องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 151 เกิดเรื่องขึ้นที่ตำหนักจิ่นซิ่ว
ฉีเฟยอวิ๋นเหงื่อออกเต็มตัว เฉินอวิ๋นชูที่นั่งอยู่ด้วยกันก็รู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
เด็กคนนี้ไม่ว่าจะออกมาอย่างไร เธอก็รัก แต่ถุงหอมนั้นจักรพรรดิเป็นผู้พระราชทานให้ กล่าวว่าเพื่อปกป้องลูกในครรภ์
จักรพรรดิตรัสว่า อัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ของนางไม่คงที่ และเรื่องนี้ไม่ได้บอกกับคนภายนอก บอกเพรยงฉีเฟยอวิ๋น
เฉินอวิ๋นชูรู้ว่าสะเพร่าเกินไป เมื่อออกจากวังก็โยนถุงหอมทิ้งไป เกรงว่าเด็กจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้นางไม่สามารถรับผิดชอบได้
เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังเคร่งเครียดอยู่ เฉินอวิ๋นชูรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมานานสองชั่วยาม ในที่สุดฉีเฟยอวิ๋นก็ทำถุงหอมขึ้นมาสำเร็จ เธอโชคดีเรื่องเดียวคือตอนแรกเธอต้องการที่จะเก็บรักษาไว้ จึงเก็บตุ๊กแกไว้จำนวนหนึ่ง ไม่เช่นนั้นครั้งนี้เฉินอวิ๋นชูจะต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัยอย่างแน่นอน
ฉีเฟยอวิ๋นนำถุงหอมของเธอมามอบให้กับเฉินอวิ๋นชู “พระสนมได้โปรดพกติดตัวไว้ หม่อมฉันจะพยายามปกป้องพระสนมอย่างดีที่สุด แต่พระสนมเริ่มมีอาการคลื่นไส้อาเจียนแล้ว เกรงว่าจะทรมานอยู่บ้างเพคะ”
เฉินอวิ๋นชูจับถุงหอมไว้แน่นและมีสีหน้าไม่ดีนัก “พระชายาเย่ ข้ามีสิ่งหนึ่งต้องการถามเจ้า ถุงหอมนี้เป็นเครื่องรางช่วยปกป้องชีวิตของข้าใช่ไหม?”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นและไม่ได้พูดความจริง “พระสนมเพียงแค่ทำตามที่หม่อมฉันกล่าวไว้ หากผ่านคืนนี้ไป ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีเพคะ”
“ได้ ข้าเชื่อเจ้า ใครอยู่ข้างนอกเข้ามานี่ รีบเข้าวังไปกราบทูลรายงานจักรพรรดิเรื่องที่ข้าทำถุงหอมหายไป”
“เพคะ”
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นและคนอื่นออกไป นางจึงลุกขึ้นยืน ตอนที่กำลังลุก นางรู้สึกปวดท้องอย่างมาก เมื่อมองลงมาก็พบว่าชายกระโปรงของนางมีเลือดออก
เฉินอวิ๋นชูถูกประคองไปนอนลงที่เตียง ทั้งจวนเสนาบดีต่างวุ่นวายกันขึ้นมา ฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้คนไปจัดเตรียมน้ำร้อน แต่นำยาที่อาอวี่เตรียมมาให้เฉินอวิ๋นชูรับประทาน
“นี่คือยาเป่ามิ่งตาน (ยาสำหรับทารก) พระสนมอ้าปากเพคะ”
เฉินอวิ๋นชูอ้าปากด้วยใบหน้าซีดเซียว หลับตาขณะที่นางกินยา นางคิดว่าตัวเองจะต้องตายแน่ๆ
