องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 144 จะไม่ยอมเลิกรา
จักรพรรดิอวี้ตี้มีสีพระพักตร์ไม่ดีนัก “พวกนั้นลงมือกับพระชายางั้นรึ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ ข้าประเมินอาลักษณ์ราชสำนักหลี่ต่ำไปจริงๆ แม้แต่พ่อบ้านผู้น้อยก็ยังบังอาจคิดกระด้างกระเดื่อง รังแกพระชายาขององค์ชายของข้า หากไม่ลงโทษ ก็คงจะเหลือร้ายเกินไปแล้ว”
สีพระพักตร์จักรพรรดิอวี้ตี้ดูไม่สบอารมณ์ “สวีกงกง”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” สวีกงกงรีบก้าวมาข้างหน้า
“ประกาศพระราชโองการออกไป สั่งประหารพ่อบ้านแห่งจวนอาลักษณ์ราชสำนักหลี่และผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำการกระด้างกระเดื่องในวันนี้ ลดตำแหน่งอาลักษณ์ราชสำนักหลี่ลงสองขั้น ตัดออกจากตำแหน่งอาลักษณ์ ไม่ต้องควบคุมฮูหยินอาลักษณ์เข้มงวด ตัดนางออกจากบรรดาศักดิ์ฮูหยินแต่งตั้ง ตัดรองเสนาบดีกรมขุนนางหลี่เสี่ยนออกจากตำแหน่ง คุมตัวไปกรมยุติธรรมเพื่อฟังคำตัดสินลงโทษ คุมตัวผู้ที่อยู่ในจวนหลี่เสี่ยนไปลงโทษหลังจากฟังการตัดสิน”
สวีกงกงรับพระราชโองการ จากนั้นจักรพรรดิอวี้ตี้จึงมองหนานกงเย่ที่อยู่เบื้องหน้า เนิ่นนานจึงตรัสว่า “อ๋องเย่ แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยเห็นเจ้าโกรธเช่นนี้ พอโกรธแล้วถึงได้มาเข้าเฝ้าข้า”
หนานกงเย่เอ่ยว่า “ฝ่าบาท เป็นน้องเองที่บุ่มบ่าม”
“ข้าเองก็เคยผ่านมาก่อน จำได้ว่าตอนที่ฮองเฮาเข้ามาในวัง ข้าทำให้นางเป็นทุกข์โดยมิได้ตั้งใจจนนางต้องหลบไปร้องไห้ ข้าเองก็เป็นเหมือนเจ้าเวลานี้ที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เจ้าเป็นแบบนี้แสดงว่าเจ้ายังมีเลือดเนื้อ ไม่เหมือนยามปกติที่มักจะทำตัวขวางโลกจนทำให้ข้าปวดหัว”
“…..” หนานกงเย่ไม่พูดอะไร จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงนึกอยู่ครู่หนึ่ง “ไหนๆ เจ้าก็มาแล้ว เช่นนั้นบอกข้าทีที่พระชายาเย่คิดจะตรวจสอบเรื่องนี้”
“ทูลฝ่าบาท น้องยังไม่เวลาถามก็โกรธจนต้องมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อตัดสินใจพ่ะย่ะค่ะ”
“……”
จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงขัน “จริงรึ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปก่อนเถิด สองสามวันมานี้พลานามัยของฮองเฮาไม่ค่อยดีนัก ข้าออกมานานเกินไปไม่ได้ เจ้าสองคน คนหนึ่งทำข้าปวดหัว ส่วนอีกคนก็ทำให้ข้าจนปัญญา
ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว กลับไปเถิด พรุ่งนี้อ๋องตวนจะมาเข้าเฝ้าข้าตอนเช้า เขาจะอภิเษกพระชายารอง เจ้าเองก็ต้องจริงจังเหมือนกัน อย่าลืมไปด้วย ข้าเองก็จะกลับไปพักผ่อน”
“กระหม่อมทูลลา”
“น้องทูลลา”
แม่ทัพฉีและหนานกงเย่จากไปพร้อมกัน จักรพรรดิอวี้ตี้ส่งเสียงในลำพระศออย่างเย็นชา “ไม่ต้องรีบกลับนัก รออยู่ที่นี่สักหนึ่งชั่วยามแล้วค่อยกลับ”
จักรพรรดิอวี้ตี้สะบัดแขนฉลองพระองค์อย่างเย็นชาก่อนจะเดินจากไป สวีกงกงรับพระราชโองการและนำไปบอกหนานกงเย่
“ท่านอ๋อง บ่าวไม่สะดวกออกจากวังในยามดึก จึงนำพระราชโองการมาเรียนให้ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่รับพระราชโองการและถามว่า “ยามอะไรแล้ว”
“ยามสองแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวีกงกงว่าแล้วจึงหันไปโค้งคำนับให้แม่ทัพฉีก่อนจะเดินจากไป (ยามสองคือเวลา 21:00 -23:00น.)
