องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 108 ต้องการที่จะออกหน้ารับแทน
ทังเหอตกตะลึงและเช็ดเหงื่อของเขา
เหงื่อออกทั่วร่างกายท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตรงไปที่หน้าของหนานกงเย่ “เดิมทีข้าคิดว่า การได้พบกับท่านอ๋องเป็นเรื่องที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตของข้า ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับตระกูลจักรพรรดิ มีศักดิ์เป็นถึงหนึ่งในวงศาคณาญาติของจักรพรรดิ อย่าพูดถึงแค่เรื่องแต่งงานเลย แค่เพียงเรื่องอาหารการกิน การนอน ทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การปรนนิบัติจากคนอื่นทั้งสิ้น”
“แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีมากที่สุด ท่านอ๋องไม่ได้เป็นคนเจ้าชู้ และท่านอ๋องก็ไม่ได้เป็นคนโมโหร้ายอันธพาล ข้ารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก”
เมื่อนึกถึงชะตากรรมอันน่าเศร้าของผู้หญิงเหล่านั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็ค่อนข้างหดหู่
ผู้ชายที่โหดร้ายเช่นนี้ แต่ยังคงต้องร้องทุกข์ให้เขา
ช่างน่าหดหู่ใจเสียจริง
หนานกงเย่บีบไปที่คางของฉีเฟยอวิ๋น “ข้าไม่ชอบฟังสิ่งเหล่านั้น แต่ประโยคหลังนั้นข้าชอบฟัง”
“ท่านอ๋อง ท่านรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่หาร่องรอยของคนร้ายภายในเรือนแห่งนี้ใช่หรือไม่?”
“ใช่”
หนานกงเย่ปวดหัวด้วยเหตุนี้จริงๆ คดีนี้เป็นคดีที่รับมือยาก และเขาไม่อยากรับมัน
เขารู้ดีว่าท่านอ๋องกั่วจวิ้นเป็นคนเช่นไร ตายไปอย่างไร้ค่า
เรื่องในเรือนแห่งนี้ไม่ได้เป็นความลับตั้งแต่แรกแล้ว แต่เพราะท่านอ๋องกั่วจวิ้นนั้นมีตำแหน่งที่สูงศักดิ์ ใครก็ไม่กล้าที่จะฉีกหน้า เพื่อทำให้ราชวงศ์ต้องอับอายเสียหน้า
มาวันนี้เมื่อโยนไปให้เขา จะทำหรือไม่ทำก็เป็นเรื่องที่ลำบากใจ
หนานกงเย่ปล่อยมือของเธอและมองไปรอบๆ “ข้ายังสามารถได้กลิ่นคาวเลือด เพียงแต่ว่าคนได้ตายจากไปแล้ว และหิมะหนาได้ปกคลุมพื้นดินทั้งหมด และข้าก็มาช้าไปถึงสองเดือน คดีนี้ยากสักหน่อยหากต้องสอบสวน”
“ท่านอ๋อง ข้าสามารถทำให้คดีนี้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างสงบ หนานกงเย่มองไปที่เธอ “เจ้า?”
“เพียงแค่ท่านอ๋องต้องการสอบสวนหรือไม่ ถึงอย่างไรหากสิ่งที่ผู้หญิงเหล่านั้นเผชิญถูกเปิดเผยออกมาให้คนรับรู้ และถูกตัดสินว่ามีความผิด มันจะยากขึ้นสำหรับผู้หญิงที่จะอยู่รอดต่อไปในอนาคต”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าอย่างสุดซึ้งต่อผู้หญิงในยุคโบราณ
“ฆ่าคนอื่นเพื่อแลกชีวิต สัจธรรมอันเปลี่ยนแปลงมิได้ ข้ารู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่อาจให้อภัยได้ ตั้งแต่ที่ก่อตั้งอาณาจักรต้าเหลียงขึ้นมา ทรัพย์สมบัติของชาติก็รุ่งเรือง ถึงแม้จะมีไม่มาก แต่ก็ไม่ได้ขาดแคลน”
เดิมทีพวกเขาสามารถไปร้องเรียนได้ที่ที่ทำการประจำเมือง แต่กลับเลือกที่จะยอมจำนน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกเขาไม่สามารถโทษผู้อื่นได้
“……” ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น “ท่านอ๋อง ตอนที่หม่อมฉันเข้าไปในจวนก็ถูกทำร้ายอยู่บ่อยครั้ง หม่อมฉันก็ได้กราบทูลไปยังจักรพรรดิแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหย่าร้างกับท่านได้?”