เพียงแค่รู้สึกไม่ดีที่ทำให้จวนเสนาบดีต้องมาเดือดร้อนไปด้วย เกรงว่าหากนางตายไป จวนเสนาบดีจะต้องตายไปกับนางด้วย
มีน้ำตาอยู่ที่มุมตาของเฉินอวิ๋นชู และฉีเฟยอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ไม่สามารถเข้าใจได้
เป็นใครกันที่เอาถุงหอมไป โดยเกือบจะทำให้เฉินอวิ๋นชูตาย
หนานกงเย่เดินเข้ามาจากหน้าประตู และท่านเสนาบดีก็ดูเหนื่อยล้า ยกมือขึ้นและเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก
“ท่านอ๋อง” เสนาบดีเฉินมองเห็นท่านอ๋องเย่
หนานกงเย่ก็เพิ่งกลับมา และได้ทราบว่าฉีเฟยอวิ๋นมารักษาอาการครรภ์ของฮองเฮา ึงเดินทางมาที่นี่ และเมื่อมาถึงก็ได้ทราบเรื่องของเฉินอวิ๋นชูเข้า
“ท่านเสนาบดีทำใจให้สบาย ข้าเชื่อมั่นว่าอาณาจักรต้าเหลียงจะได้รับพรและการคุ้มครองจากเทพพระเจ้า และหลานชายของข้าก็จะเป็นองค์ชายผู้มีจิตใจดีของอาณาจักรต้าเหลียง เขาจะต้องไม่เป็นอะไร และจะต้องส่องแสงเจิดจรัสให้กับอาณาจักรต้าเหลียง”
หนานกงเย่มีอารมณ์หนักแน่น จักรพรรดิไม่มีทายาทผู้สืบทอดสกุลมานานหลายปี เพิ่งจะมี แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
ท่านเสนาบดีพยักหน้าอย่างสง่าผ่าเผย “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
“ท่านเสนาบดี วันนี้คนที่เข้าจวนเสนาบดีมีคนนอกบ้างหรือไม่?” หนานกงเย่จะไม่ปล่อยไว้แม้เพียงเม็ดทราย เรื่องวันนี้ต้องถูกสอบสวน
ท่านเสนาบดีตกตะลึง ลูกสาวของเขาเกิดเรื่องขึ้น และเขาตกใจเกินไปจนลืมเตรียมการ
“รีบทำการปิดทางเข้าออกจวนเสนาบดี ใครก็ตามที่เคยเข้าออกจวนเสนาบดี นำตัวมาให้หมด”
ท่านเสนาบดีเฉินออกคำสั่งไป และทุกคนในจวนเสนาบดีก็ตกอยู่ในอันตราย
หนานกงเย่สั่งคนให้มาช่วยเหลือ ส่วนเขาเดินเข้าไปหาฉีเฟยอวิ๋น
เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องของเฉินอวิ๋นชู มีคนจำนวนมากคุกเข่าอยู่ที่พื้น ล้วนเป็นผู้ที่ติดตามมาจากในวัง
หนานกงเย่วางมือข้างหนึ่งไว้ข้างหน้า และนำป้ายหยกขาวที่เพิ่งได้รับด้วยมืออีกข้างหนึ่งข้างหลัง เขาก้าวไปข้างหน้าและมองเข้าไปในเรือน
ผู้คนที่อยู่ที่พื้นต่างพากันตัวสั่น มือทั้งสองแตะลงกับพื้น และก้มศีรษะลงจรดพื้น
มีคนกางเกงเปียกปอน และมีคนร้องไห้
เมื่อฮองเฮาเกิดเรื่องขึ้น ใครก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ฉะนั้นพวกเขาจึงร้องไห้ให้กับตัวเอง
หนานกงเย่มองออกไปและถามว่า “ใครเข้าเวรยามวันนี้หรือ?”
“ข้าน้อย เป็นข้อน้อยเองพ่ะย่ะค่ะ” ขันที่ที่คุกเข่าอยู่ข้างในคลานออกมา และคุกเข่าร้องไห้อยู่กับพื้น
หนานกงเย่ถาม “วันนี้ตั้งแต่ที่ฮองเฮาออกจากวังมาจนถึงเวลานี้ ได้พบเจอใครหรือไม่ และก่อนออกจากวังไปได้พบเจอใครหรือไม่?”
