องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 122 ท่านอ๋องไม่โกรธจนควันออกหูหรือ
“ไฉนถึงเป็นเจ้า?” ครั้นเห็นเฉินอวิ๋นเจี๋ย สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นก็เปลี่ยนกลับมาดีขึ้น ถึงอย่างไรเฉินอวิ๋นเจี๋ยก็ไม่มีทางทำร้ายนางเป็นแน่
“เห็นเจ้าแต่งกายเช่นนี้ออกมาเพียงผู้เดียว ก็รู้ทันทีว่าต้องไม่ใช่เรื่องดี มาทำอะไรที่นี่ อากาศก็หนาว มือเท้าของเจ้าคงเย็นมากแน่ ไม่กลัวแข็งตายข้างนอกรึ?” เฉินอวิ๋นเจี๋ยกล่าวพลางเดินมาตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่กลัวเขา และถามกลับว่า : “เจ้าตามข้ามาเพียงเพราะกลัวข้าจะเกิดเรื่องรึ?”
“คงไม่ได้กลัวว่าข้ากลายร่างเป็นเทพบินหายไปใช่หรือไม่?” เฉินอวิ๋นเจี๋ยเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ ซึ่งเจ้าตัวมายืนอยู่ตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋นแล้ว จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองฉีเฟยอวิ๋น มองจนฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ : “เจ้ากับข้าเคยรู้จักกันมาก่อนหรือ เป็นสหายกันรึ?”
“ถือว่าเป็นสหายกัน ในเมืองหลวง ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าเรามีชื่อเสียงที่ชั่วช้าสามานย์ ฉาวโฉ่เพียงใด เจ้ากับข้าก็ไม่ต่างกัน ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน” เฉินอวิ๋นเจี๋ยกล่าวขึ้นพลางปลดเสื้อคลุมขนสัตว์บนตัวออก จากนั้นก็นำมาคลุมตัวของฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้ามองบนบ่า ก่อนจะมองไปยังเฉินอวิ๋นเจี๋ย : “เจ้ายกเสื้อคลุมขนสัตว์ให้ข้า เจ้าไม่หนาวรึ?”
“หนาวก็ทนได้ เจ้าเป็นสตรี ใส่หนาหลายชั้นย่อมดีกว่า ข้าอยู่ชายแดนจนชินแล้ว ที่ชายแดนมักมีพายุทรายปกคลุมม่านฟ้า เหน็บหนาวแทบขาดใจ ต่างจากที่แห่งนี้มากโข ที่นี่เหมือนเตียงอันอบอุ่น ช่างดียิ่งนัก” เฉินอวิ๋นเจี๋ยเดินอ้อมมายังริมน้ำ เขาหันหลังให้กับฉีเฟยอวิ๋นพลางเหม่อมองลงไปในน้ำ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความหดหู่ใจ
ฉีเฟยอวิ๋นจึงเอ่ยถามขึ้น : “เจ้าไม่ชอบชายแดนใช่หรือไม่?”
“ไม่ชอบ แล้วอย่างไรเล่า? ข้าอยู่ที่นี่เพื่อให้พวกเขาเป็นกังวล” เฉินอวิ๋นเจี๋ยเย็นชามากขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถาม : “แล้วเจ้ามากล่าวเรื่องนี้กับข้า อยากให้ข้ารู้อะไร?”
“ต่อให้ที่แห่งนั้นลำบากเพียงใด ข้าก็ผ่านมาแล้ว คนที่ข้าเฝ้าคะนึงหาอยู่ทุกเช้าค่ำมีเพียงผู้เดียว คือคนที่ทำให้ข้ายังต้องอยู่ที่นี่ ข้าเคยบอกแล้ว ข้าต้องคว้าชัยชนะกลับไปให้ได้ ข้าต้องไร้เทียมทาน นางบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับข้าอย่างดี เฉลิมฉลองกับข้า ไม่เมาไม่เลิกรา”
“เจ้าคงไม่ได้หมายถึงข้าหรอกกระมัง?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอึดอัดใจ ราวกับมีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่าง เจ้าของร่างเดิมชมชอบหนานกงเย่ เหตุใดถึงกลายเป็นเฉินอวิ๋นเจี๋ยเสียได้ หรือตั้งใจเหยียบเรือสองแคม?