“ไม่มีเหตุผล จะเหมือนกับข้าได้อย่างไร?”
ใบหน้าของหนานกงเย่บูดบึ้ง เรื่องในอดีตจะพูดอีกทำไมกัน?
ทังเหอก้มศีรษะลง พระชายายังคงคิดแค้นในเรื่องนี้
“หยุดพูดไร้สาระ รีบสอบสวนคดีนี้ให้เสร็จเรียบร้อย เรื่องที่พระชายาพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ?”
หนานกงเย่ถาม ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ถนัดที่จะพูดจาไร้สาระ จึงพูดอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าเป็นความจริง ท่านอ๋อง คืนนั้นในตอนที่หิมะตก การตายของคนนั้นคงเป็นตอนหลังจากที่หิมะตก ดังนั้นพวกเขาวางแผนไว้แล้วทั้งหมด แบบนี้ก็ทำให้มีเวลา”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีหลักฐาน ไม่สามารถเอาผิดได้” หนานกงเย่ก็รู้เช่นกัน แต่หลักฐานยังมีไม่เพียงพอ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว “ท่านอ๋อง แล้วท่านอ๋องจวิ้นน้อยล่ะเพคะ ข้าสามารถดูหน่อยได้หรือไม่?”
“อืม ได้สิ”
หนานกงเย่หันหลังกลับและออกจากเรือนแล้วเดินไปที่อื่น
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็เดินตามหนานกงเย่ออกไป และมาถึงยังอีกเรือนหนึ่งที่ใหม่และดูสวยงาม เรือนไม่ใหญ่นัก แต่ภายในถูกตกแต่งอย่างดีและมีอุปกรณ์เครื่องใช้ทุกชนิด มีต้นเหมยฤดูหนาวอยู่ภายในเรือน
มีคนเฝ้าอยู่ภายในเรือน เมื่อฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่เข้าไปก็มีคนออกมา เป็นแม่นม
แม่นมรีบแสดงความเคารพ “บ่าวคารวะท่านอ๋องเย่เพคะ”
“อืม เรียกอี๋เหนียงที่เจ็ด (อนุภรรยาคนที่เจ็ด) มาให้ข้าหน่อย และนำเด็กมาให้ข้าเห็นหน่อย” หนานกงเย่สั่งออกไป
“เพคะ”
แม่นมหันหลังกลับเพื่อไปเชิญอี๋เหนียงที่เจ็ดออกมา อี๋เหนียงที่เจ็ดจูงมือเด็กอายุประมาณเจ็ดแปดขวบออกมาด้วยอีกหนึ่งคน ดวงตาของเด็กน้อยนั้นเหม่อลอย ราวกับถูกหวาดกลัว
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยต้องการดูเด็กสักหน่อยขอรับ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นและโค้งตัวลง
อี๋เหนียงที่เจ็ดสวยงามราวกับดอกไม้ แต่ดวงตาของเธอดูหมองคล้ำ เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนที่มีความอดทนอย่างมาก
ฉีเฟยอวิ๋นต้องการลงมือทางเด็กน้อย
“ไปสิ”
หนานกงเย่เอามือไพล่หลังและยืนรอ อี๋เหนียงที่เจ็ดที่เด็กออกไปข้างๆ ฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าและจ้องมองไปที่เด็กน้อย ดวงตาของเด็กน้อยสวยงามอย่างมาก และเวลานี้ก็จ้องมองมาที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่กะพริบตา
ฉีเฟยอวิ๋นยกมือขึ้นเพื่อจับมือของเด็ก เด็กน้อยไม่มีการตอบสนอง ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มทำการตรวจสอบ
ไม่นานฉีเฟยอวิ๋นก็ปล่อยมือของเด็กน้อยลง
“เด็กเกิดความหวาดกลัว”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและกลับไปที่หนานกงเย่
หนานกงเย่มองไปที่อี๋เหนียงที่เจ็ดและเด็กน้อย หันกลับและเดินออกไปจากเรือน
ภายหลังออกมาจากประตู ฉีเฟยอวิ๋นดึงแขนของหนานกงเย่ไว้ “ข้าสามารถทำให้เด็กคนนี้หายเป็นปกติ”
หนานกงเย่หันกลับมา “นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากเกิดเรื่องขึ้น ข้าก็ไม่สามารถช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้”
“ลองดูก็ได้”
สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นนั้นจริงจัง หนานกงเย่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “ก็ได้”
เวลาหลังเที่ยง มีเสียงตะโกนดังออกมาจากภายในเรือนของอี๋เหนียงที่เจ็ด อี๋เหนียงที่เจ็ดวิ่งออกมาจากเรือน และหาลูกชายทั่วทุกมุมก็หาไม่เจอ
ในเวลานี้ ทังเหอติดตามอี๋เหนียงที่เจ็ดไปที่ห้องโถงด้านหน้าที่ของท่านอ๋องกั่วจวิ้น
อี๋เหนียงที่เจ็ดเดินเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง คุกเข่าลงและกอดขาของพระชายากั่วจวิ้นเอาไว้ “พระชายา พระชายาได้โปรดช่วยเหอเอ๋อร์ด้วยเพคะ เขาหายไป เขาหายไปแล้ว”
“ลุกขึ้น หยุดร้องเถอะ”
พระชายากั่วจวิ้นพยุงคนที่อยู่ตรงเท้าของนางขึ้นมา เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ทังเหอที่ยืนอยู่ที่ประตู หัวใจสั่นไหวชั่วขณะ เข้าใจว่ากำลังจะถึงจุดจบ แต่ก็ไม่รู้สึกตื่นตระหนก
หลังจากที่ลุกขึ้นมาก็จัดการเสื้อผ้าเล็กน้อย เดินออกไปที่ประตูเพื่อไปเจอกับทังเหอ
“ท่านทัง” พระชายากั่วจวิ้นแสดงความเคารพ
“เชิญพระชายาและอี๋เหนียงทุกท่านขอรับ”
หลังจากพูดจบ ทังเหอก็ติดตามพระชายากั่วจวิ้นไปเรือนที่เกิดเหตุขึ้น
ในขณะนี้ ฉีเฟยอวิ๋นใช้ให้คนใส่ชุดที่เต็มไปด้วยเลือดและนอนลงกับพื้น ใช้เสื้อคลุมปิดศีรษะเอาไว้ ทำเหมือนกับถูกตัดศีรษะ เธอและหนานกงเย่ยืนอยู่ภายในเรือน
เด็กน้อยถูกปล่อยออกมา และเมื่อเห็นกับสิ่งที่อยู่กับพื้น เขาตกใจจนตอบสนองขึ้นทันที “อ๊า……อ๊า……”
เด็กน้อยจับศีรษะของเขาและตะโกนออกมา ฉีเฟยอวิ๋นถือเข็มเงินจำนวนหนึ่งและรีบเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว แทงเข็มเข้าไปที่จุดฝังเข็มหลายจุดของเด็กเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะสงบลง
เด็กน้อยยืนอยู่ครู่หนึ่ง และหมดสติลง
ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเด็กไปข้างๆ และเอาเข็มออกอย่างระมัดระวัง
หนานกงเย่เดินมาตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น “เป็นเช่นไรบ้าง?”
