องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1123
สำหรับคนที่อุทิศทั้งชีวิตให้กับกองทัพเรือกับการรบทางทะเลแล้ว อยู่ๆ ได้เห็นความก้าวหน้าที่สุดแห่งยุคสมัย การรบของกองทัพเรือที่เหนือกว่าตนมาก ปืนใหญ่กับกำลังการรบที่เหนือกว่าตนมาก
ในใจขุนพลทัพเรือลีซุนได้แต่สิ้นหวังและพังทลาย ในใจมีความกลัวอยู่ลึก ๆ กองกำลังที่เคยเป็นความภาคภูมิใจของตนยามนี้อยู่ ๆ ต่อหน้าผู้อื่นกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าควรกล่าวถึง
“กองโจรวัวโค่วไหม้แล้ว แม่ทัพคงต้องทิ้งชีวิตไว้กลางทะเลแล้ว!”
ข่าวรายงานมายังขุนพลทัพเรือลีซุน ทุกคนล้วนยินดี บนเรือนั้นถึงกับล้วนได้ยินแต่เสียงดีใจจากเรืออื่นดังแว่วมา
เรือปืนใหญ่เข้มแข็งสุดของกองเรือเสิ่นหวั่งถูกทำลายราบคาบไปแล้ว เรือรบที่เหลือก็กำลังเอาแต่หลบการไล่ล่าของกองเรือรบแผ่นดินหมิง สถานการณ์สนามรบสิ้นสุดแล้ว ชัยชนะอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ขุนพลทัพเรือลีซุนอยู่ๆ เห็น ‘กองเรือผู้กล้า’ กองกำลังหมิงกำลังส่งสัญญาณให้กองเรือรบแผ่นดินหมิง ความหมายนั้นเหมือนว่าให้กองเรือรบแผ่นดินหมิงลงใต้ไล่ล่าโจรวัวโค่วที่หนีไป ให้กองเรือผู้กล้าอารักขากองเรือรบเกาหลี ปิดเส้นทางทะเลอินชอนและค้นหาศัตรูที่เหลือ
เหตุใดกองเรือรบแผ่นดินหมิง ยังต้องฟังคำสั่งกองเรือสามัญชน ขุนพลทัพเรือลีซุนรู้สึกแปลกใจมาก แต่ ณ ที่นั้น ตนเองเป็นทหารเกาหลีที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่สุด หากไม่ได้การช่วยเหลือจากกองกำลังหมิง วันนี้เกรงว่ากองเรือเกาหลีคงถูกทำลายล้างไปแล้ว
กองเรือรบแผ่นดินหมิงค่อยๆ หายลับตาไป กองเรือผู้กล้าส่งสัญญาณให้กองเรือเกาหลีว่า การต่อสู้เมื่อครู่มีเรือเสียหาย ต้องการซ่อมเรือก่อน ต้องทำการซ่อมง่าย ๆ กันก่อน ค่อยออกเดินทางต่อ ขอกองเกาหลีดูแลกองเรือตนเองให้พักก่อน
คำขอนี้สมเหตุสมผล กองเรือรบเกาหลีเริ่มพัก บนท้องทะเลหยุดรบชั่วคราว สองฝ่ายล้วนยังอยู่ในอาการดีใจ หากก็ยังเร่งทำงานกันแข็งขัน
ระหว่างนั้นก็เห็นกองเรือผู้กล้ายิงปืนไปยังที่ว่างเปล่า เสียงดังสนั่นไปทั่ว ตอนเริ่มต้น กองเรือรบเกาหลียังแปลกใจ จากนั้นก็ล้วนคิดว่าเรือรบผู้กล้าทำพิธีอะไรสักอย่าง จึงไม่สนใจ อย่างไรก็วันนี้การต่อสู้ที่ได้เห็นมา พวกเขาแต่ไรไม่เคยได้เห็นมาก่อน บางทีอาจมีเรื่องใหม่อันใดที่ตนยังไม่รู้ก็ได้ ก็คิดว่าปกติ
เวลาการต่อสู้ยาวนานอยู่ สู้กันใกล้ชายฝั่ง กองเรือเช่นนี้กลางคืนทอดสมอพักก็เป็นเรื่องที่กระทำได้สมเหตุผลที่สุด
แม้กองเรือรบเกาหลีคิดจะไปยังปูซาน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจ เช่นนั้นก็ได้แต่ทำตาม
ทุกหนึ่งชั่วยาม ก็จะยิงปืนใหญ่เปล่า ๆ แต่จำนวนยิงปืนใหญ่ไม่เท่ากัน ทุกคนในกองเรือเกาหลีเริ่มจับจังหวะได้ แต่ยังไม่รู้อีกฝ่ายทำอะไร
ทหารเรือเกาหลีกำลังหลับท่ามกลางเสียงดังเหล่านี้ ไม่ค่อยมีผู้ใดสนใจ ช่วงก่อนฟ้าสาง ทิศทางหนึ่งมีเสียงดังตูมแว่วมา
ฟ้าสว่างแล้ว ทิศทางลมยังคงเป็นเช่นเมื่อวาน ทหารเกาหลีหลายคนล้วนยังตะโกนดังว่า ‘เทพคุ้มครอง’ มีลมเช่นนี้มีพันธมิตรเช่นนี้ ต้องมีชัยชนะใหญ่เป็นแน่
“ดูเรือเหล่านี้ จำวิธีการรบพวกเขาให้มาก เรียนรู้ได้เท่าไรก็เรียนให้มากเท่านั้น!”