“เจ้าคงจำไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาเคยทำอะไรกับเจ้าบ้าง?” เฉินอวิ๋นเจี๋ยหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวขึ้นว่า : “ในอดีตข้าไม่ระวังพลาดตกน้ำ เกือบจมน้ำตาย หลังฟื้นขึ้นมาจึงจำเรื่องบางอย่างไม่ได้”
“ฉะนั้นเจ้าก็เลยจำข้าไม่ได้รึ?”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยคลี่ยิ้ม ราวกับมองเห็นถึงการโป้ปดของฉีเฟยอวิ๋น ครั้นฉีเฟยอวิ๋นถูกมองเช่นนี้หัวใจของตนก็เต้นรัว ราวกับเสียงตีกลอง
เฉินอวิ๋นเจี๋ยยกมือขึ้นมาจะตบตีฉีเฟยอวิ๋น แต่นัยน์ตาของฉีเฟยอวิ๋นกลับฉายแววเคร่งขรึม มือที่ยกขึ้นมานั้นมีเข็มสองสามเล่มซ่อนอยู่ภายในกำปั้น สีหน้าของเฉินอวิ๋นเจี๋ยจึงเปลี่ยนไป ถอยร่นไปด้านหลังก้าวหนึ่ง : “เจ้าไม่ใช่นาง”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้แก่ใจดีว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ เมื่อครู่เฉินอวิ๋นเจี๋ยแค่ลองหยั่งเชิงนางเท่านั้น จากนั้นก็รีบเก็บเข็มในมือของตนกลับไป
ฉีเฟยอวิ๋นแสดงสีหน้าจนปัญญา จากนั้นก็เดินหลบเลี่ยงไปด้านข้างสองก้าว ครั้นเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดลงของเฉินอวิ๋นเจี๋ย จึงถอดเสื้อคลุมขนสัตว์มาคลุมตัวให้กับเฉินอวิ๋นเจี๋ย
“หากเจ้าบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ข้าจำไม่ได้จริง ๆ ว่าเจ้าคือใคร” ฉีเฟยอวิ๋นพยายามสงบลง นางยอมรับเรื่องที่เจ้าของร่างเดิมเหยียบเรือสองแคมกับทุกคนได้ แต่กลับยอมรับเรื่องถูกเปิดเผยออกมาไม่ได้
ถ้าบอกว่าเป็นหนานกงเย่นางก็ยังพอฝืนใจยอมรับได้ แต่บัดนี้มีเฉินอวิ๋นเจี๋ยเพิ่มมาอีกคน คงจะให้สงบจิตสงบใจไม่ได้
เฉินอวิ๋นเจี๋ยหมุนตัวไป : “พวกเจ้าพานางไปไว้ที่ไหน เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าคือฉีเฟยอวิ๋น เจ้าเชื่อก็ดีไม่เชื่อก็ดี ข้าได้ทั้งนั้น” ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปด้านข้าง ที่นางออกมาไม่ใช่เพราะเรื่องส่วนตัว เวลามีจำกัด นางต้องคว้าไว้ให้จงได้
ตุ๊กแกเจ้าสิ่งนี้เติบโตในภูเขา ในป่า ในถ้ำภูเขา แต่นางรู้สึกว่าที่แห่งนี้ไม่น่าจะมี หลังจากที่สอบถามก็เพิ่งได้รู้ บนภูเขาแห่งนี้มีสัตว์จำพวกมังกรดินน้อยอยู่ประเภทหนึ่ง หัวใหญ่ ตัวเล็ก หางสั้น นางรู้ว่านั้นคือตุ๊กแก แค่คนที่นี่เรียกมันว่ามังกรดินน้อย
ส่วนการคิดจะหาตุ๊กแกนั้น ต้องไปยังพื้นที่ที่มีน้ำ ตุ๊กแกจะวางไข่ในน้ำ พวกเขาจะอยู่ห่างจากน้ำไม่ไกลนัก
ตุ๊กแกไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในน้ำ แต่ในน้ำกลับพบร่องรอยของตุ๊กแก
ฉีเฟยอวิ๋นคิดจะตามรอย
ฉีเฟยอวิ๋นเดินอ้อมแหล่งน้ำพลางสำรวจไปตลอดทาง จากนั้นนางก็หยุดลง รวบชายเสื้อ ก่อนจะยื่นมือไปแตะผิวน้ำ
จากนั้นก็ถกแขนเสื้อขึ้น และยื่นมือออกไปจับใบหญ้าที่ตายแล้วกองหนึ่ง ดึงออกมาตรวจสอบ จากนั้นก็โยนทิ้งและสะบัดมือ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในภูเขาพลางสำรวจโดยรอบ
