็ไม่ได้พบเจ้ามาระยะหนึ่งแล้ว ย่อมต้องคิดถึงเจ้าอย่างยิ่ง”
“ข้าครุ่นคิดดูแล้ว พวกเราต่างแยกไปทำเรื่องของตัวเองสักวันสองวัน จากนั้นก็พาหูซิ่งและชาวสวนที่มีประสบการณ์ไปดูพื้นที่ภูเขาของสกุลพวกเจ้า ปรึกษากันว่าปลูกต้นอะไรจึงจะเหมาะสม เจ้าก็กลับไปหารือกับนายท่านอวี้อีกที ตัดสินใจเรื่องนี้ให้แน่ชัด”
อวี้ถังตระหนักว่าหลังเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง อากาศย่อมค่อยๆ ร้อนขึ้นมา ร้านค้าเครื่องลงรักอยู่ในช่วงซบเซาพอดี งานฝีมือมอบให้ซย่าผิงกุ้ยคอยดูก็เพียงพอแล้ว อวี้หย่วนก็จะมีเวลาว่าง จึงพยักหน้าตอบ
เผยเยี่ยนแก้ไขเรื่องใหญ่ได้แล้ว ชั่วขณะนั้นจึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา คำพูดวาจาก็เผยความสบายๆ เช่นกัน
“วันนี้เจ้ายุ่งมาทั้งวันแล้ว เดิมทีควรจะค่อยเร่งเดินทางพรุ่งนี้ แต่ข้าคิดว่าเดินทางเย็นนี้จะดีกว่า นอกจากคนน้อยแล้ว เจ้ายังสามารถเดินเล่นบนดาดฟ้าเรือ” ขณะที่เขาพูด ก็ชี้ไปยังต้นไม้ริมฝั่งทั้งสองด้าน “เจ้าดูสิ ทางนั้นก็คือลำธารซี เฉินหมิน ผู้ตรวจการศึกษาคนก่อน หลังจากรับตำแหน่งที่หังโจวก็ไม่ได้กลับบ้านเกิด สร้างที่พักเร้นกายอยู่ในลำธารซี เรียกว่า ‘กระท่อมลำธารซี’ ในพุ่มต้นอ้อที่อยู่ด้านข้างเลี้ยงนกกระเรียนมงกุฎแดงไว้หลายสิบตัว หรือเรียกอีกอย่างว่านกกระเรียนเซียน เดือนเก้าของทุกปีจะจัดสมาคมศึกษากันที่นี่ คึกคักมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง ผลปรากฏว่าไปล่วงเกินหยวนเหมยจือ โฉวฝู่ในเวลานั้น นอกจากสมาคมศึกษาจะถูกยุบแล้ว เฉินหมินยังถูกกักขัง ตายอยู่ในคุก กระท่อมทางนั้นก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา กลับเป็นนกกระเรียนมงกุฎแดงหลายสิบตัวที่มีชีวิตสืบพันธุ์ขจรขจายจนมีจำนวนนับร้อยตัว กลายเป็นทิวทัศน์ของลำธารซีไป น่าเสียดายที่ยามนี้เย็นแล้ว หากเป็นตอนกลางวัน เจ้าคงจะได้เห็นสักสองสามตัว หากเป็นฤดูใบไม้ร่วง ยิ่งจะงดงามกว่านี้ นกกระเรียนมงกุฎแดงนับร้อยตัวโผทะยานขึ้นฟ้า เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ยามที่ปีกบินสูงบดบังแสงอาทิตย์ ก็จะคล้ายกับเมฆมวลที่ปกคลุมฟ้า เป็นทัศนียภาพที่หาได้ยากในเจียงหนาน”
พาให้อวี้ถังที่ได้ฟังเกิดใจใฝ่หา
เผยเยี่ยนฉวยโอกาสเอ่ยว่า “หากครั้งหน้ามีโอกาสจะพาเจ้าไปดู”
อวี้ถังลังเลอยู่บ้าง
นางอายุไม่น้อยแล้ว หลังจากกลับสกุลไปแปดถึงเก้าในสิบย่อมต้องพูดคุยเรื่องแต่งงาน ภายหลังก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสออกมากับเผยเยี่ยนอีกหรือไม่
แต่ว่าเผยเยี่ยนนั้นปรารถนาดี นางไม่อาจทำร้ายจิตใจเผยเยี่ยน ทั้งไม่อยากอธิบายมากมายกับเขา จึงตอบรับด้วยรอยยิ้มว่า ‘ได้’ ออกไป “เช่นนั้นเฉินหมินและหยวนเหมยจือเป็นคนรุ่นไหนรึ เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
ผู้ที่ถูกกักขัง ย่อมต้องคดีใหญ่ นางกลับไม่เคยได้ยินคนหลินอันเล่าลือเรื่องนี้มาก่อน
เผยเยี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ล้วนเป็นเรื่องของห้าสิบปีก่อนแล้ว”
นานขนาดนี้เขาก็ยังทราบได้?
