องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 1128
ใกล้เดือนเจ็ด ศึกใหญ่บนคาบสมุทรเกาหลีใกล้ปะทุ สองฝ่ายจัดการเตรียมรบกันอย่างเปิดเผย หวังทงนำทัพใหญ่เข้ามายังที่ราบด้านตะวันตกทางใต้ของเกาหลี ทหารโจรวัวโค่วไปรวมตัวกันที่แม่น้ำฮั่นสุ่ยในเมืองโซอุล
พื้นที่ระหว่างจังหวัดฮัมกยองกับจังหวัดกังวอนเป็นที่ตั้งของทหารม้าและทหารราบเมืองเซวียนฝู่กับเหลียวซี เพื่อให้ปลอดภัยไว้ก่อน ยังให้ถานเจี้ยนนำกำลังหน่วยเจ็ดมาผสม และยังติดตั้งปืนใหญ่ 15 กระบอก
แม้ว่าตำแหน่งถานเจี้ยนเท่ากับฉาต้าโข่วและจู่เฉิงซวิ่น แต่หน่วยเจ็ดถือเป็นแกนหลักทางตะวันออก หวังทงไม่ค่อยเชื่อใจความกล้าหาญในการต่อสู้กับการตัดสินใจในการศึกนี้ของทหารจากเมืองเหลียวโจวสักเท่าไร
ทหารเหลียวซีประจำเปียงยางครั้งนี้ หวังทงเลือกมาแค่ทหารม้าพันนาย ให้หลี่หรูป๋อนำกำลัง หลี่หรูป๋อเป็นคนบ้าบิ่นมุทะลุ แต่ก็เป็นขุนพลกล้ารบ ยังมีความสามารถไม่น้อย
พื้นที่เกาหลีทางตะวันออกภูเขามาก ตะวันตกที่ราบมาก ตะวันออกมีสามจังหวัด จังหวัดฮัมกยอง จังหวัดกังวอนและจังหวัดคยองซัง ตะวันตกมีห้าจังหวัด
ในพื้นที่เขา ไม่อาจเปิดศึกทัพใหญ่ หากในพื้นที่อันตรายถูกเส้นทางดักปิดไว้ ก็จะเป็นดังกำแพงเมืองที่หนึ่งคนควบคุมหมื่นคนยากฝ่า
พื้นที่เช่นนี้พอยึดได้แล้ว โจรวัวโค่วก็ตั้งหน่วยทหารเฝ้า แต่ตอนทำสงคราม ที่นี่ก็ล้วนถูกทอดทิ้ง หันไปมุ่งเตรียมการกันอยู่ที่จังหวัดคยองกีตะวันออก
หวังทงส่งทหารมาที่นี่เพื่อป้องกันความยุ่งยาก สถานการณ์ตอนนี้ โจรวัวโค่วทำอะไรที่ผิดไปจากปกติก็ไม่ใช่ว่าไม่อาจเป็นได้ อุดทางนี้ไว้ก็เพื่อป้องกันไว้ก่อน
การจัดการเช่นนี้เพราะยังคิดถึงเรื่องอื่นอีก กองกำลังหลวงหน่วยเจ็ดของถานปิงกับถานเจี้ยน สองคนล้วนอายุห้าสิบแล้ว หน่วยถานปิงเป็นกองกำลังหู่เวยหน่วยหลักอันดับสอง ถานปิงนับเป็นทหารเก่งกล้า ถานเจี้ยนเรียกได้ว่ากลางๆ ไปรักษาป้องกันที่นั่นย่อมไม่เกิดปัญหาใหญ่อันใด
นอกจากนี้เปียงยางและจังหวัดพยองอันในฐานะที่ถือเป็นกองหลัง มอบให้ทหารราบเมืองจี้โจวห้าพันเฝ้าไว้ชั่วคราว กำลังกองนี้เพียงพอแล้ว
กองกำลังหลวง กองกำลังหู่เวยกองหนึ่งถึงกองหก รวมหมื่นนาย ขบวนทัพม้ากองกำลังหู่เวยสามพัน ทหารม้าต้าถงสองพัน ทหารม้าเหลียวหนึ่งพัน กองปืนใหญ่สองพัน ทหารราบเมืองชายแดนเก้าพัน นอกจากนี้ยังมีทหารม้า ‘ผู้กล้า’เผ่าหนี่ว์เจินนอกกำแพงเมืองหนึ่งพันห้าร้อยและทหารราบสองพัน กองกำลังทัพม้าพันสองและทหารราบพันกว่าของกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธ รวมเป็นทหารสามหมื่นสามพันกว่า หากนับรวมชายฉกรรจ์ในหน่วยบริการกองทัพที่ตามมาด้วยและคนอื่นๆ รวมแล้วสี่หมื่นสองพันคนก็คงได้
ทางโจรวัวโค่ว กองรบสองถูกทำลายราบ กองรบหนึ่งกับกองรบสาม กองหนึ่งสูญเสียไปครึ่ง กองหนึ่งสูญเสียไปหนึ่งในสาม กองที่เหลือสูญเสียไม่มาก ส่วนใหญ่ปะทะสูญเสียเพราะกำลังชาวบ้านเกาหลีในพื้นที่ลุกฮือ แต่ละหน่วยรวมกำลังกัน ก็มีขนาดราวแสนหนึ่งหมื่นคนได้
จากจำนวนคนแล้ว ทหารสามหมื่นสามพันสู้กับแสนหนึ่ง แพ้ชนะเหมือนว่ากระจ่างแล้ว หัวหน้ากองรบโจรวัวโค่วหลายคนล้วนให้กำลังใจตนเองเช่นนี้ พากันกล่าวว่าศึกนี้ชนะแน่นอน
การเคลื่อนไหวทัพใหญ่เช่นนี้ ที่คนสนใจกันที่สุดก็คือเสบียง สำหรับกองกำลังหมิง เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ความจริงนั้น ในมุมมองหนึ่งแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีหนึ่ง
โรงบ้านเพาะปลูกและการค้าต่างๆ นอกกำแพงเมือง ยังมีโรงบ้านใหญ่ที่เหลียวหนิง แม้ว่าแต่ละแห่งนอกด่านมีผลผลิตและมีกำไรการค้าต่างๆ แต่ผลผลิตหลักก็ยังคงเป็นเสบียงอาหาร เสบียงอาหารนั้นเรียกได้ว่าเป็นของจำเป็นไม่อาจขาดได้ ไม่กังวลว่าขายไม่ได้ นับประสาอันใดกับพื้นที่เหลียวหนิงที่ไม่ขาดแคลน เขตปกครองเหนือเองก็ไม่ขาดแคลน ไม่ใช่ว่าขายไม่ได้ แต่หากขายไม่ได้กำไรมากนัก มีเสบียงในมือไม่กังวล สามารถนำมาเรียกรับแรงงานชาวนาได้ยิ่งมาก ทุกคนล้วนมีความคิดนี้ แต่ทว่าก็เป็นความคิดที่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วเท่านั้น
พอหวังทงนำทัพใหญ่ออกศึก ทัพใหญ่ต้องการเสบียงเริ่มนำมาจากในด่าน มาสู่โกดังหลวงที่เหลียวหนิง หลังจากออกศึก ก็เริ่มจัดหาซื้อจากท้องที่ นี่ไม่ได้กล่าวถึงว่าในเกาหลีหรือในเหลียวหนิง หากเป็นการขนเสบียงไปทัพใหญ่ ทัพใหญ่จ่ายเงินสดซื้อ ไม่ก็เปิดตั๋วเงินเครือข่ายสามธาราให้
ไม่เพียงแต่โรงบ้านนอกกำแพงเมืองมีเสบียง แต่เทียนจินอันเป็นจุดยุทธศาสตร์ขนส่งเสบียง มีการขนส่งทางทะเล ก็ย่อมมีเสบียงสะสมอยู่มาก สำหรับเส้นทางมาก็ย่อมมากมายหลายช่องทาง ซานตง เหอหนานทางแดนใต้หลากเส้นทาง ทัพใหญ่ต้องการเสบียง ก็มีเครือข่ายสามธาราจากทุกพื้นที่จัดหาซื้อมา เสบียงอาหารที่เก็บไว้ย่อมมีโอกาสได้ใช้แล้ว
รถใหญ่ขนส่งนอกกำแพงเมืองมายังแม่น้ำยาลูขึ้นเรือออกทะเล เสบียงจากเมืองหลวงและเทียนจินมายังเมืองท่าขนขึ้นเรือ ขนไปเมืองท่าที่ใกล้ทัพใหญ่ในเกาหลี จากนั้นใช้วัวและม้าขนต่อไปยังทัพใหญ่
ส่วนใหญ่ใช้เส้นทางน้ำ ขนส่งสะดวกมาก ค่าขนส่งถูก เพราะเกาหลีแคบ พอขึ้นฝั่งแล้วไปถึงทัพใหญ่ก็ไม่ได้ใช้ระยะทางไกลนัก ชาวบ้านใช้แรงงานก็ไม่ได้ลำบากมากนัก ประเด็นก็คือ ผลผลิตแต่ละที่สามารถนำแลกเงินทองกลับไปได้ ทำให้เหล่าพ่อค้ากับโรงบ้านใหญ่ได้ลิ้มรสรสหอมหวานแห่งการเพาะปลูก เงินทองไหลมาเทมา ถึงกับเพราะการนำส่งเสบียงนี้ทำให้บุกเบิกเส้นทางการค้าหลายเส้นทาง นี่เรียกว่าเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
เทียบกับกองกำลังหมิงที่หาเสบียงได้ผ่อนคลายแล้ว เสบียงทหารโจรวัวโค่วกลับเป็นหายนะยิ่ง ทหารแสนหนึ่งหมื่นคนกินใช้กันมากมหาศาล ตั้งแต่โจรวัวโค่วรุกรานเกาหลีถึงตอนนี้ โจรวัวโค่วเอาแต่ทำลายและปล้นชิง ปีก่อนจึงได้เริ่มปลูก
ตอนเริ่มปลูก กองกำลังหมิงก็เริ่มเคลื่อนกำลังออกศึกแล้ว ไม่อาจมีการเตรียมตัวให้พร้อมอันใดได้ แม้เมืองโซอุลจะเป็นพื้นที่ผลิตอาหารของเกาหลีที่ดีที่สุด เมื่อก่อนเลี้ยงดูเกาหลีหลายแสนคน แต่ตอนนี้กินอยู่แสนหนึ่งล้วนเคร่งเครียดมาก
ในเรื่องนี้ โคบายากาว่า ทาคากาเกะและขุนพลคนอื่นๆ ให้ความเห็นชัดเจนว่า ให้เกาหลีอดตายไปร้อย ก็ไม่ปล่อยให้ทหารราบตนอดตายแม้แต่คนเดียว ด้วยหลักการนี้ จึงแบ่งกำลังหลายสายออกปล้นชิง เสบียงอาหารชาวเกาหลีล้วนถูกแย่งชิงมาหมด ตอนแรกที่โจรวัวโค่วรุกรานมาถึง เกาหลีไม่ใช่ว่าลุกเป็นไฟไปทุกที่ ยังพอมีใต้เท้าใหญ่สองค่ายขุนนางเกาหลีระดับสูง พระในวัดวาอารามที่ยังคงมีความสัมพันธ์ดีกับพวกวัวโค่ว โจรวัวโค่วดีต่อพวกเขาอยู่มาก สถานการณ์จึงยังประคองไปได้
มาถึงขั้นนี้แล้ว ไหนเลยจะสนใจเรื่องพวกนี้ เสบียงของตระกูลใหญ่เหล่านี้ค่อนข้างมาก ล้วนปล้นเอามาให้หมด
ราษฎรเกาหลีลุกขึ้นก็ยังปราบง่าย แต่หากแตะต้องผลประโยชน์ตระกูลใหญ่เหล่านี้ก็ย่อมต่างกัน พริบตา ผู้กล้ามากมายก็เริ่มคิดถึงแค้นแห่งการสูญสิ้นแผ่นดิน พากันออกมาต่อต้านวัวโค่ว พริบตาจังหวัดคยองกีกับจังหวัดชุงชองก็ลุกเป็นไฟ ทำให้โจรวัวโค่วร้อนใจขีดสุด
แต่ทว่า ทัพใหญ่นับแสนอย่างไรก็เป็นข้อได้เปรียบ รอบทิศไม่สงบ อย่างไรก็ไม่เกิดจลาจลใหญ่ แต่คนเกาหลีถูกสังหารไปหลายหมื่น การล้างตระกูลย่อมไม่ต้องพูดถึง
***************
เดือนเจ็ดแผ่นดินหมิง เมืองซงเจียงคึกคักผิดปกติ แถบเมืองหลวงและเทียนจินเองก็เข้าหน้าร้อนจัดแผดเผาไปทั่ว แต่ที่เกาหลียังคงเย็นสบาย อากาศดีมาก ไม่แห้ง เพราะอย่างไรก็เป็นคาบสมุทร ห่างจากทะเลไม่มาก
หลังหวังทงนำกำลังทัพใหญ่เข้าสู่เกาหลี แต่ละหน่วยในจังหวัดพยองอันกับจังหวัดฮัมกยองอยู่ในภาวะสงคราม ทหารม้าวิ่งไกล ล้วนรู้สึกเหนื่อยล้า เส้นทางจังหวัดฮวังแฮไปจังหวัดคยองกี นับเป็นเส้นทางที่ทำให้ได้พักจัดกระบวนทัพ เทียบกับพวกเขา ทหารราบกับทหารม้าที่ไม่ได้ร่วมต่อสู้รู้สึกอึดอัดมาก
เมืองชายแดนเปลี่ยนระบบ ทหารราบเป็นกลุ่มที่เสียประโยชน์ที่สุด เมื่อก่อนพวกเขามีเบี้ยเสบียงเพียงพอ แต่พอปฏิรูป พวกเขากลับเป็นพวกที่ถูกทอดทิ้ง ครั้งนี้นำพวกเขาออกรบ แต่คนมีสมองคิดได้ก็ย่อมคิดเข้าใจ นี่เป็นกองกำลังหลวงที่กำลังดูดรับพวกเขาเก็บไว้
ผู้ใดให้เงิน ก็ออกรบยังชีพ ทหารชายแดนไม่มีความคิดอื่นใด เพียงแต่ตลอดทางมามีความหวาดกลัวเกิดขึ้น รบยังชีพนี้ไม่ยาก แต่การฝึกกันปกติหนักมาก ธรรมเนียมปฏิบัติยังเข้มงวดเพียงนี้ จึงรู้สึกรับไม่ได้ ไยต้องลำบากด้วย ตอนนี้ไม่กลัวเหน็ดเหนื่อยหากต้องไปเป็นผู้คุ้มกันบนทุ่งหญ้าแล้ว เพราะได้กินดีอยู่ดีไม่ต่างกัน หากไม่ต้องทนฝึกหนักระเบียบเข้มงวดนี่
แต่พอได้สัมผัสนานวันก็เริ่มเปลี่ยนความคิด ความกล้าหาญต่างกัน ทหารกองกำลังหลวงเกรียงไกรอาจหาญ ความรู้สึกเหมือนองอาจกว่าหนึ่งขึ้นทำให้คนรู้สึกอิจฉามาก มีคำกล่าวว่าคนดีไม่เป็นทหาร แต่กองกำลังหู่เวยนี่ กลับมีวาจาว่า เป็นทหารสิเป็นวีรบุรุษ กระแสนี้ทำลายความเคยชินที่ว่าขุนนางบุ๋นสูงส่งกว่าขุนนางบู๊แล้ว จึงสร้างแรงดึงดูดได้อย่างมาก อีกประการหนึ่ง พอได้สัมผัสแล้ว ล้วนรู้ว่ากองกำลังหลวงมีชีวิตที่ไม่เลว เกือบทุกคนล้วนมีที่นาและการค้ายังชีพ ที่แย่ที่สุดก็ยังเป็นชาวนามีเงินที่มีสัตว์เลี้ยง มีพื้นที่ครอบครอง
ไม่ใช่ว่าก่อนเข้าเป็นทหารแล้วมีมาก่อน แต่มีหลังเป็นทหาร อยู่ในระบบกองกำลังหลวงกับเครือข่ายสามธารา ไปนอกด่าน ไปนอกกำแพงเมือง ไปทำการค้าล้วนสะดวก ผลประโยชน์เหล่านี้จึงเป็นสิ่งดึงดูดผู้คนแท้จริง ตนเองมาลำบากนอกบ้านเกิด ลูกภรรยาที่บ้านไม่ลำบาก หากตนเองเกิดมีอันเป็นไปขึ้นมา ก็จะได้มีทางยังชีพต่อไปได้ ตอนนี้ใต้หล้าเส้นทางร่ำรวยมีมาก ส่วนใหญ่ล้วนมีสายสัมพันธ์หวังทง สามารถเข้าเป็นทหารกองกำลังหลวง ก็ย่อมเป็นผลประโยชน์อันดับหนึ่ง
ทหารเบื้องหน้าคิดเช่นนี้ ขุนพลทหารก็ยิ่งมีทางมากกว่า พวกเขาคิดนั้นมากกว่าทหารผู้น้อยอยู่มาก กิจการและเงินทองในมือพวกเขาล้วนมีอยู่ และยังล้วนคิดการให้งอกเงยต่อไป
ในกองกำลังหลวง ไม่พูดถึงบรรยากาศดึงดูดพวกนั้น คิดร่ำรวยมีผู้ใดมีช่องทางมากกว่าร่วมมือกับเครือข่ายสามธาราและระบบกองกำลังหลวงเมืองชายแดน คิดจะให้งอกเงยขึ้น ตอนยกทัพปราบตะวันออกตะวันตก ล้วนกองกำลังหลวงเป็นทัพหน้า ตนเองติดตามถูกแล้ว ได้รับความดีความชอบจากสงครามมาก สะสมไปเรื่อยๆ จะไม่มีอำนาจวาสนาได้อย่างไร
เป็นดังที่หวังทงวิเคราะห์ไว้แต่แรก ในระหว่างเดินทัพออกศึกนี้ กองกำลังหู่เวยแน่นอนย่อมสามารถซื้อใจทหารเมืองชายแดนผู้เป็นทหารราบเก่งกล้ามาได้แน่
ใกล้เข้าสู่จังหวัดคยองกีแล้ว รอบค่ายใหญ่เงียบเชียบมาก อาจเพราะนินจากับนับรบที่โจรวัวโค่วส่งมาตายไปมากพอแล้ว พวกเขาน่าจะเตรียมรบใหญ่อยู่
ทหารติดตามรอบกระโจมแม่ทัพพบว่า แม่ทัพใหญ่ผู้ประสบเรื่องใหญ่ใดยังนิ่ง บัดนี้ถึงกับนอนไม่หลับ แม่ทัพใหญ่ระดับผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เหตุใดจึงไม่อาจระงับจิตใจให้นิ่งได้กัน?
“…สถานการณ์ตอนนี้ โจรวัวโค่วเตรียมรับศึกที่เมืองโซอุลแล้ว!”
“โจรวัวโค่วเสียเปรียบทหารม้าเรามาก ดังนั้นไม่กล้าเลือกสนามรบกว้างมากไป แต่พวกเขาทหารไม่น้อย ได้แต่เลือกรอบเมืองเมืองโซอุล!”
ในกระโจมแม่ทัพ หัวหน้ากองกำลังหู่เวยกับหัวหน้ากองกำลังอื่น และรองแม่ทัพล้วนมารวมตัวกัน มารวมกันอยู่หน้ากะบะทรายจำลองสนามรบ ตอนนี้ทัพใหญ่ตั้งทัพระยะห่างจากสนามรบราวเดินทางหนึ่งชั่วยามกว่า ยืนบนที่สูงก็จะสามารถมองเห็นภาพเมืองโซอุลลางๆ
ตลอดทางมา โจรวัวโค่วไม่ได้ส่งทหารมาก่อกวน ทุกคนล้วนเป็นผู้รู้พิชัยสงคราม มองดูแล้วก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายคิดตั้งสนามรบที่นั่น
เกาหลีพื้นที่เช่นนี้ สองทัพใหญ่ปะทะกัน ก็ย่อมมีอุบายและกลยุทธ์ที่มากมาย สุดท้ายอย่างไรก็ต้องปะทะกันไม่ถอยในห้วงเวลาสำคัญอยู่ดี ขอเพียงกองกำลังหมิงป้องกันรอบด้าน ค่อยๆ บดขยี้ลงใต้ โจรวัวโค่วก็คงได้แต่ยืนหยัดต่อสู้ หากไม่สู้ ก็ย่อมค่อยๆ ถอยร่วงทะเล หนีเข้าเขาไปแทน ก็ไม่ต่างอันใดกับแตกพ่าย
ก่อนกองกำลังหู่เวยออกศึก เริ่มจากมองดูสนามรบภาพรวม พอดูสนามรบภาพรวมแล้วก็มารวมกันในกระโจมแม่ทัพหารือ ตัดสินใจก้าวต่อไปในการรบ แต่ละคนรู้สถานะตนดี ในใจไม่ตื่นตระหนก นี่เป็นหนึ่งในงานเตรียมตัว
หวังทงชี้ไปยังกะบะทรายตรงหน้า คนรอบๆ ล้วนตั้งใจมองตาม ถึงเวลา ที่ต้องพูดกลับไม่มาก
“พรุ่งนี้ออกศึก คืนนี้ทุกท่านไม่ยังต้องระวังตนอยู่เสมอ ต้องเตรียมการให้ดี โจรวัวโค่วยังเตรียมหาช่องทางตลอด ทุกคนดูสนามรบ ไม่ใช่ว่าพบพวกนินจาอะไรพวกนั้นหรือ? ยากที่จะบอกได้ว่าคืนนี้โจรวัวโค่วจะเสี่ยงมาอีกหรือไม่!”
หวังทงเอ่ยขึ้น ทุกคนล้วนรับคำสั่ง เรื่องปะทะกลางคืนพวกนี้พวกเขาไม่เป็นห่วง ด้วยขนาดกำลังโจรวัวโค่ว หากเคลื่อนกำลังทั้งหมดมายามค่ำคืน กลัวว่าไม่ทันรอให้เปิดศึก พวกเขาก็คงอาจแตกกระเจิงไปในความมืดหมดก็เป็นได้ แต่การโจมตีเล็กๆ หรือการเสี่ยงภัยไม่คำนึงชีวิตพวกนี้ก็ยังต้องเตรียมป้องกันให้ดี
ทุกคนวันนี้มาร่วมชมสนามรบ ยังพบการโจมตีซุ่มบนเขา เรียกว่าซุ่มไม่ถูกต้องนัก ทหารติดตามออกไปตระเวนตรวจตราก่อน คนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกมากประสบการณ์ แน่นอนพบเห็นความผิดปกติหลายแห่ง โจรวัวโค่วมีซุ่มนินจากับซามูไรไว้สามร้อยกว่า เดิมทีคิดจะก่อการตอนศัตรูไม่ตั้งตัว แต่กลับถูกทหารม้ากองกำลังหมิงกวาดล้างสิ้น
“ทุกท่านตรวจตรารอบค่ายแล้วก็ไปพักผ่อนเถิด หู่โถวอยู่ก่อน!”
หวังทงกล่าวอีก ทุกคนล้วนคำนับรับคำสั่ง ลี่เทากับซุนซิงสองคนลุกขึ้นแล้วก็ล้วนแอบมองไปยังหลี่หู่โถว สายตาอิจฉา
ไช่หนานกับหยางซือเฉินล้วนอยู่ในกระโจม คนอื่นถอยออกไปหมด ในกระโจมแม่ทัพบรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลาย หวังทงขยี้ใบหน้า หาวหวอดกล่าวว่า
“สองวันนี้นอนไม่ค่อยหลับ สติสตังยังไม่พร้อม ไม่รู้เป็นไร?”
ไม่รอคนอื่น ๆ กล่าว หลี่หู่โถวยิ้มกล่าวว่า
“ศึกใหญ่ใกล้ปะทุ พี่ใหญ่คงไม่ใช่เครียดกระมัง พี่ใหญ่มักกล่าวกับพวกเราว่า จะต้องนิ่งสุขุม เรื่องใหญ่ทุกเรื่องต้องเผชิญด้วยความนิ่งสุขุม”
หวังทงส่ายหน้าอย่างไม่ได้รู้สึกดีขึ้น กำลังจะเอ่ยขึ้น ก็หยุดลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“เจ้าพูดมาก็เหมือนเป็นเช่นดังว่าจริง ในใจข้าเหมือนไม่อาจนิ่งได้ เหมือนตอนไหนนะ อ่อ ตอนเด็กอยากกินเนื้อ ท่านพ่อรับปากข้าทำเนื้อน้ำแดง คืนก่อนหน้าก็จะพลิกตัวไปมานอนไม่หลับแล้ว!”
ในกระโจมแม่ทัพหลายคนหัวเราะฮาดัง ไช่หนานส่ายหน้ากล่าวว่า
“ใต้เท้าเหตุใดเคร่งเครียดเช่นนี้ ตอนนั้นใต้เท้านำกำลังจากต้าถงขึ้นเหนือ ทะลายเมืองกุยฮว่าเฉิง ตอนนั้นสถานการณ์อันตรายกว่าตอนนี้ไม่รู้เท่าไร ใต้เท้ายังนอนได้สบาย วันนี้อาจเพราะอยู่นอกแผ่นดินเกิด อากาศไม่คุ้นชินกระมัง”
หลานคนล้วนพยักหน้าเห็นด้วย ตั้งแต่ออกศึกมา ทุกคนในกองกำลังหู่เวยล้วนวิเคราะห์โจรวัวโค่วว่า มีระเบียบแบบแผน ไม่ใช่พวกไก่กา แต่กำลังการต่อสู้เทียบกับทหารม้าพวกนอกด่านหลายหมื่นตอนนั้นที่เมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว เรียกได้ว่าห่างชั้นกันลิบ ตอนนั้นกองกำลังหู่เวยมีอันใด ตอนนี้กองกำลังหู่เวยมีอันใด ตอนนั้นล้วนได้ชัยชนะใหญ่รุ่งโรจน์ ตอนนี้ยิ่งไม่เป็นรอง หวังทงไม่รู้เคร่งเครียดอะไร
แน่นอน ศึกใหญ่ใกล้ปะทุ ทุกคนไม่อาจผ่อนคลายตนเองได้ง่าย อย่างไรก็ต้องหาอะไรคุยเล่นกันก่อนจึงค่อยแยกย้าย หยางซือเฉินเป็นขุนนางจดบันทึกประจำกองทัพ ต้องถามว่ามีคำสั่งใดอีกไหมก่อนจึงจะออกไปได้
“แต่ละค่ายกวดขัน เตรียมรบพรุ่งนี้ เรื่องอื่นไม่มี!”
หวังทงกล่าวจบ อีกฝ่ายก็ตวัดพู่กันจดบันทึกไปมารวดเร็ว หยางซือเฉินกำลังจะขอตัว ได้ยินหวังทงหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า
“ไม่รู้ทำไมข้านอนไม่หลับ ในใจเหมือนเต้นแรง ไม่สบายใจ”
“แม่ทัพใหญ่ อย่างไรกัน?”
“หลังศึกนี้ ยังมีศึกใดให้รบอีกไหม? ยังมีความต้องการแม่ทัพอย่างข้านำกำลังต่อสู้อีกไหม?”
หวังทงกล่าวขึ้นเรียบๆ วาจาแม้ว่าอวดตัว แต่มาคิดให้ดี ก็เป็นเช่นนี้จริง หลังตีประเทศวัวพ่าย ชื่อเสียงย่อมเกรียงไกรไปทั่วสารทิศ ทุกที่สงบสุข แม้อาจยังมีการปะทะเล็กๆ แต่ก็ไม่ต้องถึงกับให้หวังทงออกนำทัพเองแล้ว หัวหน้ากองกำลังหลวงเจ็ดหน่วย เดาวันวันหน้าก็เป็นแม่ทัพกรำศึกได้แล้ว
หยางซือเฉินคิดไปคิดมา พริบตาก็รู้สึกความรู้สึกร้อยพันประดังเข้ามา ดังคำกล่าวว่า ‘ที่สูงมักหนาว’ ก็คงกล่าวถึงยามนี้นี่เอง หยางซือเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคำนับกล่าวว่า
“ใต้หล้าสงบสุข เป็นวาสนาแผ่นดินหมิง บารมีโอรสสวรรค์ บารมีกั๋วกงเช่นกัน ข้าน้อยไม่รู้การทหาร ในเมื่อกั๋วกงตัดสินแล้วว่าศึกนี้ต้องชนะแน่ ก็คงชนะแน่นอนแล้ว ที่ข้าน้อยต้องการกล่าวก็คือ กั๋วกงตอนนี้ควรคิดได้แล้ว วันหน้ากั๋วกงจะยืนบนแผ่นดินหมิงอย่างไร?”
“ยืนอย่างไร ยืนอย่างไรดีล่ะ!?”
หวังทงพึมพำขึ้น ส่ายหน้า หัวเราะเฝื่อน ไม่กล่าวอันใด
****************
วันที่ 5 เดือนเจ็ดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 21 แสงแรกของท้องฟ้า ทหารเฝ้าเวรเงยหน้ามองท้องฟ้า พึมพำกับตัวเอง
“วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสมาก!”
ไม่รอให้ทหารติดตามเข้ามาเรียก หวังทงเองก็ตื่นแล้ว หลับไม่สนิทจริงๆ เมื่อคืนฝันมากมาย ย่ำรุ่งก็ตื่นแล้ว
ทหารติดตามยกน้ำล้างหน้าเข้ามา รับใช้สวมเกราะให้หวังทง ยุ่งกับเรื่องพวกนี้เสร็จ ทั้งค่ายก็เริ่มมีเสียงเคลื่อนไหวขุนพลทหารตะโกนดัง ทหารล้วนเตรียมการ พ่อครัวก็เริ่มนำอาหารมาให้ทหารในค่าย ล้วนเริ่มเตรียมการเพื่อศึกใหญ่ที่กำลังจะปะทุ
“แม่ทัพใหญ่ โจรวัวโค่วเปิดประตูเมืองแล้ว ทหารออกมาตั้งแถวด้านนอกแล้ว!”
“แม่ทัพใหญ่ ไม่พบเห็นการเคลื่อนไหวใหญ่ของศัตรู ทหารทางอื่นของเราก็ยังไม่พบเห็นศัตรู!”
ข่าวแต่ละสายเริ่มมายังกระโจมแม่ทัพไม่หยุด หวังทงกินแผ่นแป้งง่ายๆ ไปสองชิ้นพร้อมน้ำซุปเนื้อแพะ จากนั้นโดดขึ้นม้า มองเห็นหวังทงบนหลังม้า แต่ละหน่วยในกองทัพล้วนรีบเร่งเตรียมตัว
พระอาทิตย์โผล่เหนือท้องฟ้าแล้ว แต่ละค่ายตั้งแถวเสร็จแล้ว รอคำสั่งเดินทัพ หัวหน้ากองมารวมตัวกัน ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หลี่หู่โถวขี่ม้าวิ่งมาทางหวังทง ยิ้มกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ วันนี้เผด็จศึก พี่น้องเรากำลังใจฮึกเหิมมาก แต่ก็ขอแม่ทัพใหญ่กล่าวอะไรสักคำสองคำ ให้ทุกคนยิ่งฮึกเหิม!”
