องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 125 เพิ่มความวุ่นวายอีกไม่ได้
“ท่านอ๋องเย่ พวกท่านกำลังทำอันใด?” ฮูหยินซือคงทนไม่ได้อีกต่อไป ซักถามด้วยความตำหนิติเตียน
หนานกงเย่นั้นเรียบเฉย “พระชายาไม่รู้จักมองการณ์ไกล กำเริบเสิบสานและโอหังในจวน ข้าอยากแต่งพระชายารอง นางกลับคิดฆ่าตัวตาย ข้าต้องลงโทษเพื่อเตือนไม่ให้ทำเรื่องเกินเลยกว่านี้ ร่างกายนางไม่เอื้ออำนวยเอง ไม่ใช่ความผิดของข้า”
“ท่านอ๋องพูดถูกเพคะ แต่พระชายาเป็นชายาเอก ทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? ท่านอ๋องไม่กลัวจะขายหน้าหรือเพคะ?” สีหน้าฮูหยินซือคงย่ำแย่ รู้สึกผิดหวังต่อหนานกงเย่มาก
ตอนแรกฮูหยินซือคงยังมีความรู้สึกดีๆกับหนานกงเย่อยู่บ้าง เขาในฐานะผู้อยู่เหนือคนนับหมื่น โดยอยู่ภายใต้บารมีของฝ่าบาทผู้เดียว แต่ตอนมาจวนซือคงก็ยังคงมีสัมมาคารวะ ไม่เคยเสียมารยาทเลยสักครั้ง
สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ เขากลับกระทำผิดกับชายาของตัวเองอย่างเหิมเกริมเยี่ยงนี้ แม้นจะไม่พะเน้าพะนอภรรยา ทว่าฉีเฟยอวิ๋นก็เป็นถึงชายาเอก เขาไม่ควรปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ ไม่กลัวใต้หล้าจะขบขันหรือไร
ฮูหยินซือคงยิ่งคิดก็ยิ่งฉุนเฉียว
ฮูหยินซือคงคิดว่า สิ่งที่ตัวเองโชคดีที่สุดในชีวิตนี้ก็คือ การที่ได้แต่งงานกับซือคงเซียง นางก็เคยปวดเศียรเวียนเกล้าด้วยเรื่องที่มีบุตรไม่ได้เช่นกัน
ทว่าซือคงเซียงกลับบอกว่าไม่มีก็ไม่มี อยู่กันสองคนดีถมเถ พวกเขาจึงไม่มีลูกหลานจนถึงบัดนี้ ทว่านางกลับมีความสุขกว่าสตรีอื่น แม้นต้องนอนป่วยติดเตียง สามีนางก็ดูแลอย่างดี จึงทำให้ความรัก ความผูกพันของทั้งสองยั่งยืนและดีมากขึ้นเรื่อยๆ
ยามนี้ได้ยินหนานกงเย่จะแต่งพระชายารอง ฮูหยินซือคงก็รู้สึกสงสารฉีเฟยอวิ๋นจับใจ สตรีที่ดีเลิศประเสริฐศรีปานนั้น ไยต้องถูกย่ำยีเพียงนี้
“ข้าต้องแต่งชายารองไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี มีอะไรน่าอายกัน?” หนานกงเย่ไม่แยแสต่อไป พลางพูดอย่างมีหลักการและเหตุผล
ฮูหยินซือคงไม่รู้จะพูดกระไรต่อ รู้สึกผิดหวังต่อหนานกงเย่อย่างสุดแสน จึงหันหน้ามองซือคงเซียงผู้เป็นสามี
ซือคงเซียงจึงจะกล่าวว่า “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยตัวพระชายาก่อนเถอะ”
“อาอวี่ หาวิธีไขกุญแจออก” หนานกงเย่สั่งการ
อาอวี่กล่าวว่า “ท่านอ๋อง ไม่สู้ตัดกุญแจทิ้งดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
“ความคิดดี แต่เสียดายกุญแจแล้ว” หนานกงเย่โบกมือสื่อให้อาอวี่รู้ว่าตัดกุญแจออกได้
ท่านอ๋องเย่ที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งแคว้นต้าเหลียง เขาขัดสนกระทั่งกุญแจหนึ่งอันเลยหรือ?
เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาชัดๆ คงร้อนใจอยากให้พระชายาเอกหิวสิ้นใจ เขาจะได้แต่งพระชายารองโดยเร็ววัน
หลังเปิดประตู ฮูหยินซือคงรีบวิ่งผลุนผลันไปหาฉีเฟยอวิ๋นคนแรก ฉีเฟยอวิ๋นที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นสีหน้าซีดเหลือง เนื้อตัวมอมแมม บริเวณรอบๆยุ่งเหยิงมาก บนพื้นยังมีอิฐกองอยู่จำนวนหนึ่ง นี่มันห้องโกดังชัดๆ จะอยู่ได้อย่างไร
“เด็กที่น่าสงสาร”
ฮูหยินซือคงรีบเข้าไปหาฉีเฟยอวิ๋น ก่อนจะย่อตัวเพื่อประคองฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา ทว่านางกลับไร้กำลังวังชา
หนานกงเย่เดินเข้ามาก็ชะงัก มองสภาพฉีเฟยอวิ๋นบนพื้นแล้วก็ตกใจหนักมาก
ก้าวเท้าเข้าไป จากนั้นจึงโค้งตัวลงไปอุ้มนางขึ้นมา
“อวิ๋นอวิ๋น”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ หนานกงเย่อุ้มนางเข้าห้องพักของเขาตะโกนเรียก “หมอประจำจวน”
อาอวี่ก็ตกใจมากเช่นกัน ทำไมกลายเป็นจริงเสียอย่างนั้น
อาอวี่หันหลังไปเรียกหมอประจำจวนมา
หมอประจำจวนเห็นก็ทำหน้ากังวล
“พระชายาหิวจนเป็นลมพ่ะย่ะค่ะ” หมอประจำจวนตอบตามที่ได้รับคำสั่งมา สำหรับเรื่องพระชายาเป็นลมจริงหรือไม่ พวกเขาก็ไม่อาจทราบได้เลย
ดูจากชีพจรแล้ว ลมหายใจพระองค์อ่อนแรงเสมือนคนเป็นลมจริงๆ
สำหรับเรื่องหิวจริงหรือไม่ พวกเขาก็ไม่รู้เช่นกัน
หนานกงเย่รู้สึกเป็นห่วง อุ้มฉีเฟยอวิ๋นไว้แนบแน่นด้วยใบหน้าที่กลัดกลุ้ม “จัดยามาก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หมอประจำจวนจึงได้เริ่มงานกัน ฮูหยินซือคงยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเป็นห่วง พลางใคร่ครวญว่าท่านอ๋องเย่ก็เป็นห่วงเป็นใยพระชายา ที่ทำไปคงเป็นเพราะอารมณ์โกรธชั่ววูบ เพราะถึงอย่างไรเรื่องตู้ฟางจุนก็เป็นเรื่องใหญ่ หากเป็นเรื่องอื่นก็คงไม่ทำเช่นนี้กับพระชายาหรอกกระมัง เห็นท่าทีเป็นห่วงของเขาในยามนี้ จึงดูออกว่ายังใส่ใจพระชายาอยู่
หลังดื่มยาฉีเฟยอวิ๋นจึงค่อยๆฟื้น นางลืมตาแล้วก็ไม่ค่อยอยากพูดกระไรนัก เห็นว่าฮูหยินซือคงอยู่ด้วย จึงฝืนคุยสองสามประโยค จากนั้นก็กลับไปนอนดังเดิม
หนานกงเย่กล่าวส่งแขกสองสามประโยค ซือคงเซียงก็ไม่สะดวกอยู่ต่อ จึงกลับไป
หลังจากออกไปแล้ว หนานกงเย่ก็รีบไปหาฉีเฟยอวิ๋น นั่งลงพร้อมกับดึงมือของนางมาจับ “อวิ๋นอวิ๋น”
ฉีเฟยอวิ๋นลืมตา มองไปยังประตูปราดหนึ่ง “ระวังกำแพงมีหู ประตูมีช่อง”
ได้ยินฉีเฟยอวิ๋นพูดจา หนานกงเย่จึงวางใจ
“ข้าตกใจหมดเลย ข้าคิดว่าเกิดเรื่องกับอวิ๋นอวิ๋นจริงๆสักแล้ว”
“ฉีเฟยอวิ๋นคลี่ยิ้ม “ข้าเป็นหมอ จะเป็นอันใดได้ แสดงละครทันทีต้องให้สมจริงหน่อยสิ”
เมื่อมั่นใจว่าด้านนอกไม่มีคน ฉีเฟยอวิ๋นจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง ทำไมบุรุษผู้นี้ใจเสาะปานนี้นะ ตกใจเมื่อไหร่มีอันต้องเป็นเช่นนี้เสมอ
ลี่ว์หลิ่วกับหงเถาปาดน้ำตา เมื่อครู่พวกนางตกใจกันมาก
