องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 134 การปรากฏตัวของผู้มีฝีมือในเมืองต้าเหลียง
“เสด็จแม่ ลูกสะใภ้คนนี้สำนึกผิดแล้ว เสด็จแม่โปรดให้โอกาสอีกสักครั้ง ข้าจะทำเรื่องนี้สำเร็จให้ได้เพคะ” จวินฉูฉู่ร้องไห้ออกมา
พระมเหสีหวากดสายตาลงต่ำ หางตางอนของนางเฉียบคมอย่างยากจะหาอะไรเปรียบ
“ไม่จำเป็น ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง เจ้าออกจากวังแล้วกลับไปยังตระกูลจวินของเจ้าเสียเถิด นำเรื่องที่ข้าทำไปบอกราชครูจวิน ถ้าตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ ส่วนเหยี่ยนเอ๋อร์ ช่วงนี้สุขภาพของข้าไม่ค่อยดีนัก ให้อ๋องตวนทิ้งไว้ให้คอยปรนนิบัติข้าให้เต็มที่”
“เพคะ” จวินฉูฉู่ลุกขึ้นยืนโดยไม่กล้าแสดงความคับข้องใจออกมา นางถอนสายบัวและกล่าวว่า “เช่นนั้นสะใภ้ทูลลาเพคะ เมื่อท่านอ๋องมาถึง ขอเสด็จโปรดแม่เรียนท่านอ๋องว่าที่ตระกูลจวินเกิดเรื่องจึงเรียกตัวข้ากลับ ข้าจึงต้องรีบกลับไป อยู่ปรนนิบัติข้างกายเสด็จแม่ไม่ได้”
“ไปเสีย”
พระมเหสีหวาหน่ายที่จะเห็นหน้าจวินฉูฉู่ แม้จวินฉูฉู่จะนึกโกรธเคืองอยู่ในใจ แต่นางก็ทำได้เพียงหันหลังและเดินจากไป
หลังจากจวินฉูฉู่ออกไปแล้ว ท่านอ๋องตวนก็มาถึงตำหนักหวาหยาง
อ๋องตวนรู้สึกประหลาดใจเมื่อมาถึงตำหนักหวาหยางแล้วไม่เห็นจวินฉูฉู่ “เสด็จแม่ ฉูฉู่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“คนจากจวนราชครูจวินมาที่นี่ บอกว่ามีเรื่องด่วน นางจึงกลับไปแล้ว ทำไม นางไม่ได้บอกเจ้าไว้รึ” พระมเหสีหวาแสดงสีหน้าไม่พอใจและถามด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียน
ท่านอ๋องตวนต้องการปกป้องจวินฉูฉู่ จึงรีบกล่าวไปว่า “บอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกลืมไปเลย ความจำของลูกแย่ลงทุกวัน”
“หึ ไม่ใช่ว่าเจ้าความจำไม่ดีกระไรหรอก เจ้าอยากจะทำให้ข้าโมโหเสียมากกว่า” พระมเหสีหวาเอนกายลงบนตั่งเตียง จัดเสื้อผ้าของตนเองและไอออกมาสองครั้ง
ท่านอ๋องตวนรีบเข้าไปดูพระมเหสีหวาทันที “เสด็จแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นอย่างไร? เจ้ายังกล้าถามอีกรึ ข้าไม่ยอมโมโหเจ้าจนอกแตกตายหรอก เจ้าปลาบปลื้มสนมคนนั้นมากสินะ ฉีกั๋วกงเป็นคนแบบไหนกัน เจ้าก็รู้ว่ามีคนอยากแต่งงานกับบุตรสาวสกุลอวิ๋นมากเพียงไหน ข้าอุตส่าห์แบกหน้าไปเสนอเรื่องการอภิเษกกับฉีกั๋วกง แต่เจ้ากลับทำเรื่องงามหน้าจนอีกฝ่ายมาเจรจาเรื่องการถอนหมั้นกับข้าหลายต่อหลายครั้ง
เกียรติของข้าถูกเจ้าย่ำยีจนหมดสิ้น เจ้าพอจะทำให้ข้าสบายใจสักหน่อยได้หรือไม่ ไม่พ้นปีหน้าข้าก็คงตามไปอยู่กับเสด็จพ่อของเจ้าแล้ว” พระมเหสีหวากล่าวทั้งน้ำตา คนกตัญญูเช่นอ๋องตวนจึงรีบลุกขึ้นและนั่งลงที่ตั่งเตียงเพื่อปลอบโยนนาง
