ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 290 กรีดร้อง
อวี้ถังได้ยินก็หันไปยิ้มให้เผยเยี่ยน
หูซิ่งโบกมือเรียก ไม่รู้ว่ามีเกี้ยวกับคนหามอีกสองคนโผล่มาจากไหน
เขาเอ่ยกับเผยเยี่ยนและอวี้ถังอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่อย่างนั้น คุณหนูอวี้นั่งเกี้ยวขึ้นไปดีหรือไม่ขอรับ?”
อวี้ถังกับเผยเยี่ยนได้แต่อ้าปากค้าง
เผยเยี่ยนหลอกอวี้ถังให้ขึ้นเขามา ก็เพราะอยากจะรู้ความในใจของอวี้ถัง ตอนนี้เขาค่อยๆ มองเห็นบางอย่างแล้ว แต่รู้สึกว่าการปีนขึ้นเขาออกจะเป็นเรื่องหนักหนาสำหรับอวี้ถังอยู่บ้าง จึงอดจะร้อนใจไม่ได้ เกี้ยวของหูซิ่งจึงเหมือนเป็นบันไดลงให้เขา เขาย่อมชื่นชมเป็นอย่างมาก พลางเอ่ยกับอวี้ถังว่า “เช่นนั้นเจ้าก็นั่งเกี้ยวไปดีกว่า เส้นทางบนเขาออกจะลำบากสำหรับเจ้าไปหน่อย”
อวี้ถังจะกล้านั่งเกี้ยวไปคนเดียวได้อย่างไร
นางยืนยันว่าจะไม่นั่ง
เผยเยี่ยนกลับลากนางขึ้นเกี้ยว กดหัวไหล่บังคับให้นางนั่งลง แล้วร้องสั่งคนหามเกี้ยวสองคนว่า “ไปได้”
คนหามเกี้ยวเป็นคนที่หูซิ่งหามา ย่อมฟังคำสั่งของเผยเยี่ยนเป็นธรรมดา จึงออกแรงฮึบแล้วหามเกี้ยวขึ้นทันที
อวี้ถังรีบจัดท่านั่งให้ดี
คนหามเกี้ยวสองคนแบกอวี้ถังเดินขึ้นเขาไป
หูซิ่งย่ำเท้าวิ่งไปหาเผยเยี่ยน กระซิบเสียงเบาว่า “นายท่านสาม ข้าเตรียมเกี้ยวไว้อีกหลังขอรับ”
ทว่าเส้นทางบนเขาเล็กแคบ หากเผยเยี่ยนนั่งเกี้ยว ก็ไม่อาจเดินอยู่ข้างๆ และพูดคุยกับอวี้ถังได้
นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมหูซิ่งถึงไม่เรียกเกี้ยวออกมาทีเดียวสองหลัง
เผยเยี่ยนร้อง “เหอะ” ทีหนึ่ง แล้วชมว่า “ไม่เลวนี่” ก่อนจะปีนขึ้นเขาต่อ ไปเดินอยู่ข้างๆ เกี้ยวของอวี้ถัง
อวี้ถังมองเผยเยี่ยนที่ตามมาเดินอยู่ข้างเกี้ยว รู้สึกละอายใจนัก
เผยเยี่ยนพอเข้าใจความคิดนาง จึงเล่าแผนการของตัวเองให้นางฟัง “ตอนอยู่ที่ตีนเขา ข้าเห็นว่าต้นซาจี๋เติบโตได้ดีทีเดียว แสดงว่าคุณภาพดินตรงนั้นเหมาะแก่การปลูกต้นซาจี๋ แถบซีเป่ย ต้นซาจี๋ส่วนมากปลูกไว้เพื่อบังทรายและลม นี่ก็แสดงให้เห็นเหมือนกันว่าสภาพดินบนสวนป่าของเจ้าไม่ค่อยเหมาะ ตามความคิดข้า สามารถปลูกต้นซาจี๋ให้มากหน่อย ไม่แน่มันอาจช่วยปรับปรุงสภาพดินของสวนป่าเจ้าได้ อีกอย่างก็คือผลของต้นซาจี๋ ในซีเป่ยใช้เป็นผลไม้รับแขก เมื่อก่อนข้าเคยลองกิน แม้จะไม่ค่อยอร่อย แต่ถ้าขายให้ถูกลงมา ครอบครัวคนธรรมดาก็คงยินดีจะซื้อ ขึ้นเขามาครั้งนี้ ข้าอยากจะมาดูมากกว่าว่าสวนป่าของเจ้าจะปลูกอย่างอื่นเช่นต้นท้อได้หรือไม่”
อวี้ถังคาดคะเนในใจ ชาติก่อนก็เพราะสาเหตุนี้ ดังนั้นเผยเยี่ยนถึงได้ปลูกต้นซาจี๋ที่สวนป่าของเขา ภายหลังก็นำลูกซาจี๋มาทำเป็นผลไม้เชื่อม บอกว่ากินแล้วแก้ไอป้องกันปอดชื้น ถึงได้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
นางเอ่ยว่า “ต้นท้อจากชิงโจวที่ท่านเคยพูดถึงหรือเจ้าคะ?”