“พวกเจ้าออกไปเตรียมถังน้ำ ข้าจะอาบน้ำ” ฉีเฟยอวิ๋นลงจากเตียง เนื้อตัวสกปรกโสโครกเช่นนี้ ช่างไม่สบายตัวเสียเลย
หนานกงเย่มองสำรวจหนึ่งจบ มั่นใจว่าไม่เป็นอะไร จึงจะกล่าวว่า “เจ้าทำให้ข้าตกใจแล้วยังจะอาบน้ำอีก ข้าจะอาบด้วย”
“หน้าไม่อาย” ฉีเฟยอวิ๋นถลึงตาใส่หนานกงเย่ ทว่าการอาบน้ำร่วมกัน ไม่รู้ว่าจะสานสัมพันธ์รักให้ดีขึ้นได้หรือไม่
พอฉีเฟยอวิ๋นนึกอะไรออกก็มองหนานกงเย่อย่างพินิจพิเคราะห์ หนานกงเย่ใบหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ดึงนางมาอ้อมกอด “บังอาจใช้สายตาลวนลามข้า?”
ผลตอบแทนของการใช้สายตาลวนลามก็คืออาบน้ำด้วยกัน
หลงอาบน้ำด้วยกันเสร็จ หนานกงเย่ก็อุ้มฉีเฟยอวิ๋นไว้บนเตียง พลางตบมือนางเบาๆ “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าแต่งพระชายาเข้าจวนแล้วจะสบายเช่นนี้ หากรู้แต่แรก ข้าจะแต่งงานเร็วๆ”
ฉีเฟยอวิ๋นรูึสึกเหนื่อยแล้วเต็มทน ไม่อยากคุยกับเขา ทว่าก็อดหัวเราะไม่ได้
“หากท่านอ๋องแต่งเร็วๆ หม่อมฉันอาจจะไม่ใช่พระชายาก็ได้เพคะ เฉินอวิ๋นเอ๋อร์อยากแต่งกับท่านแทบใจจะขาด ยังมีจวินฉูฉู่อีกคน นางมีใจให้ท่านตั้งนานแล้วเพคะ”
“แต่ข้าก็ยังชอบอวิ๋นอวิ๋นในตอนนี้อยู่ดี” หนานกงเย่ดึงผ้านวมมา “ไม่คุยกันแล้ว เหนื่อยก็นอนเถอะ พรุ่งนี้ข้าก็ต้องไปราชการยามเช้าเช่นกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นเหนื่อยแล้วจริงๆ เมื่อหลับตาก็นอนสนิทถึงเช้า
ฉีเฟยอวิ๋นออกจากห้องก็ไปผลิตยา ถึงแม้ขั้นตอนไม่ได้ซับซ้อน ทว่าอารมณ์ของนางไม่สู้ดีนัก จึงส่งผลต่อความคืบหน้าในการผลิตยา
นางออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย พลางเห็นทังเหอนำคนมากลุ่มหนึ่ง นางเห็นคนพวกนี้ก็รู้ว่าร้านขายยาสมุนไพรของนางใกล้จะเป็นจริงแล้ว
“พระชายา”
ทังเหอทำความเคารพ ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเสียงเรียบ “ลำบากคุณชายทังแล้ว”
“หาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ทังเหอมองฉีเฟยอวิ๋น พลางกล่าวขึ้นว่า “พระชายา คนมาครบตามจำนวนที่ท่านอ๋องสั่งแล้ว เชิญพระชายาสั่งการได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังคนด้านหน้า พวกเขามีกันประมาณยี่สิบกว่าคนเห็นจะได้ ซึ่งล้วนสวมใส่เสื้อผ้าแตกต่างกัน ทว่าทุกคนต่างมีถุงผ้าที่วางเครื่องมือไว้เหมือนๆกัน ดูแล้วเหมือนช่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ข้าเตรียมภาพวาดไว้แล้ว พวกเจ้าดูก่อน หากทำตามในรูปวาด พวกเจ้าคิดว่าต้องใช้เวลาเท่าใด สิ่งสำคัญคือต้องทำตามที่ข้าบอกทั้งหมด”
ทังเหอมองไปยังช่าง กลุ่มช่างสบตากันชั่วครู่ จากนั้นก็มีคนอายุมากกว่าในกลุ่มเดินออกมาคำนับ “พระชายาทรงนำภาพวาดให้กระหม่อมดูหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นล้วงภาพวาดออกจากแขนเสื้ออันกว้างใหญ่ให้อีกฝ่าย เมื่อช่างเปิดดูก็ทำหน้าลนลาน พลางกล่าวด้วยความตกตะลึง “พระชายาฝึกกับอาจารย์คนไหน?”