ตอนออกเรือ ขุนพลทัพเรือลีซุนส่งคนไปยังเรือทุกลำสั่งการคำสั่งนี้ เรือท้องทะเลแล่นไปน่าเบื่อมาก พวกเขาก็ไม่หวังว่าจะปะทะกับศัตรูระหว่างทาง กองเรือโจรวัวโค่วแม้มีกำลังต้านทาน แต่เกรงว่าคงถูกกองเรือรบแผ่นดินหมิงกวาดล้างสิ้นซากไปแล้ว
“ใต้เท้า มีกองเรือ!!”
ทางตะวันตกมีกองเรือหนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องทะเลในตอนนี้ กำลังแล่นใกล้มาทางนี้ กองทัพเรือเกาหลีเริ่มแตกตื่น แต่ทว่า กองเรือผู้กล้าที่แล่นมาพร้อมกับพวกเขาส่งสัญญาณให้ว่าเป็นพันธมิตรร่วมเดินทางไปยังปูซานรบกองเรือโจรวัวโค่ว ทุกคนจึงได้เงียบลง
พอถึงตอนบ่าย กองเรือเกาหลีจึงได้เห็นกองเรือทั้งหมด แต่ละคนถึงกับสูดลมหายใจ ลืมหายใจ ล้วนพากันตะลึงตาค้างอ้าปากกว้าง เดิมคิดว่าแผ่นดินหมิงมีเรือสี่ลำเช่นนี้ใหญ่สุดยอดแล้ว คิดไม่ถึงครั้งนี้ถึงกับมีอีกหกลำ ทั้งหมดรวมสิบลำ เป็นเรือปืนใหญ่ขนาดใหญ่
ที่เรียกว่า ‘เรือยักษ์ใหญ่ทะเลสิบลำ’ ก็คงเป็นเรือเหล่านี้ เรือใหญ่สิบลำล้วนมีอาวุธพร้อมสรรพ ไม่เป็นรองเรือปืนใหญ่พันธมิตรโจรวัวโค่ว
ตามหลักกองเรือพันธมิตรมาเช่นนี้ กองเรือรบเกาหลีควรจะยินดีถึงจะถูก แต่พอได้เห็นเรือรบเช่นนี้ เรืออีกฝ่ายยังมีจำนวนมากกว่าตน เกาหลีทุกคนพากันรู้สึกกดดัน ทุกคนเงียบกริบ
ภาษาเรือของแผ่นดินหมิงกับกองเรือเกาหลีเหมือนกัน ขุนพลทัพเรือลีซุนกำชับคนของเขามาตลอดว่าให้ดูสัญญาณเรือของอีกฝ่ายให้ดี สถานการณ์ใดล้วนต้องมารายงาน
พอเรือรบสองฝ่ายสมทบกัน สัญญาณเรือหลายลำก็หยุดลง ข่าวสองฝ่ายส่งถึงกันง่าย ๆ ก็แค่เปลี่ยนรูปขบวนเรือ
ภายใต้ทิศทางลมเช่นนี้ กองเรือผู้กล้าที่ล้วนเป็นเรือใหญ่แบบตะวันตกล้วนยกใบเรือ ทิ้งกองเรือรบเกาหลีไว้ด้านหลังไกล ๆ ความหมายเช่นนี้ก็คือการอารักขาไม่มีอีกแล้ว พวกเรือรบที่ตามมาสมทบเห็นชัดว่าไม่คุ้นชิน ปรับตำแหน่งไม่หยุด
ค่อยๆ อย่างช้าๆ เรือรบผู้กล้าล้วนรวมกันด้านตะวันตกของกองทัพใหญ่ และเรือใหญ่สิบลำยังค่อย ๆ เรียงแถวหน้ากระดาน
“หมายความว่าอย่างไร?”