เผยเยี่ยนพยักหน้า “ข้าคิดว่าต้นท้อนั้นไม่เลว ประมาณเดือนแปดเดือนเก้าก็ออกผล ส่งไปขายที่เมืองหลวง จะต้องขายดีแน่นอน”
หากว่าสวนป่าของเขาก็ปลูกได้เหมือนกัน เช่นนั้นก็ฝากกับเรือสกุลเขาไปส่งที่เมืองหลวงด้วยเลย
อวี้ถังเชื่อมั่นในฝีมือของเผยเยี่ยนอยู่แล้ว
สองคนคุยเรื่องผลไม้และขนมขึ้นชื่อของแต่ละพื้นที่ไปเรื่อยๆ ยังไม่ทันถึงยอดเขา อวี้ถังก็เริ่มกระหายน้ำแล้ว
เผยเยี่ยนเห็นดังนั้นก็ยกยิ้ม สั่งหูซิ่งให้หยุดพักครู่หนึ่ง แล้วบอกอาหมิงเปิดตะกร้าไม้ไผ่ที่สะพายหลัง หยิบเอาผลอิงเถาและลูกท้อที่ล้างสะอาดแล้วออกมาให้อวี้ถังกินแก้กระหาย
อวี้ถังดีใจจนร้องออกมาเบาๆ
หูซิ่งลากชิงหยวนให้ไปต้มน้ำเพื่อชงชาให้คนทั้งสอง
ชิงหยวนถึงได้เข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาบ้าง
นางหันไปส่งสายตาให้กับหูซิ่ง
หูซิ่งแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ เดินไปหยิบตั่งไม้มาให้เผยเยี่ยนกับอวี้ถังนั่งด้วยตนเอง แล้วชี้นิ้วสั่งงานเด็กรับใช้
ชิงหยวนก้มหน้าล้างถ้วยชา แต่หางตาก็คอยเหลือบไปทางอวี้ถังกับเผยเยี่ยนเป็นระยะๆ
เห็นว่าเผยเยี่ยนพูดอะไรบางอย่างกับอวี้ถังด้วยดวงหน้าแย้มยิ้ม จากนั้นอวี้ถังก็หัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ
เสียงใสดังกังวานไปทั่ว อ่อนหวานชวนเคลิ้มเหมือนนกจาบฝนเสียงสวรรค์ คนฟังยังรู้สึกเบิกบานตามไปด้วย
ชิงหยวนคิด หากว่านางเป็นเผยเยี่ยน เช่นคุณหนูอวี้ที่ทำให้คนรู้สึกมีความสุขอยู่ตลอดเช่นนี้ นางก็คงตกหลุมรักเหมือนกันกระมัง?
แต่ไม่รู้ว่าท่านแม่เฒ่าจะคิดอ่านอย่างไร?