หลังจากสำรวจไปแล้วหนึ่งรอบ ฉีเฟยอวิ๋นก็เจอถ้ำภูเขาก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดแห่งหนึ่ง
ถ้ำภูเขาแห่งนี้ใหญ่มาก ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปในทันที โค้งตัวและเดินเข้าไปโดยไม่สนใจสิ่งใด
กระทั่งถึงด้านใน นางเงี่ยหูตั้งใจฟัง เพราะรู้สึกว่าในนี้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ จะเป็นอะไรนั้นนางไม่รู้ แต่ไม่มีกลิ่นคาว เช่นนั้นคงไม่ใช่สัตว์ตระกูลเสือขนาดใหญ่ และก็ไม่ใช่ตระกูลหมาป่าแน่ ส่วนงูก็คงจะออกมาเลื่อยอยู่ในฤดูกาลนี้ไม่ไหว
แม้จะกำจัดเจ้าพวกนี้ออกแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ยังไม่สบายใจ
หลังจากเดินต่อไปข้างหน้าอีกสักพัก บางอย่างบนพื้นดินก็คลานขึ้นมาด้วยความเร็ว กระทั่งส่งเสียแอ๊ ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบถุงผ้าออกมา ก้าวเท้าออกไป เมื่อรู้สึกได้ถึงการมา เจ้าสิ่งหนึ่งได้คลานขึ้นมาจากหลังขา ฉีเฟยอวิ๋นเคลื่อนไหวอย่างว่องไว แข็งแรงปราดเปรียว พลิกตัวและคว้าเจ้าตุ๊กแกตัวนั้น จากนั้นก็โยนมันเข้าไปในถุงผ้า ปิดปากถุง และลุกขึ้นเดินออกจากถ้ำภูเขาไป
ภายในถ้ำภูเขามีแสงสว่างรำไร พับไฟ*ถูกจุดสว่างจ้า เฉินอวิ๋นเจี๋ยยืนรออยู่หน้าปากถ้ำ
ฉีเฟยอวิ๋นแสดงสีหน้าเศร้าหมอง อ้อยอิ่งไม่ยอมจากไป
กระทั่งเดินมาตรงหน้าของเฉินอวิ๋นเจี๋ย ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างจนปัญญา : “เจ้ารอข้ามาโดยตลอดรึ?”
“เจ้าคืนอวิ๋นอวิ๋นมาให้เดี๋ยวนี้ ข้าไม่มีทางตามเจ้าไปแน่” แววตาของเฉินอวิ๋นเจี๋ยมาดมั่น ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวออกไปว่า : “ข้าก็อยาก แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มี”
“เช่นนั้นข้าจะป่าวประกาศเรื่องของเจ้า”
“ตามใจเจ้า”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินอ้อมออกไป ครั้นเดินออกมาจากถ้ำภูเขาฟ้าก็มืดแล้วก็เลยกลับ
เฉินอวิ๋นเจี๋ยเดินตามหลังฉีเฟยอวิ๋นราวกับเงาตามตัว เดินตามไปตลอดทางกระทั่งถึงประตูเมือง ฉีเฟยอวิ๋นถือตราประทับเข้าไป เดิมทีตั้งใจจะกลับให้เร็วกว่านี้ รถม้าที่มุ่งหน้าไปยังจวนอ๋องตวนกลับวิ่งออกมาด้วยความเร็วสูง มีเสียงตะโกนจากบนรถว่า : “ถอยไป พระชายาตวนเสด็จแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังรถม้าที่กำลังมุ่งมาตรงหน้า โดยไม่มีทีท่าว่าจะหลบเลี่ยง จากนั้นก็ยกมือขึ้นขวางตรงหน้า นี่คือปฏิกิริยาการตอบสนองอย่างหนึ่งโดยสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์
แต่ในช่วงเวลาที่คับขันนั้น ร่างกายของนางกลับลอยขึ้น และหมุนสามร้อยหกสิบองศาก่อนจะร่วงลงมาบนพื้น
ฉีเฟยอวิ๋นที่ยังไม่ได้สติมองไปยังเฉินอวิ๋นเจี๋ยที่ค่อย ๆ วางตัวนางลงอย่างช้า ๆ ตรงหน้า เฉินอวิ๋นเจี๋ยขมวดคิ้วแน่น : “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ฉีเฟยอวิ๋นเองไม่กล่าวอะไร นางตกใจจนทำตัวไม่ถูก