หลังจากในตำหนักบำรุงฤทัยเหลือพ่อตากับลูกเขยเพียงสองคน ท่านแม่ทัพฉีก็ถามขึ้นมาว่า “อวิ๋นอวิ๋นไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“ตกใจน่ะขอรับ” หนานกงเย่เอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึงเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น ท่านแม่ทัพฉีคิดว่าแค่ตกใจก็แปลว่าไม่ถึงกับเสียเลือดเสียเนื้อ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ต้องห่วง
ทั้งสองคนรออยู่ที่พระตำหนักบำรุงฤทัย เมื่อยังกลับไปไม่ได้แม่ทัพฉีจึงถามเรื่องตู้ฟางจุนเพื่อฆ่าเวลา
ฉีเฟยอวิ๋นรออยู่ครู่หนึ่งเสียงของพ่อบ้านก็ดังมาจากทางประตู “ท่านแม่ทัพเฉินมาขอรับพระชายา”
ฉีเฟยอวิ๋นมองออกไปและเห็นเฉินอวิ๋นเจี๋ยเดินเข้ามาพร้อมกับกระบี่ม่อเสียในมือ เขาสวมอาภรณ์สีดำทำให้ดูสุขุมหนักแน่น
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปทางเฉินอวิ๋นเจี๋ยและโน้มศีรษะลงเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพน้อย”
ตอนที่เฉินอวิ๋นเจี๋ยมาถึง พ่อบ้านเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว เวลานี้เขาจึงไม่ได้ตกใจ แต่ในใจยังรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง สตรีผู้นี้อาจหาญมากทีเดียวที่เรียกให้เขามาหาในเวลากลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรืออย่างไร
“มีอะไร อย่าได้ชักช้า” เฉินอวิ๋นเจี๋ยไม่ชอบคนเยอะๆ เขาเดินเข้าไปหาฉีเฟยอวิ๋นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ฉีเฟยอวิ๋นสวมชุดคลุมที่เผยให้เห็นความเรียบหรูงดงาม เวลานี้แขนของนางเปลือยเปล่าจนเผยให้เห็นผิวที่ขาวราวกับรากบัว บอบบางเกลี้ยงเกลาราวกับหยกงาม เฉินอวิ๋นเจี๋ยดึงสติกลับมาและระงับหัวใจที่สั่นหวั่นไหวเอาไว้ หันไปมองร่างที่นอนอยู่บนแท่นสูง
เฉินอวิ๋นเจี๋ยนำทหารไปออกรบและย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเจ็บป่วยที่ต้องรับการรักษา เพียงแต่ว่าเขาไม่คุ้นเลยกับเตียงเรียบๆ แบบนี้
ทว่าร่างของคนที่อยู่บนเตียงอาบไปด้วยเลือด ใบหน้าก็เสียโฉม แถมยังท้องใหญ่อีกด้วย
“นี่คือ?” คนอัปลักษณ์ผู้นี้ทำให้เฉินอวิ๋นเจี๋ยถึงกับตกใจ
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดความลังเล นางหยิบยาน้ำฆ่าเชื้อและเริ่มฆ่าเชื้อให้เฉาเหม่ยเหริน
“ท่านแม่ทัพน้อย ท่านช่วยข้าดูหน่อยเถิดว่าบนร่างกายมีบาดแผลมากแค่ไหน และบาดแผลทั้งหมดอยู่ตรงจุดใดบ้าง” ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มทำงานอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ลี่ว์หลิ่วและหงเถาเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้ว คนหนึ่งเตรียมผ้าจำนวนมากเอาไว้ซับเหงื่อให้ฉีเฟยอวิ๋น อีกคนสวมถุงมือให้ฉีเฟยอวิ๋นและคอยส่งแหนบ ที่คีบ มีด และอุปกรณ์อื่นๆ ให้