“กราบทูลรายงานแก่ท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก่อนที่ฮองเฮาจะออกจากวังไป ได้เสด็จไปยังตำหนักจิ่นซิ่ว เพื่อไปพบพระสนมเอกเซียว และระหว่างทางที่เสด็จออกมาก็ไม่ได้พบเจอใครอีก รถม้าเดินทางอย่างระมัดระวังตลอดระยะทาง และหลังจากนั้นฮองเฮาก็พักผ่อนโดยไม่ได้เจอใครอีก หลังจากที่เข้ามายังจวนท่านเสนาบดีก็ไม่ได้พบเจอใครมากนัก มีเพียงท่านเสนาบดี ฮูหยิน และคุณหนูเฉิน และนอกจากนั้นก็เป็นคนที่บ่าวและคนใช้ต่างก็ไม่สามารถรบกวนได้ นั่นก็คือพระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ”
เพื่อปกป้องชีวิตของขันทีเอง เขาบอกเล่าตั้งแต่ออกจากวังจนมาถึงตอนนี้ที่เกิดเรื่องขึ้นทั้งหมดอย่างละเอียด
“ออกคำสั่งของข้าออกไป รีบกลับเข้าไปในวังและปิดการเข้าออกของตำหนักจิ่นซิ่ว และพระราชวังจะอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก เพื่อป้องกันความไม่คงที่ของหัวใจทารกในครรภ์ของพระสนมเอกเซียว และแจ้งข่าวกับหมอหลวงให้รอฟังคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ทั้งสองตำหนัก”
“ข้าน้อยรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
ทังเหอรีบนำคำสั่งเข้าไปในวัง หนานกงเย่โยนป้ายคล้องเอวให้กับทังเหอ ทังเหอออกจากประตูและควบม้าเร็วไป
ท่านเสนาบดีรู้สึกประหลาดใจมากในขณะนี้ และเดินไปตรงหน้าของหนานกงเย่เพื่อซักถาม “ท่านอ๋องเย่?”
“เรื่องนี้เป็นเพียงการสอบสวนในเบื้องต้นอย่างถี่ถ้วน แต่หากต้องการทำร้ายทายาทผู้สืบสกุลของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าเหลียง ข้าไม่มีวันยอมโดดเด็ดขาด”
ท่านเสนาบดีเฉินพยักหน้า “ทั้งหมดนี้ต้องขอบใจท่านอ๋อง”
หนานกงเย่มองไปที่อาอวี่ “รีบไปที่จวนท่านแม่ทัพ ให้ท่านแม่ทัพฉีจัดกำลังคนเพื่อทำการปิดล้อมเมืองหลวง และตรวจค้นการเข้าออกของเรือนยาทุกที่ และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรือนยาสมุนไพร ทำการตรวจนับหมอประจำจวน ทหารเสนารักษ์ แพทย์ทหาร ฮูหยิน เจ้าของร้านยาในแต่ละพื้นที่ และรวมไปถึงหมอหลวงในวัง ส่งคนไปตรวจสอบตรวจค้น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่หันกลับออกไปจากจวนเสนาบดี
เฉินอวิ๋นชูเจ็บปวดมาเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่กลับไม่รู้สึกปวด ฝืนพยายามลืมตาขึ้นเพื่อมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นค่อยหลับตาลงและผล็อยหลับไป
ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดเหงื่อบนใบหน้า จากนั้นจึงหันหลังกลับออกไป ขณะที่ออกมาก็เกือบจะล้มลง
หนานกงเย่เมื่อเห็นว่าเธอออกมา จึงรีบเข้าไปโอบกอดไว้ในอ้อมแขน และก้มลงมอง ฉีเฟยอวิ๋นเหน็ดเหนื่อยจนสีหน้าซีดเซียว
“ท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะร้องไห้ออกมา ในที่สุดก็ได้เจอหน้าคนรัก
หนานกงเย่รู้สึกสงสารอย่างมาก เขาอุ้มเธอเดินไปอีกฝั่งหนึ่งและนั่งลงตรงทางเดินริมระเบียงภายในเรือน ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเต็มไปด้วยเหงื่อ และเอนแนบไปยังอ้อมอกของหนานกงเย่
หนานกงเย่เช็ดใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋น และสวมกอดเธอไว้
“กลับไปดูแลพักผ่อนร่างกายให้ดี เพื่อมีลูกให้กับข้า” หนานกงเย่พูดจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกหน้าแดง ช่างไร้ยางอาย ผู้คนมากมายเช่นนี้ เขายังกล้าพูดออกมา
ท่านเสนาบดีเฉินมองไปที่หน้าประตูห้อง อดไม่ได้ที่จะถาม “พระชายาเย่ ฮองเฮา……”
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอกในเวลานี้