ทังเหอรู้สึกอึดอัด เหมือนไม่มีอะไรที่พระชายาไม่เป็น พระองค์มีเอกลักษณ์ที่สะเทือนฟ้าดินยิ่ง
หลังจากเปิดใจทำความรู้จักพระชายาใหม่ พระชายาก็คล้ายกับเปลี่ยนเป็นโดดเด่นเหนือคนทั่วไป
ราวกับสิ่งที่พระชายาเป็นหนึ่งคืน ทั้งชีวิตของเขาก็นึกไม่หมด
ช่างถามเช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกทำตัวไม่ถูก ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะกล่าวว่า “อาจารย์ข้าเป็นคนชอบท่องเที่ยว ตั้งแต่เด็กข้าฝึกฝนกับเขาสารพัดอย่าง ทว่าก่อนท่านจะออกไปท่องโลก ท่านกำชับไม่ให้ข้าบอกผู้ใด ไม่เช่นนั้นจะคิดบัญชีกับข้า โดยการตัดแขนตัดขาข้า”
“อันนี้………….” ช่างทำหน้าลำบากใจ ไม่กล้าให้ฉีเฟยอวิ๋นโดนตัดแขนตัดขาแน่นอน
“ข้าเสียมารยาทแล้ว พระชายา ข้าดูภาพวาดเป็น พระชายายืนชี้แนะอยู่ด้านข้างก็พอ สำหรับเรื่องเวลา จะใช้ครึ่งเดือน”
“ครึ่งเดือนก็พอหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นคาดไม่ถึงว่าจะเร็วปานนี้
ช่างกล่าวอย่างมีแผนในใจ “พ่ะย่ะค่ะ ครึ่งเดือน”
“เช่นนั้นก็รบกวนอาจารย์แล้ว หากไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามข้าได้เลย” ฉีเฟยอวิ๋นพูดพลันหมุนกายเดินเข้าไป ก่อนหน้านี้เคยสั่งให้ข้ารับใช้ในจวนจัดเตรียมสถานที่ไว้รอแล้ว ตอนนี้รอแค่ช่างเริ่มงานเท่านั้น
ช่างน้อยช่างใหญ่ช่างพากันตามเข้าไป จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มอธิบายภาพวาดของนาง
นางอธิบายภาพวาดได้ชัดเจนมาก เหล่าช่างสามารถเข้าใจอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินออกไป
เมื่อออกมา นางก็จัดแจงตัวเองเล็กน้อย แล้วไปรอหนานกงเย่ที่หน้าประตู
ซึ่งทังเหอก็ไปเป็นเพื่อนฉีเฟยอวิ๋นด้วย
หงเถากับลี่ว์หลิ่วอยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของฉีเฟยอวิ๋น
พวกนางมีชาติกำเนิดเช่นนี้ เดิมทีคือไม่มีโอกาสเปิดหูเปิดตามองโลกภายนอก หากไม่ใช่พระชายา พวกนางก็ไม่มีทางได้เปิดโลกทัศน์เลย
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหงเถาลี่ว์หลิ่ว “พวกเจ้ากลับเข้าไปก่อนเถอะ มีคุณชายทังอยู่เป็นเพื่อนข้าแล้ว”
หงเถากับลี่ว์หลิ่วจึงถอยออกไป ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามขึ้นว่า “คุณชายทังมีธุระคุยกับข้า?”
