องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 136 การรับรองของราชครูจวิน
ทว่าคนชุดดำไม่ฟังหนานกงเหยี่ยน เร่งจู่โจม มีดในมือพลันแหวกกลางอากาศด้วยความทะเยอทะยาน
หนานกงเยี่ยนพลิกตัวหลบ ยกมือปะทะกับอีกฝ่ายหลายกระบวนท่า
อวิ๋นหลัวฉวนก็เริ่มต่อสู้กับคนกลุ่มนี้
อวิ๋นหลัวฉวนฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เด็ก ด้วยเกิดในชาติตระกูลแม่ทัพ สิ่งที่ชำนาญที่สุดจึงเป็นวรยุทธ์ แม้นางจะใช้มือเปล่าก็สามารถใช้หมัดรับมือคนพวกนี้ได้
อวิ๋นหลัวฉวนแย่งดาบมาได้หนึ่งเล่มก็แทงฝ่ายตรงข้ามคนหนึ่ง และหันไปรับมือกับกลุ่มที่กำลังต่อสู้กับท่านอ๋องตวนอยู่
ทั้งสองแนบไหล่เข้าหากัน หนานกงเหยี่ยนกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่หนีไปก่อน?”
“เดิมทีคิดว่ามาหยั่งเชิงพวกเรา แต่พวกเขาลงมือโหดเหี้ยม คงหมายจะเอาชีวิตของพวกเรา ข้าไปแล้วท่านจะทำอย่างไร พวกเขามีกันเยอะมากนะ?” อวิ๋นหลัวฉวนอารมณ์เสีย นางอุตส่าห์อยู่ต่อด้วยความหวังดี เขากลับโมโหใส่ น่าเบื่อจริงแท้
ทั้งสองสู้กับอีกฝ่ายอย่างรู้ใจกัน ศัตรูสองคนใช้ดาบฟันเข้ามา อวิ๋นหลัวฉวนหมุนตัวปล่อยลูกถีบ หนานกงเหยี่ยนใช้สองมือจับแขนนางไว้ เมื่อนางถีบศัตรูลอยกระเด็นไปแล้วโรยตัวลงมา หนานกงเหยี่ยนก็รีบอุ้มนาง จากนั้นปลายเท้าก็สัมผัสพื้น
ทั้งสองถูกบีบมาถึงกำแพง หนานกงเหยี่ยนย่อเข่าพร้อมกับกล่าวว่า “เหยียบเข่าข้าไปปีนขึ้นไป”
“ไม่ไป จะตายก็ตายด้วยกัน จะรอดก็รอดด้วยกัน ข้าไม่ทิ้งท่านหรอก” อวิ๋นหลัวฉวนไม่ใช่ทหารหนีตายสักหน่อย
หนานกงเหยี่ยนมองด้วยแววตาที่ประกายแสงสับสน หากเป็นฉูฉู่ นางจะทำเยี่ยงนี้ไหม?
ระหว่างที่หนานกงเหยี่ยนเหม่อลอย มีคนหนึ่งเหวี่ยงดาบเข้าใส่ อวิ๋นหลัวฉวนเห็นว่าหลบไม่ทันแล้ว รีบหมุนกายกอดด้านหน้าหนานกงเหยี่ยน หนานกงเหยี่ยนชะงัก ใช้สายตาเย็นเยียบ สบถออกไปว่า “ไสหัวไป”
ดาบที่ฟันออกมาค้างอยู่กลางอากาศชั่วครู่ จากนั้นก็รีบถอยออกไปอย่างว่องไว
ต่อมาก็มีคนหลายสิบชีวิต กระทั่งคนที่ได้รับบาดเจ็บด้วย ล้วนคุกเข่าลงพร้อมกับทิ้งดาบทะลุบนพื้นพสุธา ก้มหน้ารับผิด “ท่านอ๋องโปรดให้อภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเหยี่ยนใช้มือข้างเดียวอุ้มอวิ๋นหลัวฉวนไว้ ทั่งเรือนร่างมีกลิ่นอายสังหารแผ่ซ่านออกมา พอหนานกงเหยี่ยนลุกขึ้นก็พาอวิ๋นหลัวฉวนไปยังตำหนักหวาหยาง
เมื่อประตูใหญ่เปิดออก คนด้านในพระตำหนักหวาหยางก็พากันคุกเข่าลง
อวิ๋นหลัวฉวนทำหน้าตกใจ “เป็นคนของท่านหรือ?”
หนานกงเย่ทำหน้าเย็นเยียบ ขานางได้รับบาดเจ็บ จึงเดินกะเผลก แลดูโง่เง่านัก
“ที่นี่คือพระตำหนักหวาหยาง เกิดเรื่องยังไม่มีเงาสักคน ไม่น่าสงสัยหรือ?” อารมณ์หงุดหงิดของหนานกงเหยี่ยนผุดขึ้นมา เขาควรนึกออกตั้งนานแล้ว
อวิ๋นหลัวฉวนก็ราวกับนึกอะไรได้ ใบหน้าเล็กย่ำแย่ “ในเมื่อเป็นการหยั่งเชิง ไยต้องใช้อาวุธ มีดดาบไร้ตา หากผู้ใดบาดเจ็บก็ล้วนไม่ดี”
“ไม่สมจริง ใครจะเชื่อ?” สาเหตุที่หนานกงเยี่ยนคาดไม่ถึงก็เพราะพวกเขาลงมือโหดมาก เขาประมาทเลินเล่อเกินไป
ตอนแรกคิดว่าเป็นคนของอวิ๋นหลัวฉวน จึงไม่ได้ใส่ใจ หลังจากที่คนพวกนั้นลงมืออย่างเหี้ยมเกรียมพลันรู้ว่าเป็นคนของตำหนักหวาหยาง
เมื่อถึงตำหนักหวาหยาง หนานกงเหยี่ยนก็เห็นพระมเหสีหวานั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งกุ้ยเฟยพร้อมกับจิบน้ำชาอยู่
“เสด็จแม่”
“อืม ข้าได้ยินว่าเจ้าหายดีแล้ว เลยหาคนทดสอบเจ้า ดูเหมือนว่าหายดีแล้วจริงๆ เช่นนั้นข้าก็วางใจ ไม่มีอะไรก็ไปพักผ่อนเถอะ ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว” พระมเหสีหวาลุกไปพักผ่อนในห้องบรรทม
หนานกงเหยี่ยนปล่อยอวิ๋นหลัวฉวน จากนั้นก็ก้มหน้ามองขานาง นางยังยืนได้มั่นคง ทว่าที่ขามีเลือดไหลพรู
“ไปนั่งข้างๆก่อน” หนานกงเหยี่ยนประคองอวิ๋นหลัวฉวนไปนั่ง จากนั้นก็เรียกหมอหลวงดูอาการของอวิ๋นหลัวฉวนแล้วแจ้งบอกจวนฉีกั๋วกงว่า อวิ๋นหลัวฉวนบาดเจ็บในวัง
เพราะอย่างไรเสียก็เป็นสตรีนางหนึ่ง เมื่อได้รับบาดเจ็บจะส่งผลกระทบอันใหญ่หลวง โดยเฉพาะเรื่องที่มีรอยแผลเป็น
ทว่าอวิ๋นหลัวฉวนปฏิเสธ “ไม่ต้องแจ้งให้จวนฉีกั๋วกงทราบ”
หนานกงเหยี่ยนไม่เข้าใจ นั่งลงพร้อมกับมองอวิ๋นหลัวฉวน
อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวว่า “แผลข้าไม่เป็นอะไร หากท่านปู่รู้ต้องโกรธเคืองแน่ เรื่องยิ่งน้อยยิ่งดี ตามนี้แล้วกัน”
หนานกงเหยี่ยนนึกถึงจวินฉูฉู่ขึ้นมา หากเป็นนางคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆแน่
อวิ๋นหลัวฉวนอายุยังน้อย ทว่ากลับรู้ความกว่านาง
“เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะมาเยี่ยมเจ้า” หนานกงเหยี่ยนลุกขึ้นเดิน อวิ๋นหลัวฉวนเรียกเขาไว้
“ช้าก่อน”
หนานกงเหยี่ยนหันไปมองอวิ๋นหลัวฉวนอย่างหงุดหงิด พอดีกับนางหน่อยก็เริ่มได้คืบจะเอาศอกเชียว
อวิ๋นหลัวฉวนละเลยสีหน้าของหนานกงเหยี่ยน กล่าวว่า “ท่านไม่ต้องมาอีก ช่วงนี้ข้าจะพักผ่อนอยู่ที่นี่ ในเมื่อท่านไม่อยากเจอหน้าข้า และข้าก็ไม่อยากเจอหน้าท่าน ไม่สู้ไม่เจอกันเลยเสียจะดีกว่า”
หนานกงเหยี่ยนทำหน้าเคร่งขรึม “เจ้าคิดว่าข้าอยากมาหรือ?”
หนานกงเหยี่ยนกล่าวจบก็หันกายจากไป อวิ๋นหลัวฉวนจึงโล่งอก ไปซะได้ก็ยิ่งดี เห็นเขาแล้วนางก็รู้สึกรำคาญ
เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกแท้ๆ แต่กลับลุ่มหลงแต่สตรี ไม่รู้จักทำการใหญ่เสียเลย
ระยะเวลาสามวันมาถึง มีคนมาเปิดห้องพระในลานหลังจวนราชครูจวินแต่เช้า
จวินฉูฉู่หน้าซีดขาว ตัวสั่นเทิ้ม นางยังคงคุกเข่าคัดคัมภีร์ดุจเดิม ไม่กล้าขี้คร้านเลยสักนิด
พ่อบ้านนำคนเข้ามาประคองจวินฉูฉู่ออกไป มารดาของจวินฉูฉู่นำคนมาดูนางชั่วครู่ กล่าวถูไถสองสามประโยคก็เดินหายลับไป
จวินฉูฉู่นอนอยู่บนเตียงด้วยความขมขื่น
มารดาแค่พูดไปตามพิธีรีตองเท่านั้น ไม่มีแววตาที่สงสารนางเลยสักนิด ยามนี้ฐานะนางไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่ใช่ตอนที่นางแต่งเข้าจวนอ๋องตวนที่จับมือถามไถ่นางด้วยความห่วงใย
นางตกอับอยู่ในสภาพนี้ พวกเขากลัวจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย แค่มาดูชั่วครู่ ถึงว่าเป็นเมตตาสูงสุดแล้ว
หลังเที่ยง จวินฉูฉู่รู้สึกว่าดีขึ้นบ้างแล้ว จึงลุกจากเตียงไปเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ จากนั้นก็ไปคารวะราชครูจวิน
โดยมีสาวใช้ตามไปด้วย ทั้งสองเดินไปถึงลานบ้าน กระทั่งเงาสักคนก็ไม่มี
“พระชายา ปกติจวนจวินไม่ได้เงียบอย่างนี้เจ้าค่ะ” ชุนหงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ปกติในจวนจวินจะมีคนประจบประแจงพวกนางไม่มากก็น้อย ตอนนี้กลับเป็นเยี่ยงนี้
“อย่าพูดมั่ว เดิมทีจวนจวินก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว” นางดูไม่ออกเอง
จวินฉูฉู่ถึงห้องหนังสือของราชครูจวิน รู้ว่าท่านกลับจากราชการแล้ว จึงให้คนไปรายงานแล้วรออยู่ด้านนอก
ข้ารับใช้ออกมาถ่ายทอดคำสั่งว่า “ราชครูสั่งให้คุณหนูใหญ่คุกเข่ารอขอรับ ท่านยังมีธุระอยู่”
จวินฉูฉู่คุกเข่าลงด้วยความหนาวเหน็บ นางพึ่งหายดี ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น แล้วยังต้องคุกเข่าอีก หัวเข่าที่บวมระบมก่อนหน้าต้องรับเคราะห์อีกหนแล้ว
ชุนหงเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “พระชายา……ไปเชิญท่านอ๋องดีหรือไม่เพคะ?”
“หากเขาอยากมาก็คงมาตั้งนานแล้ว ไม่รอจนป่านนี้หรอก” จวินฉูฉู่ก็ไม่ได้คาดหวัง
เวลาล่วงเลยมาสามวัน หนานกงเหยี่ยนคงอยู่ร่วมกับอวิ๋นหลัวฉวนอย่างดี ดีจนลืมนางไปเสียแล้ว
ถึงแม้พระมเหสีหวาจะจับตามองอยู่ แต่เขาเป็นถึงท่านอ๋องตวน หากอยากออกมาจริง ไหนเลยจะกระทำไม่ได้
จวินฉูฉู่คุกเข่าหนึ่งชั่วยามกว่า ราชครูจวินก็ออกมาจากห้องหนังสือ โดยมีหนานกงเย่ออกมาด้วย
“ในเมื่อผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ยังมีธุระ เช่นนั้นข้าก็จะไม่รั้ง สำหรับเรื่องตู้ฟางจุน ข้าเห็นด้วยกับท่านมาก ราษฎรสำคัญมาก ควรจัดสรรเงินแก้ไขเรื่องนี้ให้ดีจริงๆ”
“ในเมื่อราชครูจวินไม่มีข้อทักท้วง เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะถวายฎีกาต่อฝ่าบาท” เสียงของหนานกงเย่ลอยมาเข้าหู จวินฉูฉู่ก็เงยหน้าขึ้นกะทันหัน เมื่อเห็นหนานกงเย่ จวินฉูฉู่ก็ตื่นตกหนกจนลืมเคลื่อนไหว
ไม่มีคนบอกว่าหนานกงเย่อยู่ในจวน
จวินฉูฉู่รับรู้อะไรบางอย่างได้ นางมองไปยังราชครูจวิน ซึ่งอีกฝ่ายเพียงแค่มองนางปราดหนึ่งก็ไม่ได้สนใจนางอีกเลย
หนานกงเย่ไม่ได้มองนางเลย ระหว่างที่พูดคุยกับราชครูจวิน พวกเขาเดินอ้อมแล้วเดินไปยังประตูใหญ่จวนจวิน
จวินฉูฉู่หันไปมองหนานกงเย่ที่เดินลับจากไป นางไม่ได้คุกเข่าต่อ กลับเป็นการทรุดตัวนั่งพื้นแทน
“พระชายา พระชายา” ชุนหงรีบประคองจวินฉูฉู่ ทว่ากลับถูกจวินฉูฉู่ใช้แรงผลักออกไป
“ไม่ต้องสนใจข้า ไม่ต้องสนใจข้า”
ชุนหงไม่กล้าเข้าใกล้ นางไม่กล้าขัดคำสั่งพระชายา
จวินฉูฉู่นั่งบนพื้นครึ่งวัน ราชครูจวินถึงจะกลับเข้ามาจากหน้าประตู เห็นจวินฉูฉู่ก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือ
“เข้ามาเถอะ”
ราชครูจวินออกคำสั่งแล้ว จวินฉูฉู่จึงฝืนลุกขึ้นจากพื้น ทว่าเป็นเพราะนางคุกเข่านานเกินไป สองขาจึงด้านชา หัวเขาเจ็บระบมไปหมด พึ่งลุกขึ้นยืนก็เกือบสะดุดล้ม ชุนหงต้องรีบเข้าไปพยุง จวินฉูฉู่จึงพอจะยืนได้มั่นคง
เมื่อเข้าไปด้านในห้องหนังสือ จวินฉูฉู่ก็คุกเข่าให้ราชครูจวิน โขกศีรษะไม่กล้าเงยหน้าขึ้น “หลานคารวะท่านปู่เจ้าค่ะ”
ราชครูจวินนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือ กล่าวเสียงราบเรียบ “ให้เจ้าคัดคัมภีร์สามวัน เจ้ามีอะไรอยากพูดไหม?”
จวินฉูฉู่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจนเกือบร้องห่มร้องไห้ ทว่านางข่มกลั้นไว้
นางเก็บน้ำตาไว้ เพราะนางรู้ดี ร้องไห้เวลานี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ที่นี่เป็นที่ที่ผู้คนไร้จิตใจอาศัย ใครอยากจะมองนางเสียน้ำตากันเล่า
“หลานสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ ไม่ควรทำตัวโดดเด่นในจวนอ๋องเย่ เรื่องนี้หลานผิดเอง ยามที่ออกไปพร้อมกับท่านอ๋องตวน หลานควรยกท่านอ๋องตวนเป็นที่ตั้ง” จวินฉูฉู่กล่าว
ใบหน้าราชครูจวินเย็นเยียบ “ดูเหมือนเจ้ารู้ว่าไม่ควรทำตั้งนานแล้ว แต่นี่เป็นแค่สาเหตุหนึ่งเท่านั้น สาเหตุที่สองคือเจ้าไม่ควรเป็นอริกับอวิ๋นหลัวฉวน อวิ๋นหลัวฉวนคือไข่มุกในฝ่ามือของฉีกั๋วกงแห่งสกุลอวิ๋น นางได้เป็นพระชายารองของท่านอ๋องตวน เพราะข้าเป็นคนร้องขอ ก่อนหน้าข้ากับพระมเหสีหวาเคยหารือกันแล้ว แต่เจ้ากลับไม่รู้สึกหาความเจริญใส่ตัว ถึงกับจะทำลายเรื่องนี้ทิ้ง”
“ท่านปู่โปรดตรวจสอบด้วยเจ้าค่ะ หลานไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ หลานไม่รู้เรื่องนี้เลยเจ้าค่ะ” จวินฉูฉู่กล่าวด้วยเสียงสะอื้น
ใบหน้าราชครูจวินเย็นยะเยือก “หากเจ้าไม่ได้ทำ ตอนอยู่ที่จวนอ๋องเย่ก็ไม่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับอวิ๋นหลัวฉวนหรอก เป็นเพราะวันนั้น ฉีกั๋วกงจึงมาหาข้า ซักถามข้าด้วยน้ำเสียงตำหนิว่ามีเจตนาอันใด เพราะเจ้า ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ตอนข้าไปหารือเรื่องแต่งตั้งพระชายารอง ข้ารับรองกับฉีกั๋วกงว่า นิสัยของท่านอ๋องตวนดีใช้ได้
แต่เจ้ากลับทำตัวเหลวไหลในจวนอ๋องเย่เช่นนั้น เจ้ารู้ไหมว่าฉีกั๋วกงพูดเยี่ยงไร เขาบอกว่าท่านอ๋องตวนยำเกรงพระชายา จวนฉีกั๋วกงของพวกเขาไม่ถูกใจท่านอ๋องตวน”
จวินฉูฉู่อึ้ง ทว่าก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ปาดน้ำตา ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านปู่เจ้าค่ะ เรื่องนี้หลานจะไปขอรับโทษกับจวนกั๋วกงเจ้าค่ะ ต้องทำให้ดีแน่เจ้าค่ะ ท่านปู่โปรดให้โอกาสหลานสักครั้งนะเจ้าค่ะ”
อารมณ์โกรธของราชครูจวินจึงค่อยๆดีขึ้น มองไปยังจวินฉูฉู่ที่คุกเข่าบนพื้น ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องไปที่จวนกั๋วกงหรอก เจ้าไปก็จะเกิดเรื่องเปล่าๆ
เจ้ากลับไปแล้วไปขอพระราชเสาวนีย์กับพระมเหสีหวาว่า จะขอแต่งตั้งพระชายารองให้ท่านอ๋องตวน โดยที่เจ้าจะต้องจัดเตรียมพิธีด้วยตัวเอง จนเป็นที่พอใจของจวนกั๋วกง”
“ท่านปู่เจ้าค่ะ ถึงท่านปู่ไม่สั่ง หลานก็จะทำเช่นนี้เจ้าค่ะ หลานคิดดีแล้ว ที่มาวันนี้ก็เพื่อรายงานเรื่องนี้แก่ท่านปู่เจ้าค่ะ” จวินฉูฉู่ไหลไปตามคำพูดของราชครูจวิน
ราชครูจวินแสดงท่าทีเห็นด้วย “พระมเหสีหวาให้เจ้ากลับจวนจวิน เจ้าทราบสาเหตุหรือไม่?”
“หลานทราบเจ้าค่ะ หลานก็จะรายงานเรื่องนี้กับท่านปู่……” จวินฉูฉู่เล่าเรื่องเหตุการณ์นั้นให้ราชครูจวินฟังอย่างไม่ปิดบังสักนิด
ราชครูจวินมองจวินฉูฉู่ปราดหนึ่ง “สกุลจวินมีบุตรสาวเยอะ พระมเหสีหวาคิดจะเปลี่ยนคนไง”
“ท่านปู่……ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ” จวินฉูฉู่ร้องไห้ฟูมฟาย
ราชครูจวินเอ่ยขึ้นมาว่า “อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอก หากไม่มีอะไรผิดพลาด พระมเหสีหวาจะไม่ทรงทำเช่นนั้นแน่นอน เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะ……” ได้รับการรับรองจากราชครูจวิน จวินฉูฉู่พลันโล่งอก จึงลุกขึ้นถอยออกไป ชุนหงประคองนางออกจากจวนจวินจนถึงรถม้า
ชุนหงกล่าวด้วยความกังวล “พระชายา ตอนนี้ท่านเป็นเช่นนี้ กลับจวนอ๋องแล้วจะพูดเช่นไรดีเพคะ?”
“พระมเหสีหวาอยากแต่งตั้งพระชายารอง กดดันท่านปู่ของข้า ข้าจัดการไม่ดีจึงถูกลงโทษให้คัดคัมภีร์อย่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนที่ห้องพระ แพร่งพรายเรื่องนี้ไม่ได้ อย่าเปิดเผย หากพูดผิดแค่คำเดียว ข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้ง และตัดแขนตัดขาเจ้า” จวินฉูฉู่กล่าวเสียงเรียบเฉย เห็นนางเป็นคนไม่มีพิษสงเช่นนี้ เวลาพูดกลับทำให้หวาดกลัวยิ่ง