หวังทงก่อนออกรบไม่มีพิธีรีตองมาก หลักการการเป็นแม่ทัพของเขาก็ง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ก็คือขอเพียงกำลังเราเหนือศัตรู บนสนามรบไม่ทำอันใดผิดพลาด ก็ย่อมได้รับชัยชนะที่รับประกันได้ ที่ควรทำก็คือ ห้ามประมาท ทำทุกอย่างให้พร้อม เช่นนั้นผลที่ควรได้ก็ย่อมได้ตามนั้น
สำหรับคำประกาศก่อนออกศึก จำทำให้เลือดในกายทุกคนเดือดพล่านส่งเสียงตะโกนดัง แต่ไม่ได้มีอันใดสัมพันธ์กัน กับชัยชนะ หวังทงแต่ไรมาไม่คิดทำ แต่ทว่าวันนี้การต่อสู้มีความหมายมาก ความเคยชินควรเปลี่ยนบ้างก็ได้
หวังทงพยักหน้า ขี่ม้ามายังหน้าทัพใหญ่ ทัพใหญ่สามหมื่น คนหนึ่งตะโกน คนหลายร้อยย่อมไม่ได้ยิน แต่ทว่าก็มีวิธีรับมือ ทหารติดตาม ขุนพลทหารแต่ละกองล้วนจัดเตรียมการไว้พร้อม ตอนหวังทงกล่าว แต่ละคนก็ถ่ายทอดต่อๆ กันไปเป็นทอดๆ
ทัพใหญ่เงียบลงทันที นอกจากเสียงม้าร้องแล้วไม่ได้ยินเสียงอื่นใด หวังทงบนหลังม้าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตะโกนดังว่า
“เผ่าอันต๋าทรงอิทธิพลทั่วทุ่งหญ้า ตั้งตัวเป็นราชา ณ เมืองกุยฮว่าเฉิง มีทหารม้าห้าหมื่น อวดอ้างว่าจะลงใต้มาหาที่เลี้ยงม้าได้ตลอดเวลา จะยึดครองแผ่นดินหมิง ศัตรูแกร่งกล้าเช่นนี้ สามวันถูกทัพเราทำลายราบ ตัดหัวทิ้งไปห้าหมื่น สังหารล้างเมือง นอกด่านหมื่นลี้ล้วนเป็นอาณาเขตแผ่นดินหมิง เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวรวมกำลังกับพวกป่าเถื่อน เรียกว่ามีกำลังแข็งแกร่งมาก รุกรานเหลียวโจวเรา ข้ายกทัพปราบตะวันออก ตัดหัวมาได้เกินแสน พื้นที่เจี้ยนโจว ไม่เหลือรอดแม้แต่สุกรและสุนัข…”
หวังทงทุกวาจาที่กล่าวจะหยุดพักหนึ่ง ให้ทหารในสังกัดกับขุนพลทหารท่องดังตามรอบหนึ่ง ทั้งทัพใหญ่เริ่มมีเสียงดัง เสียงหวังทงแม้ดังมาก แต่น้ำเสียงราบเรียบ ในความราบเรียบ แต่ละคนล้วนรู้สึกมั่นใจและภาคภูมิใจ กองกำลังหู่เวยชื่อเสียงก้องหล้า ไม่ได้เพราะอาศัยแค่พระเมตตาโอรสสวรรค์ และอาศัยกำลังรบอันแท้จริงของตนฟันฝ่ามา แต่ไรมาไม่เคยมีเช่นนี้มาก่อน ความดีความชอบสังหารราชาศัตรูยึดแผ่นดินมาได้ กองกำลังเช่นนี้ จะไม่ชนะได้อย่างไรไหว จะพ่ายศึกได้อย่างไร ขุนพลทหารตอนถ่ายทอดคำสั่งต่อๆ กันไป ก็ล้วนเริ่มมีเสียงสั่น พวกเขาถูกวาจานี้ราดรดจิตใจอย่างไม่ทันรู้ตัว ตั้งแต่ระดับขุนพลทหารไปจนพลทหาร แต่ละคนเลือดในกายเดือดพล่าน
“…กองกำลังเราสามหมื่น โจรวัวโค่วแสนหนึ่ง ขุนพลทหารเป็นทหารเก่งกล้าใต้หล้า โจรวัวโค่วก็แค่หมูหมากาไก่ ศึกในวันนี้ พวกเราต้องชนะ ทุกคน ด้านหน้าก็คือศัตรู ชนะพวกเขา ให้วันนี้ได้เป็นความดีความชอบอันทรงเกียรติของพวกเจ้าไปยังชั่วลูกชั่วหลาน…ฟังคำสั่งข้า บุก!!”
พูดไปๆ หวังทงเองก็ตื้นตันเช่นกัน พูดวาจาสุดท้ายจบ ก็ยกแส้ขึ้น สองข้าหนีบม้าแน่น ม้าส่งเสียงร้องดัง ยกตัวคนบนหลังขึ้น
ทั่วสนามเงียบกริบ รอจนม้ายกขาลงถึงพื้น ฝุ่นตลบ พริบตาก็มีเสียงร้องตะโกนดังราวก้องทั่งหุบเขาทั่วผืนทะเล ทหารราบกวัดแกว่งยกทวนยาวกับปืนไฟพวกเขา ทหารม้ากวัดแกว่งดาบ ทหารปืนใหญ่ล้วนเคาะปืนใหญ่ แต่ละคนล้วนตะโกนดัง วาจามากมาย สุดท้ายเป็นวาจาเดียวกันว่า
“ต้องชนะ!! ต้องชนะ!! ต้องชนะ!!”
บรรดานกในกองพุ่มไม้ที่ไกลออกไปตกใจกระพือปีกบิน ขุนพลทหารตะโกนดังออกคำสั่งเดินหน้าบุก ทหารแผ่นดินหมิงค่อย ๆ เคลื่อนกำลังเดินหน้า ไปยังสนามรบ
เดือนเจ็ดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 21 เมืองโซอุลไปทางเหนือสิบลี้ สองทัพเปิดศึก!!