ขุนพลทัพเรือลีซุนรู้สัญญาณธง แต่ไม่เชี่ยวชาญนัก เขามองไปยังหัวท้ายเรือใหญ่ที่โบกธงแดงให้กันและกัน สัญญาณนั้นไม่ใช่สัญญาณปกติ ดังนั้นจึงถามทหารตนขึ้น
ทหารมองดูแล้วดูอีก ก็ลังเลกล่าวว่า
“ใต้เท้า เหมือนว่าสองฝ่ายกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่สัญญาณปกติ!!”
“ใต้เท้า!!! กองเรือกองกำลังหมิงเปิดช่องหน้าต่างยิงปืนใหญ่…”
มีคนตะโกนเสียงแหบพร่า เพราะกลัว จึงร้องเสียงหลง ทุกคนในกองเรือรบเกาหลีล้วนมองตามไป
เรือสิบกว่าลำหันข้างให้กองเรือรบเกาหลี ช่องหน้าต่างปืนใหญ่เปิดออก ปืนใหญ่โผล่ลำออกมา ช่องกลางลำเรือมีปืนใหญ่
ปืนใหญ่ชั้นบนปรากฏต่อหน้าคนเบื้องหน้า ปากกระบอกใหญ่มาก ปืนใหญ่เบื้องหน้ากระบอกใหญ่สุด เป็นสิ่งที่กองทัพเรือเกาหลีไม่เคยคิด
“พวกเจ้าคิดทำอันใด!? ทัพใหญ่หมิงคิดทำอันใดกัน!?”
“ตะโกนไปมีประโยชน์ใด ส่งสัญญาณ ๆ โบกธง!!”
กองเรือรบเกาหลีพากันร้องเสียงหลง ตะโกนดัง มีคนยืนอยู่ในที่เตะตาที่สุดโบกธง แต่อีกฝ่ายเหมือนไม่ตอบรับ
ขุนพลทัพเรือลีซุนที่เงียบมาตลอดทางยามนี้ไม่ได้ตื่นตระหนกอันใด เพียงแต่ทอดถอนใจ ยืนอยู่ที่เดิม กล่าวเบาๆ ว่า
“แผ่นดินสองร้อยปี จบสิ้นตอนนี้แล้ว ทุกคน…”
เขาเสียงดังขึ้น คิดจะออกคำสั่ง ไม่ก็กล่าววาจาซาบซึ้งกินใจ แต่ทว่าวินาทีนั้นเอง เรือยักษ์ใหญ่สิบลำยิงปืนใหญ่ เสียงปืนใหญ่ดังกลบทุกเสียงทั่วผืนน้ำ
เรือคอบุกซอนเน้นการป้องกันเป็นหลัก เกราะเรือนั้นแข็งมาก ปืนใหญ่กระสุนไม่ถึงสามชั่งล้วนไม่อาจยิงทะลุ แต่ปืนใหญ่กระสุนเก้าชั่งไม่มีอันใดต้านทานได้ ยิ่งไม่ต้องพูดเรือยักษ์ใหญ่สิบลำยิงปืนใหญ่มามีกระสุน 12 ชั่ง 16 ชั่ง ยังมี18 ชั่ง
รอบ ๆ แรงดังก้องกัมปนาท เรือเกาหลีสิบกว่าลำเริ่มเงียบ เรือที่เข้าใกล้ทางนี้เริ่มพัง
หากเข้าใกล้มาก ก็สามารถได้ยินกองเรือสามธาราส่งเสียงคำสั่งดัง ระลอกสองปืนใหญ่ยิงออกมา ปืนใหญ่เรือยักษ์ใหญ่สิบลำบรรจุกระสุนโซ่ ใช้โซ่เหล็กร้อยลูกเหล็กยิงไป กวาดดาดฟ้าเรือเกาหลีให้ราบ
พวกเกาหลีลนลานหาที่หลบไม่ทัน ถูกกระสุนโซ่แยกร่าง บนดาดฟ้าเรือมีแต่กองเลือด ราวกับภาพในนรก
สถานการณ์ถึงตอนนี้ คนโง่ก็รู้ว่ากองเรือสามธาราต้องการโจมตีกองเรือเกาหลีให้ราบ กองเรือเกาหลีคิดตีโต้ คิดหลบหนี
แต่ปืนใหญ่เรือพวกเขาระยะยิงแค่สามร้อยถึงห้าร้อยก้าว และมีแค่สิบกระบอก จะไปตีโต้ได้อย่างไร ระลอกแรกที่ยิงมา ปืนใหญ่ส่วนใหญ่ล้วนถูกทำลายไปแล้ว ระยะยิงยังสู้ไม่ได้อีก กำลังปืนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ที่ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงก็คือ กองเรือสามธาราเมื่อครู่ล้วนลดใบเรือลงเพื่อรักษาสมดุลแถว
“สู้ตายกับพวกมัน!”