พระมเหสีหวาร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “เจ้าอยู่ที่นี่กับข้าสักพักเถิด เดี๋ยวข้าจะให้คนพาหลานสาวผู้เป็นที่รักของฉีกั๋วกงมาที่นี่ พวกเจ้าก็ใช้เวลาร่วมกัน หากนางยังอารมณ์เสียอยู่ ข้าก็จะปลดจวินฉูฉู่จากตำแหน่งพระชายา แม้แต่พระชายารองก็เป็นไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เอาพระชายาเช่นนั้นเด็ดขาด”
“เสด็จแม่…” ท่านอ๋องตวนรู้สึกหมดหนทาง
“ข้าสัญญากับเจ้าว่าจะไม่ทำให้นางลำบาก แต่เจ้าก็อย่าทำให้ข้าลำบากด้วยเช่นกัน หากฉีกั๋วกงยกเลิกการหมั้นหมาย หลังจากนี้ข้าจะยังมีหน้าไปพบคนอื่นได้รึ”
พระมเหสีหวาตัดพ้อซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนอ๋องตวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบรับให้อวิ๋นหลัวฉวนเข้าวัง ให้พวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันระยะหนึ่ง
แต่เขากลัวว่าจวินฉูฉู่จะเข้าใจผิดจึงอยากแจ้งให้นางรู้ล่วงหน้า จึงให้คนไปส่งจดหมายถึงจวินฉูฉู่หนึ่งฉบับ
ฉีเฟยอวิ๋นไปที่ตำหนักเฉาเฟิ่งเพื่อเข้าเฝ้าพระพันปีและได้พบกับต้ากั๋วจิ้วหวังฮวายเต๋อที่พาฉงหยางจวิ้นจู่เข้าวังเพื่อมาทำความเคารพพระพันปี
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกกดดันพอสมควรเมื่อเข้ามาด้านในและเห็นคนทั้งสองกำลังเข้าเฝ้าพระพันปีอยู่
พระพันปีรับสั่งให้นางไปนั่งข้างหน้า ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำความเคารพหวังฮวายเต๋อและฉงหยางจวิ้นจู่ จากนั้นจึงเดินไปนั่งที่ด้านหน้าพระพันปี
หนานกงเย่ก็กล่าวทักทายและเดินไปนั่งข้างกายฉีเฟยอวิ๋น
พระพันปีมองหนานกงเย่อย่างไม่พอพระทัยและกล่าวว่า “ที่ตั้งกว้างขวาง จำเป็นจะต้องนั่งตรงนี้หรือ”
“…..” หนานกงเย่ไม่พูดอะไร แต่กลับมองดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความนิ่งสงบ
ฉีเฟยอวิ๋นยอมคนผู้นี้จริงๆ ทำไมเขาถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับเรื่องอะไร ก็ไม่เคยยอมแพ้
“เสด็จลุงของเจ้าบอกว่าเจ้าวางอำนาจบาตรใหญ่ในราชสำนักและกดขี่ข่มเหงลุงของเจ้า เรื่องเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่” พระพันปีตรัสถาม
หนานกงเย่เอ่ยเรียบๆ ว่า “เรื่องนี้ยาวยิ่งนัก ลูกเพียงแต่พยายามทำให้ดีที่สุด กิจในราชสำนักไม่ควรมีเรื่องบิดาเรื่องบุตรมาข้องเกี่ยว”
“เจ้าช่างกล้าทำกล้ารับดีเสียจริง” พระพันปีกล่าวอย่างโกรธเคือง
ฉงหยางจวิ้นจู่กล่าวทันทีว่า “ไทเฮาควรจะปลาบปลื้มใจเสียด้วยซ้ำที่ท่านอ๋องเย่รับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ได้ นับเป็นความโชคดีของเมืองต้าเหลียงยิ่งนัก”
“ทุกอย่างก็เพราะได้พวกเจ้าด้วย ไม่เช่นนั้นคนหนุ่มอย่างเขาจะทำอะไรได้ จากนี้ไปพวกเจ้าจะต้องคอยจับตาดูเขา อย่าให้สร้างปัญหาใดๆ ก็พอ
ตอนนี้องค์จักรพรรดิทรงพระเกษมมาก ในอนาคตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คงต้องช่วยจักรพรรดิสองรุ่นปกครอง หากไม่อบรมสั่งสอนให้ดีจะสำเร็จได้อย่างไร”