อวี้ถังลอบตกใจ
เผยเยี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่ข้ายังเด็กท่านพ่อก็มักจะเปลี่ยนเรื่องราวพวกนี้เล่าเป็นนิทานให้ข้าฟัง ประการแรกเพื่อให้ข้าเข้าใจกับเรื่องราวตำนานท้องถิ่น ประการที่สองก็เพื่อเรียนรู้เรื่องในอดีต ให้ข้าอย่าได้ทำเรื่องโง่เง่า”
เขาเริ่มเล่าเรื่องของเฉินหมินและหยวนเหมยจือให้อวี้ถังฟังอย่างละเอียด
ในความเป็นจริงนี่เป็นเรื่องราวที่เรียบง่าย เฉินหมินมีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่บิดายกอนุเหนือภรรยา เฉินหมินในวัยเด็กจึงใช้ชีวิตอย่างลำบาก ถึงกระทั่งเพราะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเรือนหลัง จึงทำให้มีปัญหาทางสมอง แม้จะเป็นเช่นนี้ เฉินหมินก็ยังเรียนหนังสือได้ แต่อย่างไรเขาก็ไม่เหมือนคนทั่วไป ไม่ชำนาญเรื่องปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ล่วงเกินคนไปไม่น้อย รับตำแหน่งผู้ตรวจการศึกษาที่เจ้อเจียงอยู่สิบห้าปีก็ไม่ได้เลื่อนขั้นแต่อย่างใด ภายหลังเขาเริ่มไล่ตามผลประโยชน์ อยากสร้างชื่อให้ตัวเองในนามปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก่อนใคร จึงก่อตั้งสมาคมศึกษา รับลูกศิษย์ที่กล่าวว่าได้รับการถ่ายทอดวิชาด้วยตัวเองเข้ามาสิบคน
หยวนเหมยจือและเฉินหมินเป็นสหายที่สอบขุนนางปีเดียวกัน เขาแตกต่างกับเฉินหมิน หยวนเหมยจือมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ในเส้นทางขุนนางได้รับการช่วยเหลืออย่างมากมาย ฉลาดคิดรู้จักพูดจา เส้นทางข้าราชการจึงราบรื่นจนได้รับตำแหน่งชื่อฝู่[1]
เฉินหมินอิจฉาหยวนเหมยจือ รวมกลุ่มบัณฑิตเจียงหนานวิพากษ์วิจารณ์โจมตีหยวนเหมยจืออยู่หลายครั้ง เพื่อให้ตัวเองเหนือกว่าในด้านชื่อเสียง
ก่อนหน้านี้หยวนเหมยจืออดทนมาโดยตลอด จวบจนเขาสามารถแย่งชิงตำแหน่งโฉวฝู่กับชื่อฝู่อีกคนในเวลานั้นได้ เพื่อชะล้างชื่อเสียงของตัวเองให้บริสุทธิ์ จำต้องสลัดเฉินหมินที่เป็นดั่งกลากเกลื้อน เขาจึงวางแผนให้เฉินหมินเข้าใจผิดว่าการปิดทะเลในปีนั้น เป็นเพราะฮ่องเต้ฟังคำพูดยุยงส่งเสริมจากหยวนเหมยจือ ภายใต้การถูกบัณฑิตที่หยวนเหมยจือซื้อตัวพูดเป่าหูจึงเขียนข้อวิจารณ์ติดบนกำแพงที่ว่าการเจ้อเจียง พาให้ฮ่องเต้เกิดความระแวงเกี่ยวกับการรวมกลุ่มเพื่อแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายของเจียงหนาน
นอกจากตัวเขาเองจะถูกคุมขัง สกุลในเจียงหนานก็แทบจะถูกสะสางบัญชีไปถ้วนหน้า
สกุลกู้ที่เป็นสี่สกุลใหญ่ของเจียงหนานก็บาดเจ็บหนักเพราะหายนะครั้งนี้เช่นกัน ถึงค่อยๆ ตกต่ำลง
แม้เผยเยี่ยนจะพูดด้วยอารมณ์ขัน เล่าเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจของเจียงหนานให้คล้ายกับเป็นเรื่องทะเลาะระหว่างเพื่อนบ้านที่ไม่มีการบาดเจ็บล้มตาย แต่อวี้ถังที่ได้ฟังก็ยังขมวดคิ้ว อดเอ่ยไม่ได้ “ทำลายศัตรูนับพัน ตัวเองก็ย่อมบาดเจ็ดเป็นพันเท่า วิธีการของใต้เท้าหยวนผู้นี้โหดร้ายเกินไปอยู่บ้าง กลัวก็แต่ว่าภายหลังตัวเองคงยากที่จะจบลงด้วยดีเช่นกัน”
เผยเยี่ยนฟังจบตาสองข้างก็สว่างวาบ
ใต้เท้าหยวนผู้นั้นไม่ได้จบลงด้วยดีจริงๆ
เขาเอ่ยว่า “ไฉนเจ้าจึงไม่พูดว่าเฉินหมินผู้นั้นทำเกินไป ไม่อย่างนั้นหยวนเหมยจือก็คงไม่ลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้ล่ะ”
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของใต้เท้าหยวน” อวี้ถังเพียงแค่รู้สึกสะท้อนใจ เอ่ยว่า “หากเปลี่ยนเป็นข้า ข้าก็อาจปล่อยเฉินหมินไป แต่เพราะเรื่องของเฉินหมิน กลับทำให้สกุลใหญ่ของเจียงหนานติดร่างแห สกุลใหญ่พวกนี้จึงกลายเป็นผู้เคราะห์ร้าย ภายหลังย่อมไม่สนับสนุนเขา น้ำสามารถประคองเรือได้ก็สามารถคว่ำเรือได้เช่นกัน บนใต้หล้านี้ พึ่งพาแค่เพียงตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว”
ดวงตาของเผยเยี่ยนเป็นประกายยิ่งกว่าเดิม เอ่ยหยั่งเชิงว่า “เช่นนั้นเจ้าว่าเขาจะทำอย่างไรได้บ้าง?”
อวี้ถังเอ่ยว่า “หลังจากเรื่องของเฉินหมิน เขาควรไปปลอบใจสกุลใหญ่ของเจียงหนาน ให้สกุลใหญ่ของเจียงหนานละทิ้งเฉินหมินก่อน จากนั้นก็ฉวยโอกาสร่วมเป็นพันธมิตรกับสกุลใหญ่ของเจียงหนาน ก้าวและถอยไปด้วยกัน ทั้งยังสามารถควบคุมลูกศิษย์พวกนั้นของเฉินหมิน ป้องกันไม่ให้เกิดความอาฆาตแค้นได้”
ภายหลังหยวนเหมยจือถูกลูกศิษย์คนหนึ่งของเฉินหมินพูดใส่ร้ายจนตัวตายจริงๆ
แววตาที่เผยเยี่ยนมองอวี้ถังแฝงไปด้วยความลุ่มหลงอยู่บ้าง
อวี้ถังไม่เป็นตัวเองอยู่บ้าง เอ่ยอย่างร้อนใจ “อะไรรึ? ข้าพูดน่าขันไปอย่างนั้นหรือ? ข้า ข้าก็แค่พูดออกไปตามเรื่องตามราวเท่านั้น เรื่องของราชสำนักพวกนี้ ข้าก็ไม่เข้าใจ ข้าเพียงรู้สึกว่า แก้แค้นโจมตีคนนั้นทำได้ แต่ไม่ควรจะลากคนอื่นมาเดือดร้อน…”
————————-
[1]ชื่อฝู่ เป็นตำแหน่งที่รองลงมาจากโฉวฝู่