เพราะการตามนางออกมา มันไม่ใช่นิสัยของทังเหอ
“พระชายาทรงประปรีชายิ่ง ปิดอะไรพระชายาไม่ได้จริงๆ” ทังเหอตอบ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกใจคอเหี่ยวแห้ง “คุณชายทัง มีอะไรก็พูดตรงๆได้เลย”
“พระชายารู้เรื่องอาซิวไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นนึกแล้วเชียว คนในจวนล้วนเหมือนพ่อไก่กันทุกคน ไม่มีผลประโยชน์ไม่ตื่นเช้า การที่ทังเหอตามออกมาไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ
ทว่าในเมื่อเป็นเรื่องทับซ้อนกับเรื่องอาอวี่ ช่วยหนึ่งคนก็คือช่วย ช่วยสองคนก็คือช่วยเหมือนเดิม
ถ้าทำเรื่องเดียวสามารถช่วยได้สองคน ก็ถือเป็นเรื่องดี
“รู้”
“พระชายาคิดเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?” ทังเหอถาม
ฉีเฟยอวิ๋นมองทังเหอ “คุณชายทังคิดว่าพระชายาข้ากล้าคิดเช่นไรล่ะ?”
“พระชายา กระหม่อมว่าพระชายาไม่ต้องสนใจจะเป็นการดีพ่ะย่ะค่ะ” ทังเหอกล่าวแบบหยั่งเชิง
ฉีเฟยอวิ๋นเหม่อลอยสักพัก คาดไม่ถึงว่าทังเหอจะกล่าวเช่นนี้ หันไปมอง จากนั้นกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องนี้จริงๆ
เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว ข้าก็ไม่ใช่คนโง่เง่าเต่าตุ่นที่ไปยุ่งกับคนที่คิดจะปลิดชีพข้า แต่ข้าไม่มีทางเลือก วันนั้นอาอวี่ร้องขอข้า ข้าใจอ่อนรับปากเขาไว้ ดังนั้น จึงต้องช่วยอย่างหน้าด้านหน้าทนแล้ว”
ทังเหอเงยหน้ามองฉีเฟยอวิ๋น ผ่านไปครึ่งค่อนวันจึงจะถามว่า “พระชายาคิดจะช่วยอาซิวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าไม่อยากช่วย แต่รับปากไว้แล้ว”
ทังเหอไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ยืนไปสักพัก จากนั้นก็จากไป
หลังทังเหอไป ฉีเฟยอวิ๋นก็หมุนกายมองท้องถนน คิดว่าคงอนาทรร้อนใจกันมากแน่
เพราะรับปากอาอวี่หลายวันแล้ว ซึ่งร่างกายของอาซิวก็จะไม่ไหวอยู่รอมร่อ อาอวี่ไม่สะดวกมาร้องขอกับนางอีก จึงให้ทังเหอมาคุย
ฉีเฟยอวิ๋นห่อเหี่ยวใจ ล้วนทะลุมิติมาเหมือนกัน แต่ทำไมคนอื่นกลับมีอำนาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์สำคัญได้ ส่วนนางเองที่ข้ามภพข้ามชาติมาเหมือนกัน ทว่าทุกอย่างกลับไม่ราบรื่น ผู้ที่ต้องการสังหารนาง นางยังต้องหาทางช่วยชีวิตอีก
นอนได้สักพัก ฉีเฟยอวิ๋นเตรียมจะกลับเเข้าไปก็เห็นรถม้าของหนานกงเย่มาถึงหน้าประตู นางจึงหยุดเดิน
หนานกงเย่ลงจากรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นย่อตัวเคารพ “ท่านอ๋อง”
“อืม”
ลงมาถึงหนานกงเย่ก็ไปหาฉีเฟยอวิ๋นทันที พลางจูงมือนางแล้วก้มหน้าถาม “หรือว่าคิดถึงปืนใหญ่ของข้า?”
“ท่านอ๋องบ้า ” ฉีเฟยอวิ๋นหมุนกายเดินเข้าไปพร้อมกัน พลางถามถึงเรื่องซือคงเซียง
“ข้ายังไม่ได้ไป วันนี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น”
“พรุ่งนี้น่าจะได้แล้ว”
“พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไป”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของอาซิว ช่วงนี้มีปัญหาประเดประดังเข้ามาไม่หยุดสิ้น จะทำให้วุ่นวายอีกไม่ได้