จวินฉูฉู่สามารถฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา นางไม่กลัวว่าจะมีคนตาย ไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา รถม้าที่วิ่งพุ่งไปตามถนนใหญ่ ซึ่งถนนสายนี้คือบ้านของนาง
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวไปมองรถม้าที่พุ่งออกไปด้วยความเร็ว ซึ่งมันได้หายไปแล้ว
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” เฉินอวิ๋นเจี๋ยถามนาง
ฉีเฟยอวิ๋นผลักเฉินอวิ๋นเจี๋ยออก จากนั้นก็โบกมือไปมา : “ข้าไม่เป็นไร ขอบใจที่ช่วยชีวิตข้าไว้”
“ข้าจะไปส่งเจ้า”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยดึงข้อมือของฉีเฟยอวิ๋น เตรียมจะพานางกลับไปส่งยังจวน
ฉีเฟยอวิ๋นสะบัดออก : “ไม่จำเป็น วันนี้ต้องขอบพระคุณท่านแม่ทัพน้อยที่ช่วยข้าไว้ ข้าขอตัว ที่สาธารณะเช่นนี้ ดึงกันไปมา หากถูกผู้อื่นเห็นเข้าคงได้ตกเป็นขี้ปาก”
“เจ้าแต่งกายเช่นนี้ จะตกเป็นขี้ปากได้อย่างไร?”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยไม่พอใจ กระทั่งกวาดตามองไปยังเครื่องแต่งกายบุรุษบนตัวนาง จากนั้นก็ลากตัวนางเดินตามไปราวกับไก่ตัวน้อย
ฉีเฟยอวิ๋นถูกกระชากตัวไปได้ครึ่งทาง แต่กลับเงียบไปตลอด
นางคาดไม่ถึงว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยจะมีเรี่ยวแรงมากถึงเพียงนี้ กระทั่งแขนเสื้อขาด ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้แต่ปล่อย
ครั้นเดินมาถึงหน้าประตูจวนท่านแม่ทัพ เฉินอวิ๋นเจี๋ยจึงปล่อยนาง : “หากไม่มีอะไรห้ามออกจากเมืองไปคนเดียวอีก หลีกเลี่ยงปัญหา”
“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพน้อยมากเจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นอึดอัดใจ นางถูกจับตามองตลอดเวลาเลยหรือ?
“เข้าไปเถอะ”
“เชิญท่านแม่ทัพน้อย ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะไป”
“อื้อ”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยหมุนตัวไปยังทิศทางของเสนาบดีเฉิน โดยไม่หันกลับไปอีก แต่เดินจากไปอย่างไม่สบอารมณ์
ฉีเฟยอวิ๋นรออยู่ครู่หนึ่ง ครั้นองครักษ์รักษาการหน้าประตูออกมาเห็นฉีเฟยอวิ๋น จึงเอ่ยปากถามทันที : “คุณหนู ทะเลาะกับท่านเขยอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปด้วยความไม่สบอารมณ์ : “เหตุใดถึงไม่มองว่าข้าดีบ้าง?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าถึงจวนท่านแม่ทัพแล้ว จึงส่งคนไปรายงานต่อจวนท่านอ๋องเย่ นางจะอยู่กินมื้อค่ำในจวนท่านแม่ทัพแล้วค่อยกลับ
เมื่อที่นั่นทราบข่าวก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป หนานกงเย่รีบตามมาในที่สุด
ครั้นเห็นหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ลุกขึ้น : “ท่านอ๋อง”
“อื้อ”
หนานกงเย่มองอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง และเดินเข้าไป
“พ่อตา” หนานกงเย่เข้าพบท่านแม่ทัพฉี และกล่าวทักทาย
ฉีเฟยอวิ๋นแสดงสีหน้าหม่นหมองอยู่ด้านข้าง เรียกอย่างสนิทใจเช่นนั้น คงฝึกมาดีละสิท่า?