“ไทเฮาตรัสถูกแล้วเพคะ” ฉงหยางจวิ้นจู่กล่าวอย่างเห็นพ้องต้องกัน
หวังฮวายเต๋อลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “ไทเฮา น้องขอลา เรื่องที่ท่านกล่าวมาก่อนหน้านี้น้องจำขึ้นใจแล้ว”
“อืม กลับไปเถิด”
พระพันปีกล่าวเบาๆ ฉงหยางจวิ้นจู่เองก็ลุกขึ้นถอนสายบัวและลากลับไป
เมื่อคนทั้งสองออกไปแล้ว พระพันปีจึงลุกขึ้นยืนและชี้หน้าหนานกงเย่ “เจ้านี่นะ พูดจาให้มันดีกว่านี้ไม่ได้รึอย่างไร ถ้าไม่มีเสด็จลุงของเจ้าจะมีใครในราชสำนักเคารพเจ้า เสด็จลุงช่วยเหลือโดยจงใจทำเรื่องยากๆ ให้เจ้า ไม่เช่นนั้นสกุลจวินและสกุลเฉินจะอยู่เฉยแบบนี้หรือ”
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจแล้วว่าที่เมืองต้าเหลียงไม่ได้เจริญรุ่งเรืองอย่างไร้เหตุผล ในเมืองต้าเหลียงมีคนคดโกง มีคนมีฝีมือทั้งในและนอกวังโผล่มาไม่ขาดสาย แล้วเมืองจะไม่รุ่งเรืองได้อย่างไร
หากกล่าวกันตามเหตุผลแล้ว เมืองอื่นๆ มีคนที่รับมือได้ยากสักคนสองคนก็คงเพียงพอแล้ว แต่เมืองต้าเหลียงมีคนที่รับมือได้ยากอยู่มากมายก่ายกอง เมื่อคนจากเมืองอื่นมาโจมตี ทางด้านการสู้รบก็มีท่านแม่ทัพท่านพ่อของนาง แม่ทัพสกุลเฉินและฉีกั๋วกง ด้านปัญญามีราชครูจวินและเสนาบดีเฉิน ส่วนจักรพรรดิองค์ปัจจุบันและหนานกงเย่รวมกันก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก ยังมีพระพันปีและพระมเหสีหวาด้วย
คนเหล่านี้ทะเลาะกันภายในก็จริง แต่เมื่อบ้านเมืองมีปัญหาจริงๆ พวกเขาจะรวมกำลังและสามัคคีกันอย่างดี
คนฉลาดจะทำสิ่งที่ฉลาดและจะไม่คิดอะไรโง่ๆ เด็ดขาด ทุกสิ่งที่ทำลงไปอย่างน้อยต้องได้ประโยชน์อะไรบ้าง
นางบอกว่าเสด็จลุงจะสร้างความลำบากให้หลานของเขาได้อย่างไร
หนานกงเย่ลุกขึ้น “เสด็จแม่ ลูกเหนื่อย อยากกลับจวนแล้ว”
“หึ กลับไปสิ ช่วงนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะให้อวิ๋นอวิ๋นอยู่กับข้า” พระพันปีจับมือฉีเฟยอวิ๋นและเตรียมจะเดินออกจากที่นี่ หนานกงเย่หลุบตาลงต่ำด้วยความไม่พอใจ
“ช่วงนี้ลูกเรียกคนมาวินิจฉัยและอาการของพระชายาก็เข้าข่ายการตั้งครรภ์ เสด็จแม่จะให้ลูกกลับจวนไปเช่นนี้หรือ” หนานกงเย่แสดงท่าทีประหลาดๆ
พระพันปีรับฟังเรื่องนี้ทันที “จริงรึ”
“ลูกได้ยินหมอประจำจวนพูด แต่ลูกไม่ทราบรายละเอียดมากนัก ลูกจะไปรู้ได้อย่างไร ลูกเองก็ไม่ใช่หมอ” หนานกงเย่หลอกลวงพระพันปีคำโต
พระพันปีหันมามองฉีเฟยอวิ๋นทันที “มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ”
แน่นอนว่ามารดาย่อมรู้จักบุตรชายของตนดีที่สุด พระพันปีเองก็รู้จักหนานกงเย่ดีพอ
เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องอยู่ในวังต่อ ฉีเฟยอวิ๋นจึงให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ “เสด็จแม่ สะใภ้เองก็ได้ยินมาเช่นนั้น หมอประจำจวนเป็นคนดูอาการให้ ไม่กี่วันก่อนหลังจากที่เขากลับจากการมาเยี่ยมเสด็จแม่ที่นี่ ท่านอ๋องก็จับชีพจรให้ข้าราวกับเป็นหน้าที่ที่ต้องทำทุกวัน และยังบอกว่าข้าใช้ชีวิตดั่งแต่ก่อนอีกไม่ได้แล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าลงด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ใบหน้าที่เป็นดั่งภาพวาดของหนานกงเย่เผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ
พระพันปีชำเลืองมองใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยของบุตรชาย เขาดูหลงใหลพระชายาของตนมากจนน่าจะทำเรื่องดังกล่าวได้จริงๆ คนที่ไม่คุ้นเคยกันคงไม่มีท่าทางเช่นนี้
“ใครก็ได้ไปตามตัวหมอหลวงหูมาที เรียกให้เขามาจับชีพจรของพระชายา” พระพันปีไม่ใช่คนที่หลอกได้ง่ายๆ นางรู้จักบุตรชายของตนดี
ไห่กงกงรีบประกาศคำรับสั่งทันที ใจของฉีเฟยอวิ๋นเต้นรัว นางพยายามสงบสติอารมณ์และปรับร่างกายให้เป็นปกติ
ได้แต่หวังว่าสองวันนี้จะเป็นช่วงไข่ตกของผู้หญิง หวังว่าหมอหลวงโบราณเหล่านี้จะสัมผัสได้
หนานกงเย่เลิกคิ้วและเหลือบมองที่ประตูวัง หมอหลวงหูมาถึงตำหนักเฉาเฟิ่งด้วยความรวดเร็ว
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงอย่างเรียบร้อย หมอหลวงหูจับชีพจรให้นาง เขาจับไปพักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นและรายงาน “เรียนไทเฮา พระนางตั้งครรภ์ได้ระยะหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ?”
พระพันปีทรงปีติยินดีอย่างคนที่กำลังมีหลาน
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางได้แต่คิดเรื่องที่นางสั่งระบบในร่างกายผ่านทางจิตใจได้และมันทำให้นางประหลาดใจมาก
“ไห่กงกง เอาของกำนัลไปให้เขา” พระพันปีมีความสุขมากจึงมอบของกำนัลแก่หมอหลวงหู
หมอหลวงหูกำลังจะเดินออกไปแต่โดนหนานกงเย่เรียกไว้ก่อน “หมอหลวงหู”
หมอหลวงหูหมุนตัวและหันมามองหนานกงเย่ “ท่านอ๋องเย่”
“อย่านำเรื่องนี้ไปพูดกับใครทั้งนั้น ข้าไม่อยากให้มีปัญหาใหม่แทรกเข้ามา พระชายาตวนเป็นคนเยือกเย็น พระชายาเย่เองก็พูดเช่นนั้นเหมือนกัน ข้าไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด หมอหลวงหูเข้าใจใช่หรือไม่”
“กระหม่อมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงหูเหลือบมองพระพันปีที่กำลังระงับอารมณ์และคำพูดอยู่ ก่อนจะขอตัวลา
เมื่อหมอหลวงหูออกไปแล้วพระพันปีก็ลูบมือของฉีเฟยอวิ๋น สั่งให้คนที่เหลือออกไปและมองไปทางหนานกงเย่
“เย่เอ๋อร์ เจ้ากำลังปิดบังอะไรจากแม่อยู่ใช่หรือไม่”
“เสด็จแม่ ลูกเพียงแค่ไม่อยากประมาทจนเกิดเรื่องอะไรขึ้น หากลูกไม่มีทายาทก็จะไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าหากบางคนไม่ต้องการให้ลูกมีทายาท ลูกคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องสำคัญมิใช่น้อย”
“อืม ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล”