อวี้ถังทิ้งความวิตกเมื่อครู่ไว้เบื้องหลัง ฟังเผยเยี่ยนเล่าเรื่องที่เขาติดตามท่านผู้เฒ่าไปเก็บค่าเช่าที่นาว่า “ข้าคิดว่าในเมื่อไม่คิดจะเรียกเก็บค่าเช่า มิสู้เผาสัญญาเช่าทิ้งไปเสีย เช่นนี้ทุกคนจะได้เริ่มต้นใหม่ ไม่ต้องมานั่งท้อแท้สิ้นหวังกับหนี้ที่สะสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เช่นนั้นคนจะอยู่อย่างไร้ความทะเยอทะยาน เพราะคิดว่าอย่างไรก็ไม่มีทางออกที่ดีขึ้น แต่ท่านพ่อข้ากลับบอกว่า หากทำแบบนั้น ทุกคนก็จะเอาแต่คาดหวังให้พวกเราเผาสัญญาทิ้ง ข้าวหนึ่งถุงรำลึกเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งกระสอบกลับนำมาซึ่งความแค้น หากว่าพวกเขามีความตั้งใจจริงๆ ก็ออกมาเป็นลูกเรือของสกุลเราได้ ใช้แรงงานมาแลกเงิน หากปีใดที่ผลผลิตไม่ดี สกุลเราก็แทบจะไม่มีชาวนาที่หนีหนี้ ส่วนกิจการเดินเรือของสกุล แต่ไรก็ไม่เคยขาดแคลนแรงงาน การค้าขายจึงเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา”
นางเพิ่งรู้ว่าสกุลเผยมีกองเรือกับเขาเช่นกัน
อวี้ถังรู้สึกว่า เผยเยี่ยนค่อยๆ แย้มพรายความลับให้นางดูทีละนิด ทำให้นางยิ่งขยับไปชิดเผยเยี่ยนมากกว่าเก่า
นี่คือเจตนาของเขากระมัง?
อวี้ถังเหลือบมองเผยเยี่ยน อดจะหยั่งเชิงไม่ได้ว่า “มิน่าความสัมพันธ์ของสกุลท่านกับสกุลเถาถึงได้ดีปานนั้น แต่หนิงปัวอยู่ใกล้หลินอันมากกว่า เหตุใดสกุลเผยถึงทิ้งของใกล้มือแล้วไปคว้าของไกลตัวเล่า?”
เผยเยี่ยนหัวเราะ “นี่เป็นหนึ่งในบทเรียนที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ สมัยราชวงศ์ก่อน สกุลเผยมีทรัพย์สินมากมาย แต่พอเกิดสงคราม คนที่รับเคราะห์คนแรกกลับเป็นสกุลเผย บรรพบุรุษของสกุลจึงกำหนดกฎขึ้นมาว่าห้ามกระจุกกิจการทุกอย่างไว้ที่เดียวกัน”
หากสกุลเผยไม่อาจอาศัยอยู่ที่หลินอันต่อไปได้ ก็ยังสามารถย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นได้ตลอดเวลา
อวี้ถังเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมชาติก่อนตอนที่สกุลหลี่บีบเค้นคนเพียงนั้นกลับไม่อาจทำให้สกุลเผยเสียหายได้เลย
เบื้องหลังของสกุลเผยยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาเห็นอยู่มาก
สกุลเผยที่เป็นเช่นนี้ นางจะมีโอกาสแต่งเข้าได้หรือ?
ความเลวร้ายของชาติก่อนทำให้อวี้ถังต้องคิด ความรู้สึกดีที่เกิดขึ้น ควรจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป มิใช่ต้องใช้ความคับข้องหมองใจไปแลกมา
อวี้ถังเหลือบมองเผยเยี่ยนอีกรอบ
ไม่เสียแรงที่เป็นลูกหลานสกุลใหญ่ ต้องผ่านสายเลือดสักกี่รุ่นกันถึงจะขัดเกลาบุคคลเช่นนี้ออกมาได้!
นางได้แต่ทอดถอนใจ
เผยเยี่ยนคิดว่าบรรยากาศเข้าทาง เขาหยุดใคร่ครวญพักหนึ่ง ก่อนจะถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “สกุลอวี้ของเจ้าทุกรุ่นล้วนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลินอันหรือ?”
อวี้ถังหัวเราะก่อนพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มเล่าประวัติของสกุลอวี้ให้เขาฟัง “พอปู่ทวดของท่านพ่อข้าเริ่มมีฐานะ ก็สร้างกิจการขึ้นมา สร้างเรือนของสกุลอวี้หลังที่อยู่ปัจจุบัน รุ่นท่านปู่ของท่านพ่อไปได้วิชาทำเครื่องลงรัก ถึงได้เปิดร้านค้าที่เมืองหลินอันขึ้น”
เผยเยี่ยนถามขึ้นมาว่า “หากให้เจ้าไปอาศัยอยู่ที่อื่น ใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง เจ้ายินดีหรือไม่?”
หมายความว่าอย่างไร?!
สัญชาตญาณของอวี้ถังบอกว่าคำตอบของเรื่องนี้สำคัญมาก
หัวใจนางเต้นรัว มันสั่นสะท้านไปหมด
แต่พอเห็นสายตาจริงจังของเผยเยี่ยน นางตัดสินใจบอกไปตามจริงว่า “ข้าเองก็ไม่รู้”
เผยเยี่ยนรู้สึกผิดหวังกับคำตอบ
แต่เขาไม่ยอมแพ้ ถามต่อไปอีก “เพราะเหตุใด?”
อวี้ถังหลุบตาลงต่ำ เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกัน สำคัญว่าใครอยู่ข้างกายข้าต่างหาก”
เผยเยี่ยนตะลึงไป ก่อนจะหัวเราะแบบไร้เสียงออกมา
“ข้าไม่อยากอยู่ห่างจากท่านแม่กับท่านพ่อ” อวี้ถังยังคงหลุบตาต่ำ จึงไม่เห็นท่าทีผิดปกติของเผยเยี่ยน “แล้วยังมีครอบครัวของท่านลุงอีก หากมีพวกเขาอยู่ข้างกาย จะไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น!”
เผยเยี่ยนสะกดลมหายใจ “ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าแยกจากครอบครัว แต่หมายถึงคนข้างกายกับคนที่เจ้าเคยรู้จักต่างหาก เจ้าอาจต้องทำความรู้จักคนใหม่ๆ เริ่มปรับตัวใหม่ และพวกคนที่ไม่รู้จักเจ้าก็อาจจะเข้าใจเจ้าผิดๆ ได้”
เขาหมายความตามที่นางคิดจริงๆ ใช่หรือไม่?!
อวี้ถังอยากจะกรีดร้องออกมา
เหตุใดเผยเยี่ยน…ถามนางแบบนี้…
นางฝืนข่มคลื่นที่ซัดโถมในใจ พยายามบังคับเสียงของตนให้ราบเรียบเป็นปกติที่สุด แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านออกไปรับตำแหน่งขุนนางด้านนอก ก็ต้องทำความรู้จักสหายใหม่และปรับตัวให้คุ้นเคยกับอากาศของเมืองหลวงเหมือนกันมิใช่หรือเจ้าคะ?”
หญิงสาวไม่ว่าสกุลใด เมื่อแต่งงานออกไปก็ต้องเริ่มต้นใหม่เช่นเดียวกัน?
มีใครบ้างที่พอแต่งเข้าไปแล้วก็สามารถชนะใจทุกคนได้ทันที
แต่บางคนก็ไร้วาสนาจริงๆ ชั่วชีวิตก็ไม่อาจไขว่คว้าความรักจากสกุลสามีได้ แต่จะจบชีวิตของตนเองลงเพราะเหตุผลนี้? หรือจะหาวิธีทำให้ชีวิตมีความสุขยิ่งขึ้นเล่า?
อวี้ถังครุ่นคิด สายตาหยุดนิ่งที่ร่างของเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนกระเด้งตัวลุกจากพื้น จากนั้นก็เริ่มเดินวนไปวนมาด้วยความร้อนใจ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงอีกครั้ง จับเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วถามอวี้ถังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้ายินดีอยู่ข้างกายมารดาข้าหรือไม่?”
อวี้ถังตื่นตะลึง อ้าปากค้างจนกรามแทบจะร่วงลงมา
นางรู้ว่าเผยเยี่ยนใจกล้า และค่อนข้างแหกกฎธรรมเนียม แต่ต่อให้นางนอนฝัน นางก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะอาจหาญถึงเพียงนี้
เขาถึงขนาดถามนางว่า…เดี๋ยวนะ…เขาพูดจาคลุมเครือเช่นนี้ หากว่านางเข้าใจผิดจะทำอย่างไร?
มิใช่กลายเป็นเรื่องตลกขบขันไปหรือ
อวี้ถังไม่เพียงยืดหลังตรงแหน็ว ยังเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
เสียงหายใจของเผยเยี่ยนดังชัด แต่เขาก็ยังเอ่ยอย่างเป็นการเป็นงานว่า “หากว่าเจ้ายินดี ข้าอยากเขียนชื่อของเจ้าลงบนผังสกุลข้า เขียนตรงข้างๆ ชื่อของข้า”
อวี้ถังชะงักกึก นางมารน้อยในใจกลับเต้นระบำเริงร่าไปรอบทิศ
หางตาของนางรื้นชื้นอย่างควบคุมไม่อยู่
เผยเยี่ยนเห็นนางทำหน้าคล้ายยิ้มก็ไม่ใช่ บูดบึ้งก็ไม่เชิง เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ยังไม่ได้ร้อง ทำเขาแตกตื่นไปหมด
นี่คือตกลงรึ? หรือเพราะเขาบุ่มบ่ามจนคล้ายรังแกนางมากเกินไป?
หน้าผากของเผยเยี่ยนมีเหงื่อซึม เขาเร่งเร้านาง “เจ้าว่าอย่างไร?”
อาจเพราะความประหม่า น้ำเสียงของเขาถึงแข็งกร้าวกว่าปกติ
หัวใจที่กระเด้งกระดอนของอวี้ถังคล้ายถูกสาดด้วยน้ำเย็น คนพลันสงบอารมณ์ขึ้นมาได้
นางถามออกไปว่า “ทำไมเจ้าคะ?”
เผยเยี่ยนไม่เข้าใจ “อะไรนะ?”
ภาพที่นางกับเผยเยี่ยนรู้จักกันแต่ละฉากไหลเข้ามาในสมองของอวี้ถัง นางถามว่า “ทำไมต้องเป็นข้า?”
เผยเยี่ยนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เขาหาคำตอบไม่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นความหงุดหงิด “มีอะไรให้น่าสงสัยกัน ก็เพราะข้าคิดว่าเจ้าใช้ได้อย่างไรล่ะ”
แม้ปากจะบอกเช่นนั้น แต่เขาก็เริ่มย้อนถามตัวเองเช่นกันว่าทำไมต้องอยากแต่งกับอวี้ถังด้วย
เพราะนางคือหญิงงาม?
หญิงงามเขาเจอมาเยอะแล้ว แต่กลับไม่เคยอยากแต่งใครเข้าสกุล
หรือเพราะนางฉลาด?
แต่เวลาส่วนมากนางก็มักทำเรื่องโง่งม
บางที อาจเพราะตอนอยู่หน้าผู้อาวุโส นางนับว่าเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย?
แต่พออยู่ต่อหน้าเขากลับดูไม่ออกเลยสักนิด
คิดถึงตรงนี้ เผยเยี่ยนก็ร้อง “เหอะ” ออกมาอย่างไม่พอใจ
อวี้ถังพลันรู้สึกว่าตัวเองร่วงลงมาจากกลางอากาศ หัวใจเริ่มสงบไร้คลื่น
นางกลัวจะได้ยินคำตอบจากเผยเยี่ยนว่าเพราะนางหน้าตาสะสวย
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
อวี้ถังย้อนกลับมามองตัวเอง
นางคิดถึงเรื่องว้าวุ่นใจของตนเมื่อชาติก่อน
อาจเพราะนางรู้สึกว่าเรื่องเลวร้ายที่ตนได้เจอเมื่อชาติก่อนมีสาเหตุมาจากรูปโฉมของนางกระมัง
อวี้ถังมีเพียงความเงียบงัน
ฝ่ามือเผยเยี่ยนเริ่มมีเหงื่อซึม
เขารู้สึกว่าตนเองกระสับกระส่ายอย่างหนัก เวลานี้เขาควรง้องอนอวี้ถังสักสองประโยค ไม่แน่นางอาจตอบตกลงก็ได้ แต่ความคิดเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกแย่มาก ผลของความลังเลก็คือเขาถลึงตาใส่อวี้ถังด้วยความไม่พอใจ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้ามีอะไรให้สงสัยอีก? ข้าคิดว่าพวกเราเหมาะสมกันดีก็แค่นั้น ชีวิตคนมันสั้น เหมือนน้ำค้างยามเช้าที่ไม่นานก็หายไป หากไม่อาจใช้ชีวิตตามใจปรารถนาได้ แล้วชีวิตจะมีความหมายใดอีกเล่า หากเจ้าไม่มีคำถามแล้ว ข้าจะถือว่าเจ้าตอบตกลง เจ้ารออยู่ที่เรือนสักสองสามวัน ข้าเตรียมข้าวของเสร็จแล้วจะไปสู่ขอเจ้าเอง”