“ต้องรอให้เขาฟื้นขึ้นมา เขากลับเป็นปกติแล้ว แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะหายดีมากน้อยแค่ไหน ยังมีความหวาดกลัว และยังมีความเหม่อลอย แต่ก็ดีกว่าที่เขาไม่พูดไม่จาเลย”
เด็กน้อยค่อยๆ ลืมตาขึ้น และมองเห็นฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าของเขา เด็กน้อยร้องไห้ขึ้นมา ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเด็กขึ้นมาและลูบหลังเขา “ไม่กลัวนะ”
เด็กน้อยร้องไห้และตะโกนออกมา “เสด็จพ่อจะฆ่าข้า เขาต้องการจะฆ่าข้า!”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หนานกงเย่ หนานกงเย่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อมองไปที่ประตูของเรือน พระชายากั่วจวิ้นกำลังยืนอยู่ที่นั่นและยังมีผู้หญิงอีกจำนวนหนึ่งมาด้วย เหล่าหญิงสาวต่างพากันร้องห่มร้องไห้
ฉีเฟยอวิ๋นทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
เธอลุกขึ้นและอุ้มเด็กเอาไว้ ฉีเฟยอวิ๋นนำไปส่งตรงหน้าของพระชายากั่วจวิ้น
“คนตั้งมากมายตายไปแค่หนึ่งคน ก็ยังดีเสียกว่าทุกคนตายกันหมด คดีนี้ถูกจับตามองแล้ว หากไม่มีใครออกมารับผิด เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้”
นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด สิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นสามารถทำได้ก็มีเพียงแค่นี้
เธอรู้สึกว่าเดินไปที่ประตูห่างจากหนานกงเย่ออกไปสามสิบเมตร พูดเบาๆ หนานกงเย่คงไม่ได้ยิน
พระชายากั่วจวิ้นอุ้มเด็กน้อยไว้และมอบให้กับอี๋เหนียงที่เจ็ด และกล่าวว่า “น้องชาย เจ้าเป็นใครกัน? ทำไมที่หูของเจ้าถึงเจาะหูด้วย?”
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มและกล่าวว่า “ข้าติดตามสามีของข้ามา”
พระชายากั่วจวิ้นเข้าใจขึ้นมาในทันใด เงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่หนานกงเย่ที่ยืนอยู่ข้างหลังของฉีเฟยอวิ๋น และพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
พระชายากั่วจวิ้นทำท่าแสดงความเคารพต่อฉีเฟยอวิ๋น “ขอบใจมากน้องชาย”
เมื่อพูดจบพระชายากั่วจวิ้นก็หลบฉีเฟยอวิ๋นและเดินตรงไปหาหนานกงเย่ เมื่อไปถึงหนานกงเย่ก็ทำท่าแสดงความเคารพ “ท่านอ๋องเย่ เรื่องคดีนี้ข้าจะให้คำตอบกับท่านในวันพรุ่งนี้ ไม่ทราบว่าสามารถเชิญพระชายาเย่มาเป็นแขกในจวนได้หรือไม่ พรุ่งนี้เช้ามิ่งฟู่จะรอต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู”
หนานกงเย่เลิกคิ้วขึ้นและเหลือบมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น “ได้สิ”
หลังจากพูดจบ หนานกงเย่ก็เดินออกมาจากเรือน ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินตามออกมา
เมื่อออกมาจากจวนท่านอ๋องกั่วจวิ้น ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่พูดอะไร อาหารค่ำก็ไม่ทาน
ตอนกลางคืนก็นอนอย่างไม่สงบ หนานกงเย่ดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด และกอดรัดเธอไว้ตลอดทั้งคืน
“ในเมื่อกลัวแล้วทำไมต้องเข้าไปข้องเกี่ยว ตอนนี้กลับนอนไม่หลับใช่ไหม?” หนานกงเย่ไม่ได้รู้สึกโกรธ เขาลูบไล้เธอชั่วครู่ หัวใจของผู้หญิงคนนี้ช่างอ่อนโยนนัก
“คนมากมายขนาดนั้น ถึงท่านอ๋องกั่วจวิ้นตายก็ไม่สาสมกับความผิดหรือบาปกรรมที่ทำลงไป แล้วข้าจะหลับลงได้อย่างไร”
“คิดเรื่องที่ต้องไปจวนท่านอ๋องกั่วจวิ้นในวันพรุ่งนี้จะดีกว่าไหม”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นเศร้าสลดตลอดทั้งคืน เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้า เธอแต่งกายด้วยชุดธรรมดา และนั่งในรถม้าของจวนท่านอ๋องเย่ติดตามหนานกงเย่ไปที่จวนท่านอ๋องกั่วจวิ้น
ภายนอกรถม้า พระชายากั่วจวิ้นได้นำสมาชิกผู้หญิงในจวนท่านอ๋องกั่วจวิ้นออกมาให้การต้อนรับ
“มิ่งฟู่คารวะท่านอ๋องเย่ และพระชายาเย่”
“ฮูหยินลุกขึ้นเถิด” หนานกงเย่ยกมือขึ้นแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องพิธีรีตองมาก พระชายากั่วจวิ้นก็ไม่ลังเลและกล่าวว่า “เชิญพระชายาเข้าไปข้างใน มิ่งฟู่มีของที่อยากให้พระชายาดูด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพระชายากั่วจวิ้นจะมาไม้ไหน แต่เมื่อหนานกงเย่ส่งสัญญาณ ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินตามเข้าไป
เมื่อมาถึงห้องที่กว้างขวาง พระชายากั่วจวิ้นได้สั่งให้คนปิดประตูให้แน่น และนำหญิงสาวเหล่านั้นถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น จนพวกนางเปลือยเปล่า
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูรอยแผลเป็นของบาดแผลที่น่าตกใจเหล่านั้น และพระชายากั่วจวิ้นก็ค่อยๆ สวมเสื้อผ้าของนาง “มิ่งฟู่ไม่ร้องขอสิ่งอื่นใด พี่น้องทุกคนต่างน่าสงสาร”
“เดิมทีพวกเราก็ต้องใช้สามีร่วมกัน แม้ว่าเราจะให้เกียรติ แต่ก็มีเรื่องบาดหมางระหว่างกัน”
“แต่เมื่อได้พบเจอกับสามีเช่นนี้ จึงทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราราวกับพี่น้อง”
“ถึงแม้ว่าพระชายาไม่อาจเข้าใจได้ เพราะท่านอ๋องเย่รักและโปรดปรานพระชายาเย่”
“ข้ามีชีวิตอยู่มาสี่สิบปี ไม่เคยเห็นท่านอ๋องสามารถนำพระชายาออกไปทำงานด้วย เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องเย่และพระชายาเย่นั้นแข็งแกร่งราวกับก้อนทองคำแท่ง”
“วันนี้ที่ลงไป ไม่ใช่เพราะต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เมื่อวานที่พระชายาพูดออกไป ทำให้มิ่งฟู่รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก มิ่งฟู่ยินดียอมรับความผิดต่อเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เพียงผู้เดียว แต่พระชายาได้โปรดช่วยชีวิตของพวกนางทั้งหมด และปกป้องเด็ก!”
“ชาติหน้ามิ่งฟู่ขอเกิดมาเพื่อรับใช้และตอบแทนให้กับพระชายาเพคะ”
เมื่อพระชายากั่วจวิ้นพูดจบก็ได้คุกเข่าลง ภรรยาคนอื่นๆ ต่างก็คุกเข่าลง
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่ดีนัก ออกจากประตูและเดินออกไป
หนานกงเย่ที่ยืนรออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นเธอเดินออกไปก็เดินเข้ามาเพื่อถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าต้องการเข้าวังเพื่อไปพบเสด็จแม่”
“……”
หนานกงเย่จ้องมองเธออยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขารู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนความคิดของเธอได้ง่าย แต่ก็ไม่สามารถตามใจเธอแบบนี้ได้
“หากพระชายาต้องการให้อาซิวมีชีวิตอยู่ต่อ ข้าก็จะตกลง” หนานกงเย่คิดวิธีการประนีประนอมขึ้นได้ แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับดื้อรั้น เรื่องนี้เธอไม่สนใจไม่ได้
“ท่านอ๋อง หากท่านไม่ยอมให้ข้าไปพบเสด็จแม่ในวัง งั้นข้าจำเป็นต้องไปหาท่านพ่อของข้า ข้าเชื่อว่าท่านพ่อของข้ามีวิธีที่จะทำให้ข้าเข้าวังไปได้”
แล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เดินจากไป
เรื่องนี้เธอรู้ดีว่าอาจทำร้ายตัวเธอเอง และอาจทำร้ายท่านอ๋องเย่ แต่เธอไม่อาจเพิกเฉยโดยไม่ทำอะไรเลย ไปหาจักรพรรดิอวี้ตี้ก็เกรงว่าจะเสียเวลาเปล่า ผู้ชายไม่มีทางเข้าใจความโศกเศร้าของผู้หญิง ไปหาพระพันปี ไม่แน่อาจจะยังพอมีโอกาสรอดชีวิต
“ข้าไม่ยอม” หนานกงเย่เดินตามหลังไปจับไว้ ฉีเฟยอวิ๋นบิดตัวเพื่อหลบ งั้นเธอจะไปเอง