พระพันปีพยักหน้าขณะมองฉีเฟยอวิ๋น “ช่างเถิด กลับไปกันได้แล้ว”
พระพันปีโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณให้ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ออกจากวัง คนทั้งสองจึงออกมาจากตำหนักเฉาเฟิ่ง
ตอนที่ออกมาจากวัง ฉีเฟยอวิ๋นทิ้งสบู่เหลวล้างมือไว้ให้พระพันปีสองขวด เมื่อฝากฝังเสร็จเรียบร้อยจึงออกมาจากที่นั่น
พระพันปีลองใช้ดูและมือก็นุ่มเนียนมากจนทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นโดยปริยาย ยังไม่ทันที่ฉีเฟยอวิ๋นจะเดินพ้นวัง พระพันปีก็ให้ไห่กงกงนำสร้อยข้อมือหยกฝังทองคำคู่หนึ่งมาให้
หลังจากได้รับสร้อยข้อมือ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกหนักใจและยื่นมันให้หนานกงเย่ “ท่านอ๋องรับไปเถิด”
“นี่มันของเจ้า ข้าไม่เอาของเจ้าหรอก สวมไว้สิ” ขณะพูดเขาก็สวมสร้อยข้อมือให้ฉีเฟยอวิ๋น
ไห่กงกงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เดินเหินในวังคงไม่สะดวก เดี๋ยวข้าจะไปส่งพวกท่าน”
“ขอบคุณกงกง”
หนานกงเย่กล่าวขอบคุณ จากนั้นคนทั้งสามก็ออกไปด้วยกัน
ฉีเฟยอวิ๋นถามขึ้นว่า “กงกง วันนี้มีเรื่องอะไรใหม่ในวังบ้างหรือไม่”
หนานกงเย่หันไปมองทันที หญิงสาวผู้นี้ชักจะหัวแหลมมากขึ้นเรื่อยๆ
ไห่กงกงปลาบปลื้มใจ ไม่เสียแรงที่เขาคิดเป็นห่วงคนผู้นี้
“ไม่มีอะไรใหม่หรอกขอรับ ก็แค่ตอนที่ข้าเห็นพระชายาตวนออกมาจากตำหนักหวาหยาง ศีรษะของนางบวม ได้ยินว่าพระมเหสีหวาเผลอทำชาร้อนหกใส่นาง แต่ดูเหมือนว่าท่านอ๋องตวนจะไม่ทราบเรื่องนี้”
“เอ๊ะ?” ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองหนานกงเย่ จากนั้นจึงถามคำถามอีกสองสามคำโดยไม่มีพิรุธใดๆ เมื่อพวกเขามาถึงประตูวัง ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ก็ออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหนานกงเย่เมื่อขึ้นมาบนรถม้า “เหตุใดต้องทำร้ายนางด้วย”
“ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ฉีกั๋วกงมาที่วังหลายครั้งเพื่อยกเลิกการหมั้นหมายกับพระมเหสีหวา และเรื่องนี้ก็ทำให้พระมเหสีหวาอ้างว่าประชวรไปหลายวัน
อ๋องตวนและพระชายาตวนมาเข้าเฝ้าในวันนี้เพราะเหตุนี้ องค์จักรพรรดิส่งพวกเขาไปที่วังเพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าว พระมเหสีหวาไม่ยอมยกเลิกการหมั้นหมาย พระองค์จึงแสร้งป่วย
ฉีกั๋วกงคิดว่าพระมเหสีหวาจงใจปฏิเสธการยกเลิกการหมั้นหมาย วันก่อนฉีกั๋วกงจึงไปหาองค์จักรพรรดิ แต่องค์จักรพรรดิเก็บพระองค์ไม่พบเจอใคร วันนี้เขาจึงไปหาองค์จักรพรรดิอีกครั้ง องค์จักรพรรดิก็ยังไม่ออกมาพบเจอเช่นเดิม
องค์จักรพรรดิน่าจะต้องการถามเรื่องราวจากพวกเขา” หนานกงเย่อธิบายอย่างอยู่ไม่สุข ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปถอดเสื้อผ้าของฉีเฟยอวิ๋นและตัดสินใจบรรเลงเพลงรักกับนาง