“กองเรือหมิงไยจึงโจมตีเรา!!”
แม้กระทั่งตอนนี้ กองเรือรบเกาหลียังคงกำลังทำอะไรไม่ถูก มีเรือหันหัวคิดแล่นหนีเข้าฝั่ง มีเรือแล่นปะทะใส่กองเรือแผ่นดินหมิง มีเรือบนท้องทะเลถึงกับไม่รู้จะทำเช่นไรดี ถึงกับไม่ทำอันใด ไม่ใช่แต่ละคนล้วนรู้ตัวแบบขุนพลทัพเรือลีซุน ยังมีหลายคนมองแผ่นดินหมิงว่าเป็นประเทศแห่งสวรรค์มาโปรด ประเทศเช่นนี้โจมตีตน หลายคนยังคงไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรดี ในใจล้วนแตกกระเจิงหมดสิ้น
“ไม่รู้จักตาย!”
เรือยักษ์ใหญ่สิบลำ ไม่รู้ผู้ใดสบถออกมา เพราะมีเรือพานโอกซอนหลายลำยกเสากระโดงเรือลง ใช้ไม้พายพายเข้ามา
นี่เรียกว่าไร้ประโยชน์ ระยะใกล้แล้ว ปืนใหญ่ที่ไม่แม่นนักกลับยิ่งแม่นมากขึ้น ตอนปืนใหญ่ยิงไป เรือพานโอกซอนก็ถูกยิงเป็นรูนับร้อยพัน
เรือแล่นหนีไม่อาจหนีได้ไกลนัก พวกเขาถูกกองเรือสามธาราและเรือปืนใหญ่ลำอื่นไล่ตามมาทัน เห็นอันตรายตรงหน้า เรือคอบุกซอนกับเรือพานโอกซอนคิดจะเข้าชน แต่ไหนเลยจะแล่นได้ไวเหมือนอีกฝ่าย ปืนใหญ่บนเรือปืนใหญ่พวกนั้นยังคงไม่หยุดยิง
เรือรบชายฝั่งเทอะทะของกองเรือรบเกาหลี หากปลายเรือถูกทำลายน้ำเข้าไปได้ ความเร็วในการจมก็ยิ่งเร็วกว่าเรือทั่วไป
“ไม่อาจไว้ชีวิตไปแม้แต่คนเดียว โดดทะเลไปก็ต้องเห็นศพ เรือที่ยังไม่จมก็ต้องจุดไฟเผาให้ราบ!”
ขุนพลทหารเรือยักษ์ใหญ่สิบลำตะโกนออกคำสั่งดัง กองเรือเกาหลีถูกกองเรือสามธาราแยกและล้อมไว้ แต่ละลำเริ่มถูกโจมตีจมลง มีเรือเกาหลีพยายามโบกธงขาวสุดชีวิต ตะโกนเสียงแหบต้องการยอมจำนน แต่ไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขา ยังคงรบต่อ
เรือคอบุกซอนลำสุดท้ายถูกปืนใหญ่ยิงเป็นหลายรูแล้ว กองเรือสามธารากลับใช้วิธีเสิ่นหวั่งโยนพรมและผ้าชุบน้ำมันเข้าใส่ จากนั้นจุดไฟ เห็นเรือคอบุกซอนลุกไหม้ค่อย ๆ จมลง หูอันมองดูอยู่บนเรือ บ่นพึมพำว่า
“เรือเฮงซวย จมหมดแล้ว รีบส่งข่าวให้นายท่านได้!”