“กินข้าวกันเถอะ พ่อบ้าน เตรียมถ้วยและตะเกียบให้ท่านเขยด้วย” ท่านแม่ทัพฉีเป็นคนที่มีความสามารถในการปรับตัวได้ดี ไม่นานก็ยอมรับท่านเขยผู้นี้ และออกคำสั่งกับพ่อบ้าน
หนานกงเย่นั่งลงกินข้าว และถือโอกาสถามเรื่องเมื่อยามบ่ายกับฉีเฟยอวิ๋น
“ออกไปข้างนอกแล้วหรือ?” หนานกงเย่ถามนาง ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า
“ไปไหนมารึ?”
“ไปหาตุ๊กแก จับมาได้หนึ่งตัว” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกกดดันอย่างมหาศาล คิดว่าหนานกงเย่คงจะกำลังรอเก็บนางอยู่
“จะกลับทันทีหลังกินข้าวเสร็จ”
“รู้แล้ว”
หลังกินข้าวเสร็จฉีเฟยอวิ๋นก็ตามกลับไป ทั้งสองคนเดินกลับด้วยกัน
หัวใจของฉีเฟยอวิ๋นเต้นโครมคราม ไม่กล่าวอะไรยิ่งรู้สึกไม่ดี
“ท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นเรียกเขา
“อาอวี่ถูกเฆี่ยนด้วยกระบองสามสิบครั้ง ส่วนหงเถาและลี่ว์หลิ่วถูกขังอยู่ในโรงเก็บฟืน” หนานกงเย่กล่าวอย่างเนิบช้า
“….” ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มอย่างอึดอัดใจ
เขาลงมือจริง ๆ
“ข้ารีบออกไปจัดการ เพราะเห็นเจ้ายุ่ง”
“ข้ายุ่งก็จริง ข้าไม่โทษชายาหรอก” ปากบอกไม่โทษ หนานกงเย่กัดฟันกล่าวมาก
ฉีเฟยอวิ๋นขุ่นเคืองทันที : “หากเจ้าไม่โทษข้า ก็ไม่ควรทำร้ายอาอวี่ ขังหงเถาและลี่ว์หลิ่วสิ เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าต้องการลงโทษให้ข้าเห็น”
“ข้าจับจิ้งจองหางสั้นได้แล้ว” หนานกงเย่กล่าวอย่างคลุมเครือ
ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจทันใด : “จับนางด้วยเหตุใด?”
“นางไม่เชื่อฟังเจ้านาย จึงถูกส่งไปยังรังจิ้งจอก ผสมพันธุ์กับจิ้งจอกในรัง แล้วค่อยฝึกใหม่ เช่นนี้จะทำให้เชื่อฟังข้ามากขึ้น”
“หนานกงเย่ เจ้าทำเรื่องเช่นนี้กับจิ้งจอก น่ารังเกียจ” ฉีเฟยอวิ๋นตะโกนใส่เขา
หนานกงเย่หมุนตัว และมองด้วยแววตาโหดร้าย : “ว่ามา
“….” ฉีเฟยอวิ๋นตื่นกลัวกับแววตาคู่นั้น กระทั่งขวัญหนีไปเสี้ยววินาที แต่เพื่อจิ้งจอกหางสั้น จึงไม่ยอมถอย : “หากเจ้ากล้าส่งจิ้งจกตัวน้อยไปยังรังจิ้งจอกอีก พรุ่งนี้ข้าจะไปจากที่นี่”
“เจ้าจะไป?” หนานกงเย่ไขว้มือไว้ด้านหลังพลางขยับเข้าไปใกล้ ฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังโกรธ
เพราะทำร้ายเขาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงถูกเขาเตะออกไปแน่
*พับไฟ หรือตะบันไฟเป็นเครื่องมือจุดของชาวจีนโบราณ สามารถจุดไฟได้ด้วยการเป่าเพียงครั้งเดียว