ลุกขึ้นจากบนตัวของหนานกงเย่และกล่าวว่า “ฮองเฮาปลอดภัยแล้ว แต่ยังต้องนนอนพักเพื่อรักษาเด็กในครรภ์ ห้ามส่งเสียงดังรบกวนภายในเรือน”
“ขอบพระทัยพระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ” ท่านเสนาบดีเฉินเช็ดเหงื่อและถอนหายใจ
ผู้คนในจวนเสนาบดีนับร้อยต่างก็รู้สึกว่าชีวิตปลอดภัยขึ้น
ไม่นานนักจวนเสนาบดีก็ถูกรายล้อมโดยคนของจวนท่านแม่ทัพ อาอวี่กลับเข้ามาเพื่อรอฟังคำสั่ง “ท่านอ๋อง คนของจวนท่านแม่ทัพมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พาคนไปที่เรือนอื่น ส่วนที่นี่ให้เป็นหน้าที่ของเจ้า ห้ามให้มีอะไรผิดพลาด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหนานกงเย่ออกคำสั่งอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น “หลังจากนี้ล่ะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ทำไมถึงถามเธอ?
“ท่านอ๋องไม่ได้เป็นผู้บัญชาการหรือเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นเชื่อฟังคำสั่ง
หนานกงเย่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เพื่อปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของฮองเฮา ข้าจะอยู่กับพระชายาที่นี่ จัดเตรียมเครื่องนอนให้ข้าพักผ่อน ข้าจะพักผ่อนข้างในห้อง”
จัดให้มีคนเพื่อสอบสวนเป็นพิเศษ สิ่งของที่ฮองเฮาใช้ทั้งหมดให้เปลี่ยนเป็นเครื่องเงิน อาหารส่งมาจากภายในวัง
“พ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่ออกคำสั่งออกไปและรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย มองไปที่ห้องประทับของฮองเฮาและถามว่า “สามารถเข้าไปได้หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า “ท่านอ๋องไปพักที่ห้องข้างๆ ส่วนฮองเฮาทางนี้มีอาอวี่คอยเฝ้าดู ท่านสามารถไปพักผ่อนก่อนได้ พรุ่งนี้หม่อมฉันค่อยเข้าไปดูแล”
“เช่นนั้นหากไม่มีอะไรแล้ว พระชายาก็ตามข้าเข้าไปในวัง”
“อะไรนะเพคะ!” ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็เรียกสติกลับคืนมา
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ต้องเข้าไปในวังเพื่อกราบทูลรายงานจักรพรรดิ และยังต้องไปพบพระสนมเอกเซียว
หนานกงเย่เหลือบไปมองอาอวี่ หลังจากนั้นจึงโค้งตัวก้มลงอุ้มฉีเฟยอวิ๋นออกจากจวนเสนาบดี
ฉีเฟยอวิ๋นถูกชายคนนี้ทำร้ายจริงๆ เป็นผู้หญิงแต่กลับถูกผู้ชายอุ้มออกไปจากที่นี่ เกรงว่าจะถูกมองว่าเป็นเป้าหมายการโจมตีที่ใหญ่ที่สุด
หลังจากออกจากประตูมา ฉีเฟยอวิ๋นถูกวางลงในรถม้า หลังจากนั้นทั้งสองก็เข้าวัง
ระหว่างทางหนานกงเย่กอดเธอไว้เพื่อให้เธอพักผ่อน แต่ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้อยากจะอธิบายเรื่องราวของเฉินอวิ๋นชูอย่างละเอียดชัดเจน
“ถุงหอมของฮองเฮาเป็นเครื่องรางปกป้องคุ้มครองชีวิตของฮองเฮา ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเคยบอกกับท่านอ๋อง ตุ๊กแกนั้นหม่อมฉันจัดเตรียมไว้ให้ฮองเฮาเพคะ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถุงหอมจึงหายไป
ตอนที่หม่อมฉันรีบมาทำการตรวจวัดชีพจรให้ฮองเฮา พบว่ามีบางอย่างไม่ปกติจึงได้สอบถามเรื่องถุงหอมกับฮองเฮา ฮองเฮาจึงทราบว่าถุงหอมหายไปแล้ว”
หนานกงเย่ลูบไล้ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋น ใบหน้าของเธอแดงก่ำ และเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้น
“หากกล่าวเช่นนี้ มีคนเอาถุงหอมไป จึงทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น หากเป็นเช่นนั้น ถุงหอมหายไปนานแค่ไหน ฮองเฮอาจึงมีอาการเช่นนี้?”