เฉินอวิ๋นเจี๋ยเดินออกไปและหยุด “กระดาษกับพู่กัน”
พ่อบ้านเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว กระดาษหนึ่งปึกและพู่กันหมึกถูกส่งมาวางไว้เรียบร้อย จากนั้นเฉินอวิ๋นเจี๋ยเริ่มจดบันทึก
แม้จะยังไม่แน่ใจว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะทำอะไร แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะให้ความร่วมมือ
จิ้งจอกหางสั้นวิ่งไปรอหนานกงเย่ที่ประตู
หนึ่งชั่วยามต่อมาเฉาเหม่ยเหรินก็ได้รับการรักษาบาดแผลทั้งหมดบนร่างกาย ฉีเฟยอวิ๋นพันแผลให้นางจนนางดูเหมือนมัมมี่ประหลาดๆ ที่นอนอยู่บนแท่น
“ระวังหน่อยอาอวี่ วางลงบนเตียง” อาอวี่ขึ้นมาอุ้มเฉาเหม่ยเหรินแล้ววางลง
“ลี่ว์หลิ่ว คืนนี้เจ้าอยู่ที่นี่กับอาอวี่ คอยดูแลเฉาเหม่ยเหริน”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากสั่งงานแล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงหันไปมองเฉินอวิ๋นเจี๋ย
“ลำบากท่านแม่ทัพน้อยแล้ว”
“ไม่เป็นไร ข้าลืมนำตาประทับมาด้วย เดี๋ยวจะลงนามให้ท่าน” เฉินอวิ๋นเจี๋ยว่าแล้วจึงลงนามเอาไว้ ให้คนไปนำโคลนแดงมา ประทับรอยมือบนบันทึกของเขาและเป่าจนแห้งก่อนจะส่งให้ฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เฉินอวิ๋นเจี๋ยเป็นคนที่ฉลาดมาก แต่น่าเสียดายที่เขาเลือกทางผิด น่าเสียดายจริงๆ!
“ท่านแม่ทัพน้อยโปรดรอที่ห้องรับรองสักครู่ ข้าจะไปเปลี่ยนอาภรณ์ก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นเป็นคนที่รู้จักบุญคุณและย่อมมิอาจเพิกเฉยต่อเฉินอวิ๋นเจี๋ย
เฉินอวิ๋นเจี๋ยกล่าวว่า “ข้าจะรออยู่ข้างนอก”
ว่าแล้วเขาจึงเดินออกไปข้างนอก การที่ฉีเฟยอวิ๋นเรียกเขามาเดี๋ยวนี้ นางรู้ดีว่าเขาน่าจะเข้าใจว่านางต้องการอะไร ดังนั้นจึงไม่ลังเลใจอีก
เฉินอวิ๋นเจี๋ยหยุดลง “ว่ามาเถิด”
“ไปที่วังและกราบทูลเรื่องที่เห็นให้องค์จักรพรรดิทราบ ข้าต้องการหาคนมาเป็นพยานยืนยันให้ข้าว่าถ้าใช้ยาของข้า อาการบาดเจ็บของนางเฉาจะหายในเร็ววัน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ เป็นการดีที่สุดที่จะพาสวีกงกงมาดู”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างสนอกสนใจ “ข้าเคยบอกไปแล้ว ถ้าท่านบ้าข้าจะบ้าไปกับท่าน ถ้าท่านโง่ข้าจะโง่ไปกับท่าน ถ้าท่านฉลาดข้าย่อมฉลาดไปกับท่าน ข้าจะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิที่วังทันที ท่านพักผ่อนเสียเถิด”
“ข้าจะไปส่งท่าน” ฉีเฟยอวิ๋นก้าวออกมา เฉินอวิ๋นเจี๋ยหันหลังและเดินไปทางประตูจวนอ๋องเย่
แม้ว่าจะไม่อยากพูดคุยอะไรแต่เขาก็อดคุยกับฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้
“เรียกข้ามากลางดึกเช่นนี้เขาไม่รู้หรือ” เฉินอวิ๋นเจี๋ยถามขึ้นมา
“ท่านอ๋องอยู่ในวัง วันนี้ข้าถูกพ่อบ้านของอาลักษณ์ราชสำนักหลี่รังควาน เขาโกรธมากจึงไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยมองนาง “รังควานท่านน่ะรึ”
ดวงตาอันเรียวยาวของเฉินอวิ๋นเจี๋ยที่มองตรวจตราไปทั่วร่างของฉีเฟยอวิ๋นเผยให้เห็นความไม่สบายใจ
ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายว่า “ข้าอยากจะช่วยนางเฉาแต่พ่อบ้านพาคนมาขวาง พวกเขามากันเยอะ แม้ว่าอาอวี่จะคอยปกป้องแต่ก็เกือบจะเกิดเหตุร้าย ท่านอ๋องมาถึงทันเวลา พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้า รีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาททันที”
ประกายแห่งความเหงาฉาบฉายในดวงตาของเฉินอวิ๋นเจี๋ย “ดูเหมือนเขาจะปฏิบัติต่อท่านไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“ใครจะไปรู้? ทุกอย่างผ่านไปดั่งสายน้ำ เราไม่อาจมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน อดีตเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่คุ้มที่วีรบุรุษหนุ่มอย่างท่านแม่ทัพน้อยจะใส่ใจคนเพียงคนเดียวที่ลืมท่าน โปรดถนอมสุขภาพ เพื่อความสดใสของเมืองต้าเหลียงในภายภาคหน้า ท่านต้องกลายเป็นเสาหลักที่มีความสามารถ” ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกมาจากประตูและหยุดลง หันกลับไปมองเฉินอวิ๋นเจี๋ย
เฉินอวิ๋นเจี๋ยยิ้มอย่างสวยงามปานจะล่มบ้านล่มเมือง ในแววตาฉายให้เห็นความหยิ่งทะนง
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ สำหรับข้าแล้ว สิ่งใดก็เทียบไม่ได้กับการได้โอบกอดสาวงาม แม้นว่าข้าวจะหุงสุกจนไม่อาจกลับมาเป็นข้าวสาร แต่ข้าก็จะไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยพลิกตัวขึ้นบนหลังม้าและควบม้าฝ่าความมืดไปยังพระราชวังอย่างรวดเร็ว
หนานกงเย่และแม่ทัพฉีออกมาจากวังด้วยรถม้าคันเดียวกัน เฉินอวิ๋นเจี๋ยที่ห้อตะบึงม้าผ่านไปหันกลับมามองแวบหนึ่ง เมื่อหนานกงเย่ลืมตาขึ้นและมองออกไปนอกรถม้าก็พบว่ามีเงาของใครคนหนึ่งผ่านไป
“ใครน่ะ” หนานกงเย่ถามผู้ที่ควบคุมรถ คนควบคุมรถจึงตอบว่า “มองไม่ชัดพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่เอนหลังกลับเข้าไป ภายในใจคิดเป็นห่วงฉีเฟยอวิ๋นและไม่คิดจะถามอีก
แม่ทัพฉีง่วงจนแทบจะหลับแต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
เฉินอวิ๋นเจี๋ยพกกระบี่เข้าไปด้วยเมื่อมาถึงประตูวัง มือที่กำกระบี่ม่อเสียเอาไว้ทำให้คนในวังไม่กล้าหยุดเขา จนเมื่อไปถึงตำหนักเฟิ่งอี๋จึงมีคนมารายงาน
สวีกงกงรีบออกมาสอบถามว่า “ท่านแม่ทัพน้อย ฝ่าบาททรงบรรทมแล้ว มีเรื่องอะไรที่ถึงกับมาเข้าเฝ้าพรุ่งนี้ไม่ได้หรือขอรับ”
“กงกงแค่กลับไปทูลก็พอว่าข้ามีเรื่องด่วน”
เมื่อสวีกงกงเห็นว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยมาดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้เขาจึงไม่กล้าเพิกเฉยและรีบเข้าไปกราบทูล
ในใจระแวงมาตลอดว่ามาเพราะเรื่องที่จวนอาลักษณ์หรือเปล่า นี่คือคิดจะฆ่าทั้งตระกูลงั้นหรือ?
เฉินอวิ๋นชูลุกขึ้นจากเตียง “บอกให้เขากลับไป ดึกดื่นมืดค่ำแล้วยังจะมาก่อกวน ทิ้งกระบี่นั่นเอาไว้ ให้เขารู้ว่าอะไรควรไม่ควร มีของของฝ่าบาทอยู่ในมือแต่กลับไม่รู้ว่าควรจะใช้อย่างไร”
สวีกงกงชายตาขึ้นและมองฮองเฮายิ้มๆ “ทูลฮองเฮา บ่าวมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
นับตั้งแต่ฮองเฮาทรงพระครรภ์ ฝ่าบาทก็ไม่ไปที่ตำหนักของพระสนมเอกเซียวเลย พระองค์โปรดปรานใครทุกคนในวังรู้ดี ท้ายที่สุดแล้วองค์จักรพรรดิก็ไม่โปรดพระสนมเอกเสียว
“เช่นนั้นข้าไปเอง”
เฉินอวิ๋นชูสวมเสื้อผ้าและเตรียมจะออกไป ในขณะที่จักรพรรดิอวี้ตี้สวมฉลององค์เสร็จแล้ว สวีกงกงก็รีบเข้ามาปรนนิบัติทันที
“นับตั้งแต่ฮองเฮาตั้งครรภ์ ข้าก็รู้สึกว่าทุกวันนี้ตนเองว่างมาก ร่างกายของข้าก็ว่างเปล่ายากจะมีชีวิตชีวา ไปดูเสียหน่อยคงดี” จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสแล้วจึงเดินไปหาเฉินอวิ๋นชู
“เมื่อวานนี้ฮองเฮารู้สึกอ่อนแรง พักผ่อนเสียเถิด”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไร้ความสามารถ พอตั้งครรภ์แล้วยังจะอ่อนแอเช่นนี้อีก พระสนมเอกเซียวนั้นอ่อนวัยกว่า หากฝ่าบาทรู้สึกวุ่นวายพระทัยจริงๆ พระองค์จะไปยืดเส้นยืดสายที่นั่น หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ” เฉินอวิ๋นชูปากไม่ตรงกับใจ แม้ว่าภายนอกจะดูอดทน แต่ในแววตากลับแฝงไปด้วยความเศร้า
จักรพรรดิอวี้ตี้มองด้วยแววพระเนตรล้ำลึก “มองข้า ข้าอยากจะเห็น”
เฉินอวิ๋นชูค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาท”
“ข้าทำเพื่อชาติบ้านเมือง และเพื่อปิดปากของพวกเขาด้วย ทว่าใจของข้าอยู่กับฮองเฮาที่นี่เสมอ แต่ฮองกลับคิดจะผลักไสข้าออกไป ถ้าหากข้าจากไปแล้วไม่กลับมาจริงๆ ฮองเฮาจะไม่เสียใจงั้นรึ”
“แต่ว่า…” เฉินอวิ๋นชูอยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้ จักรพรรดิอวี้ตี้ยิ้ม เชยคางของเฉินอวิ๋นชูขึ้นมาและมองนางอย่างพินิจ
“ข้าอภิเษกกับฮองเฮามาร่วมสามสิบปี ข้าคิดว่าข้าคงเบื่อที่จะมองใบหน้านี้เข้าสักวัน แต่จวบจนถึงตอนนี้ข้ากลับยิ่งรู้สึกว่าสิ่งอื่นใดนั้นไม่สำคัญเลย เมื่อมีฮองเฮาอยู่ข้างกายข้า ข้าไม่เคยรู้สึกถึงความโดดเดี่ยว และวังนี้ก็ดูไม่ได้โหดเหี้ยมเกินไปนัก”
“ฝ่าบาท…” เฉินอวิ๋นชูน้ำตาไหลริน
จักรพรรดิอวี้ตี้จูบซับน้ำตาของนางและเตรียมจะออกไป “อย่าร้องเลย ข้าอยากเห็นฮองเฮายิ้ม”
“หม่อมฉันละอายฝ่าบาทเหลือเกิน” เฉินอวิ๋นชูซบลงในอ้อมกอดของจักรพรรดิอวี้ตี้ รู้สึกเศร้าสลดอยู่ภายในใจ
จักรพรรดิอวี้ตี้ตบเฉินอวิ๋นชูเบาๆ เพื่อปลอบประโลม “ดูเหมือนฮองเฮาจะไม่อยากให้ข้าออกไป สวีกงกง บอกให้แม่ทัพน้อยเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากสวีกงกงรีบออกไป เฉินอวิ๋นชูจึงค่อยผละออกมาและเช็ดน้ำตา เรียกให้คนนำเสื้อคลุมมาสวมให้
จักรพรรดิอวี้ตี้โน้มตัวลงมาอุ้มเฉินอวิ๋นชูไปที่เตียง เฉินอวิ๋นชูรีบเอ่ยออกมาว่า “มิรบกวนฝ่าบาทดีกว่าเพคะ”
“ข้าจะอุ้ม เกรงว่าต่อไปจะอุ้มไม่ไหวอีก”
จักรพรรดิอวี้ตี้วางเฉินอวิ๋นชูลงบนเตียงและห่มผ้าให้นาง จากนั้นพระองค์จึงนั่งลงบนเตียงเพื่อรอเฉินอวิ๋นเจี๋ย