เมื่อพูถึงเรื่องนี้ ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นึกอะไรขึ้นมาได้ “หม่อมฉันลืมไปได้อย่างไร ถุงหอมต้องหายไปจากฮองเฮาหกชั่วยาม ฮองเฮาจึงเกิดเรื่องขึ้น หากเป็นเช่นนี้ ถุงหอมของฮองเฮาจะต้องหายไปตอนอยู่ภายในวัง?”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าของหนานกงเย่ดูเรียบเฉย “ใช่แล้ว เป็นคนในวังที่ลงมือกระทำการ”
“แล้วเป็นใครเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปนั่งโดยพิงแนบอ้อมแขนของหนานกงเย่ และหนานกงเย่ก็กอดฉีเฟยอวิ๋น และใช้ใบหน้ากดทับใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงทุกคน “คงไม่ใช่พระสนมเอกเซียวที่เป็นคนลงมือกระทำ เพราะเวลาไม่ถูกต้อง”
“ก็ไม่แน่เสมอไป” หนานกงเย่ยิ้ม “พักผ่อนก่อนเถอะ ประเดี๋ยวเข้าวังไปมีเรื่องให้ต้องจัดการ”
“เรื่องอะไรหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ
“เข้าวังไปก็รู้เอง”
ไม่นานรถม้าก็เดินทางมาถึงพระราชวัง ฉีเฟยอวิ๋นปัดม่านหน้าต่างบนรถม้า พระราชวังถูกปิดล้อมโดยทหารแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นถูกหนานกงเย่อุ้มลงจากรถม้า เขาวางฉีเฟยอวิ๋นลงและหยิบป้ายออกมา ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมอง และรู้สึกเหยียดหยามมาก นี่เป็นของของเสี่ยวกั๋วจิ่ว
เอาป้ายของคนอื่นมา และสุดท้ายก็ไม่คืนเขาไป
หลังจากเข้ามาภายในวัง สวีกงกงได้รออยู่ที่หน้าประตูแล้ว ในมือได้ถือโคมไฟไว้ เมื่อเห็นหนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินเข้ามาข้างหน้า “ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ”
“องค์จักรพรรดิล่ะ?” หนานกงเย่สอบถาม
“จักรพรรดิรออยู่ที่ตำหนักจิ่นซิ่วนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดิให้ข้าน้อยมารับท่านอ๋องและพระชายาเย่เข้าไปโดยเร็ว หากช้ากว่านี้ เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น” สวีกงกงตกใจจนเหงื่อออกท่วมตัว ช่างมาได้ทันเวลา
หนานกงเย่จูงมือของฉีเฟยอวิ๋นและรีบเดินเข้าไปที่ตำหนักจิ่นซิ่ว
เมื่อมาถึงตำหนักจิ่นซิ่ว ฉีเฟยอวิ๋นก็มองเห็นคนจำนวนมากคุกเข่าลงกับพื้น คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของตำหนักจิ่นซิ่ว และคนเหล่านี้ก็เหมือนกับคนที่จวนเสนาบดี คุกเข่าลงกับพื้นด้วยอาการสั่นกลัวไปทั้งตัว
ตำหนักจิ่นซิ่วที่คาดการณ์จากสายตามีประมาณหนึ่งร้อยกว่าคน ต่างก็คุกเข่าลงที่พื้น
สวีกงกงรีบนำทางหนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในห้องโถงของตำหนักจิ่นซิ่ว เมื่อเข้าประตูมาก็ได้เห็นหมอหลวงต่างพากันคุกเข่าอยู่ที่พื้น
จักรพรรดิอวี้ตี้ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ใบหน้าของเขาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง