องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 154 จวินฉูฉู่ต้องการเอาชีวิต
บทที่ 154 จวินฉูฉู่ต้องการเอาชีวิต
เมื่อมองไปทางหนานกงเย่แล้วฉีเฟยอวิ๋นก็พยักหน้า: “ท่านอ๋อง”
“อืม”
หนานกงเย่มองไปยังไห่กงกง: “เสด็จแม่ทรงรับสั่งสิ่งใด?”
“ไทเฮาตรัสด้วยวาจาว่าตำหนักเฟิ่งอี๋ ตำหนักจิ่นซิ่วคนรับใช้หนึ่งพันคนดูแลเจ้านายไม่ดีพอให้ประหารชีวิต คนข้างกายของสองตำหนักกุมตัวไปสอบสวนอย่างเข้มงวด
เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายในวัง ห้ามนางสนมทั้งหมดในวังออกจากตำหนักของตนภายในสามวัน และจะมีการจัดเตรียมคนไปเฝ้าดูโดยเฉพาะ รอจนทั้งสองตำหนักแห่งปลอดภัยดีแล้วก็จะได้รับการอภัย
ผู้คนในแต่ละตำหนักห้ามส่งเสียงดังเป็นเวลาสามวันเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสองตำหนัก
ฮองเฮาเสด็จออกจากวังได้รับความทุกข์เข็ญฝ่าบาทจะทรงสำนึกองค์เอง สรงน้ำให้สะอาดและอดอาหารเป็นเวลาสามวัน ถือเป็นการอธิษฐานขอพรให้สองตำหนักด้วย
จวนเสนาบดีอารักขาไม่รอบคอบต้องชดใช้ด้วยร่างกาย สามวันนี้ห้ามทานอาหารเพื่อขอพรให้ฮองเฮา หากฮองเฮาแม่ลูกปลอดภัยจวนเสบาบดีมีความชอบ หากภายในสามวันฮองเฮาแม่ลูกมีเหตุอันใดคนนับพันทั้งหลายใช้ความจงรักภักดีรักษาความบริสุทธิ์ ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่ นี่คือต้องการฝังทั้งจวนเสนาบดีไปด้วยกัน!
จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสว่า: “ลูกน้อมรับพระราชโองการ”
ไห่กงกงไปจากฉีเฟยอวิ๋นและเดินไปยังหน้าพระพักตร์จักรพรรดิอวี้ตี้แล้วโค้งตัวและกล่าวว่า: “ฝ่าบาท ไทเฮานั้นอีกสักครู่ก็จะไปที่ศาลบรรพชนเพื่ออธิษฐานขอพรให้สองตำหนัก ไทเฮาทรงให้บ่าวส่งข้อความถึงฝ่าบาท ฮองเฮาเป็นเจ้านายของตำหนักกลาง ดังนั้นอยู่ข้างนอกไม่ได้ ขอฝ่าบาททรงรับฮองเฮากลับวังด้วยพะย่ะค่ะ”
“……”
จักรพรรดิอวี้ตี้ลังเลเล็กน้อย: “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ข้าน้อยลาไปก่อน”
ไห่กงกงคุกเข่าคำนับและลุกขึ้นก่อนจะจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูแล้วถอนหายใจ ในเวลานี้การรับฮองเฮากลับนั้นไม่ได้หมายความว่าต้องการให้ฮองเฮาสิ้นพระชนม์หรอกหรือ
“อ๋องเย่ เจ้าไปเถอะ ไปรับฮองเฮากลับมาแทนข้า แล้วพระชายาเย่ก็ไปกับเจ้าด้วยเช่นนี้ข้าก็วางใจ” จักรพรรดิอวี้ตี้แก่ลงมากในเวลาครู่เดียว ฉีเฟยอวิ๋นดูสายตาของเขานั้นเหนื่อยล้าบ้างเล็กน้อย
หนานกงเย่เห็นด้วย: “กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ”
หันไปมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วหนานกงเย่ก็เรียกนาง: “ไปกันเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นตามไปหลังจากนั้น
ทั้งสองออกจากวังโดยไวและเข้าไปในรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าเล็กน้อย: “เสด็จแม่จะพาฮองเฮากลับวัง นี่ไม่ใช่จะให้ฮองเฮา……”
“เสด็จแม่ทำเช่นนี้ก็มิได้ผิด ฮองเฮาเป็นเช่นนี้จะให้อยู่นอกวังก็ไม่ใช่วิธีเลยต้องพากลับวัง” หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นแล้วอธิบาย แต่ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าพระพันปีไม่เพียงแต่โหดร้ายยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้น
ทั่วทั้งวังหลวงดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพระนาง แม้ว่าพระนางจะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก แต่พระนางเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้ทุกคนหวาดกลัวได้
“เสด็จแม่มอบชุดขนหงส์แก่เจ้ากลับทำให้ข้าแปลกใจ นี่เป็นชุดที่อดีตจักรพรรดิให้คนทำขึ้นด้วยองค์เองสำหรับเสด็จแม่ เสื้อผ้าชุดนี้ทำมาจากขนนกยูงเจ็ดพันตัวใช้เวลาจัดทำสามปีและใช้ช่างฝีมือผู้ชำนาญจำนวนหกสิบกว่าคนพร้อมทั้งช่างปักฝีมือดีเจ็ดแปดคน” หนานกงเย่สัมผัสชุดขนหงส์บนร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นและดึงแขนของเขากลับ
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า: “เสื้อผ้านี้ดีเช่นนี้เลยหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว เสื้อผ้าชุดนี้แทนถึงฐานันดรของเสด็จแม่ อดีตจักรพรรดิมีราชโองการเมื่อเห็นชุดขนหงส์นี้เสมือนเห็นเสด็จแม่เสด็จมาด้วยพระองค์เอง สวมชุดขนหงส์นี้ก็คือถึงอดีตจักรพรรดิจะทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ก็ไม่สามารถแตะต้องพระนางได้แม้แต่น้อย”
“งั้นเสด็จพ่อทรงรักเสด็จแม่มากหล่ะสิ?”
“นั่นเป็นเรื่องปกติ” หนานกงเย่กล่าวเสียงเบา
ฉีเฟยอวิ๋นงุนงวย: “หากเป็นเช่นนี้แล้วจะแต่งงานกับสนมอื่นทำไมกัน?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่านางสนมทั้งหลายที่ไห่กงกงกล่าวถึงนั้นไม่ใช่นางสนมของจักรพรรดิอวี้ตี้แต่เป็นนางสนมของอดีตจักรพรรดิที่ทรงอยู่ต่อ
แม้ว่าคนเหล่านั้นจะได้รับความตายและส่งเข้าทางธรรมแต่บางคนก็ยังอยู่ในวังหลัง ผู้หญิงเหล่านั้นยังมีภูมิหลังอยู่เบื้องหลังไม่มากก็น้อยดังนั้นจึงยังคงอยู่ต่อ
ผู้คนมากมายเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเสด็จพ่อของหนานกงเย่เป็นผู้ที่เจ้าชู้พระองค์หนึ่ง
หนานกงเย่ถอนหายใจ: “ผู้เป็นจักรพรรดิไม่เพียงต้องรับผิดชอบต่อสามัญชนทั่วหล้าเท่านั้น แต่ยังต้องรับผิดชอบในการสืบสายโลหิตของราชวงศ์และแน่นอนว่าเป็นการสืบทอดทายาทของวงศ์ตระกูล”
“กล่าวเช่นนี้ก็ใช่”
ฉีเฟยอวิ๋นคิดออกเรื่องหนึ่งเลยกล่าวว่า: “เสด็จแม่ทรงตรัสว่ามีคนใส่ร้ายจวนอ๋องเย่เพื่อที่ฝ่าบาทจะตำหนิท่านอ๋องเรื่องการเคลื่อนไหว ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดีได้เช่นไร!”
ถึงไม่ได้กังวลมากมายนักแต่ก็ยังคงมีความกังวลอยู่
หนานกงเย่กลับไม่ได้กังวลแต่ลูบมือของฉีเฟยอวิ๋น: “เสด็จแม่นั้นเกรงว่าจะเข้าพระทัยทุกสิ่งทุกอย่างแล้วดังนั้นจึงเพียงแค่รอผลของทั้งสองตำหนักเท่านั้น”
“คำกล่าวนี้หมายถึงอันใด?” ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองยังคงงุนงวยอยู่บ้างเล็กน้อย
หนานกงเย่ขบขัน: “เมื่อควรฉลาดไม่ฉลาดเมื่อไม่ควรฉลาดก็ฉลาดอีกครั้ง เสด็จแม่ได้ควบคุมทุกอย่างแล้วพระนางจะปล่อยผู้ที่ใส่ร้ายข้าได้เช่นไร?”
“ท่านอ๋อง ท่านเกือบจะเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ซะแล้วก็ไม่เห็นว่าเสด็จแม่จะเป็นเช่นนี้?”
“นั่นมันต่างกัน ได้รับบาดเจ็บเสด็จแม่ก็ทรงเป็นห่วงเป็นใยแต่ท้ายสุดแล้วนางก็ไม่ใช่หมอและไม่สามารถควบคุมความเป็นความตายของข้าได้ แต่เรื่องในตอนนี้เป็นตัวแปรในวังแล้วเสด็จแม่ก็ไม่มีวันนั่งทอดพระเนตรอยู่เฉยๆเป็นแน่”
“งั้นเสด็จแม่……” คำสองคำอันน่ากลัวนั้นฉีเฟยอวิ๋นกลืนกลับเข้าไปไม่กล่าวจะเป็นการดีซะกว่า
ฉีเฟยอวิ๋นง่วงนอนเล็กน้อยพิงอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่แล้วหรี่ตาลง
“เหนื่อยหรือไม่?” หนานกงเย่กอดเพื่อให้ฉีเฟยอวิ๋นมีที่นอนอันสบาย
“อืม ท่านอ๋อง หม่อมฉันพักผ่อนสักครู่” ฉีเฟยอวิ๋นนั้นเหนื่อยมากจริงๆเหนื่อยเช่นนี้ช้าเร็วก็จะเหนื่อยจนตายได้
เดิมทีในยามสงครามนางแบกตะกร้ายาอยู่หลังศัตรูยังไม่เคยเหนื่อยเท่านี้มาก่อน ยามนี้ในยุคโบราณเป็นพระชายากลับเหนื่อยขนาดนี้
“นอนเถอะ ข้ากอดไว้อยู่”
หนานกงเย่พิงอยู่ในรถม้าและงีบหลับไปครู่หนึ่ง
รถม้าถึงจวนเสนาบดีฉีเฟยอวิ๋นลยถูกปลุกให้ตื่น หลังจากออกจากรถม้าทั้งสองก็ไปพบฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูด้วยกัน
ทันทีที่ฉีเฟยอวิ๋นปรากฏก็มีเสียงคุกเข่าลงบนพื้นไปทั่ว
หนานกงเย่จับมือฉีเฟยอวิ๋นราวกับมองไม่เห็นและเดินตรงไปหาเฉินอวิ๋นชู
มีคนคุกเข่าอยู่ในเรือนและฮูหยินเสนาบดีก็ร้องไห้น้ำตานองเป็นคราบทั่วใบหน้า เฉินอวิ๋นชูกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยลมหายใจอันแผ่วเบาและเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้มีลมหายใจอยู่ต่อมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ฉีเฟยอวิ๋นก้มลงจับข้อมือของเฉินอวิ๋นชูและเริ่มตรวจดูอาการเพื่อรักษานาง
“ฮองเฮามารดาและบุตรนั้นปลอดภัยดี ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้ เพียงแต่ฮองเฮามีอาการแท้งร่างกายเลยอ่อนกำลังลง เวลานี้อยู่นอกวังไม่ได้ดีกว่าเลยกลับวังจะเป็นการดี”
หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวจบฮูหยินเสนาบดีก็หมดสติไปและหนานกงเย่ก็ไม่ได้สนใจเป็นธรรมดา
เขาสั่งให้คนเคลื่อนย้ายเฉินอวิ๋นชูไปยังรถม้าและเร่งกลับวังในชั่วข้ามคืน
เสนาบดีเฉินมองดูรถม้าที่ห่างไกลออกไป คนทั้งคนสั่นสะท้านอยู่และล้มลงกับพื้นอย่างแรง
เฉินอวิ๋นเจี๋ยกลับมาจากนอกเมืองและวุ่นอยู่กับการประคองเสนาบดีเฉินเข้าไป
เสนาบดีเฉินลืมตามองดูบุตรชายทั้งน้ำตา: “รีบไป ไปให้ไกลเท่าที่จะไกลได้แล้วอย่าได้กลับมาอีก”
“ท่านพ่อ ท่านพักผ่อนให้ดีข้าจะเข้าวังไปดูท่านพี่”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยลุกขึ้นจากไปแล้วเสนาบดีเฉินก็เรียกไว้: “กลับมา”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยมองย้อนกลับไปยังเสนาบดีเฉินแล้วก็หันหลังกลับจากไป
เฉินอวิ๋นชูนอนอยู่ในรถม้าโดยมองฉีเฟยอวิ๋นและหลับตาลงช้าๆ ฉีเฟยอวิ๋นจับมือเฉินอวิ๋นชูตลอดทางไปที่ไปถึงวัง หลังจากลงจากรถหนานกงเย่กำลังจะอุ้มเฉินอวิ๋นชูเข้าวัง เฉินอวิ๋นเจี๋ยก็กระโดดลงจากหลังม้า
“ข้าเอง” เฉินอวิ๋นเจี๋ยเดินไปยังด้านล่างรถม้าในไม่กี่ก้าว หนานกงเย่อุ้มเฉินอวิ๋นชูแล้วส่งตัวให้เฉินอวิ๋นเจี๋ย ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเฉินอวิ๋นเจี๋ยก็อุ้มเฉินอวิ๋นชูเข้าวังไป
ภายในประตูวังจักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรเห็นเฉินอวิ๋นชูถูกอุ้มอยู่ก็รีบเสด็จยังด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“ชูเอ๋อร์”
เฉินอวิ๋นชูลืมตาทั้งน้ำตาคลอเบ้า: “ฝ่าบาท หม่อมฉันไร้ความสามารถไม่สามารถปกป้องทายาทของฝ่าบาทไว้ได้ หม่อมฉัน……”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่ดีเอง”
จักรพรรดิอวี้ตี้อุ้มเฉินอวิ๋นชูแล้วเสด็จยังตำหนักเฟิ่งอี๋
สวีกงกงรีบเดินไปยังด้านหน้าของหนานกงเย่: “อ๋องเย่ ไทเฮารับสั่งด้วยวาจาว่าต้องการให้ฝ่าบาทอดอาหารเป็นเวลาสามวัน ฝ่าบาทมาถึงที่นี่ เรื่องนี้……”
“ข้าจะทูลอธิบายต่อเสด็จแม่เอง”
“พะย่ะค่ะ”
สวีกงกงรีบไปหาจักรพรรดิอวี้ตี้ส่วนฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่: “ฝ่าบาทไม่สามารถกระทำได้ทุกอย่าง”
“ไร้สาระ” หนานกงเย่จับมือฉีเฟยอวิ๋นและเดินไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋ เมื่อมาถึงตำหนักเฟิ่งอี๋ฉีเฟยอวิ๋น ก็รีบวินิจฉัยรักษาเฉินอวิ๋นชู
เพื่อให้เฉินอวิ๋นชูอาการดีเร็วขึ้นรู้ฉีเฟยอวิ๋นบีบเลือดสองสามหยดลงในน้ำแล้วให้เฉินอวิ๋นชูดื่มลงไป
เฉินอวิ๋นชูสีหน้าฟื้นดีขึ้นอย่างรวดเร็วและจักรพรรดิอวี้ตี้ก็เปิดโลกกว้างแล้วเช่นกัน
“ช่างน่าทึ่งนัก! ฮองเฮากินยาของพระชายาเย่แล้วหายได้รวดเร็วเช่นนี้!” จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่มองฉีเฟยอวิ๋นมากขึ้นสักนิดก็ไม่ได้ซะแล้ว กลับเป็นหนานกงเยที่มีสีหน้าหมองหม่นและปวดใจยิ่งนัก
แต่เขาไม่ได้เกลียดเฉินอวิ๋นชูแต่กลับโทษผู้ที่สร้างเรื่องราวต่างๆเหล่านั้น
“ฝ่าบาท น้องต้องการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนและขอให้ฝ่าบาทพระราชทานพระราชโองการ” หนานกงเย่ไม่พอใจยิ่งนักจนจักรพรรดิอวี้ตี้ขมวดพระขนง
“อ๋องเย่เหตุใดทุกครั้งที่เจ้าโกรธข้าถึงจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าเจ้าโกรธเนื่องจากฮองเฮาไม่เป็นไรแล้วหรือเพราะว่าสีหน้าอันไม่ค่อยดีของชายาเจ้าถึงได้โกรธ?”
จักรพรรดิอวี้ตี้จับมือเฉินอวิ๋นชูแล้วรู้สึกไร้ความสุข
หนานกงเย่ไม่ได้แสดงท่าทางเช่นไรดังเดิม: “ยามนี้เรื่องนี้สำคัญยิ่ง น้องไม่ต้องการเหนื่อยหน่ายกับเรื่องนี้ มีเพียงหาผู้กระทำผิดที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะไร้ซึ่งความเหนื่อยนี้ได้
“คำกล่าวเป็นเช่นนั้นแต่เหตุใดข้าถึงดูไม่ออก นี่เจ้าคิดเพื่อข้าหรือ?” จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรหนานกงเย่อย่างไม่พอพระทัยแล้วทอดพระเนตรไปยังเฉินอวิ๋นเจี๋ย
“อวิ๋นเจี๋ย ข้าเหนื่อยเหลือเกินรวมทั้งข้าต้องอดอาหารเป็นเวลาสามวัน ฮองเฮาจึงต้องฝากไว้กับเจ้าแล้ว”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชา” เฉินอวิ๋นเจี๋ยนำดาบเข้าวังโดยถือดาบไว้ในมือทั้งสองข้าง
จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรเฉินอวิ๋นชูที่ดีขึ้นมาบ้างแล้ว “ข้าจะให้ความเป็นธรรมกับฮองเฮาอย่างแน่นอน ฮองเฮาพักผ่อนให้ดี”
“หม่อมฉันขอบพระทัยในน้ำพระทัยของฝ่าบาท” เฉินอวิ๋นชูยังคงรู้สึกน้อยใจยิ่งนัก
จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้นไร้ซึ่งความอาลัยต่ออีกแล้วทรงทอดพระเนตรเฉินอวิ๋นเจี๋ย: “อย่าได้ห่างแม้แต่น้อย นอกจากอ๋องเย่กับพระชายาเย่ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าใกล้ฮองเฮา”
“กระหม่อมรับทราบพะย่ะค่ะ”
“อืม”
จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรยังฮองเฮาแล้วหันกลับเสด็จจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมามองช่างเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมยิ่งนัก ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจความเป็นความตายของจวินเซียวเซียวเลย!
“แม่ทัพน้อย เวลานี้ฮองเฮาไม่เป็นไรแล้วและต้องการการพักผ่อน ข้าจะไปดูพระสนมเอกเซียวขอตัวก่อน” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวจบก็หันหลังเดินจากไป
หนานกงเย่ก็จากไปพร้อมกับนาง
ไปถึงตำหนักจิ่นซิ่วเหนื่อยอยู่บ้างและทั้งสองตำหนักไม่เป็นไรแล้วท้องฟ้าก็สว่างขึ้นแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นเหนื่อยไม่น้อยแค่พิงเสาก็ผล็อยหลับไปแล้ว
หนานกงเย่รับผิดชอบในการสอบสวนเรื่องราวของสองตำหนักแต่ไม่วางใจให้ฉีเฟยอวิ๋นอยู่เพียงลำพัง เลยพานางมาอยู่ข้างกายด้วยและข้างกายก็ไม่มีเตียงอยู่เลย
ฉีเฟยอวิ๋นง่วงมากยิ่งเลยนอนพิงเสา
เมื่อหนานกงเย่จัดการจนเกือบจะเรียบร้อย ฉีเฟยอวิ๋นก็ใกล้จะนอนตื่นแล้ว
เดินไปยังตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋นแล้วหนานกงเย่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ ดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนแล้วแตะๆจากนั้นก้มตัวลงไปอุ้มขึ้นพาไปพักผ่อนยังตำหนักด้านข้าง
ฉีเฟยอวิ๋นนอนหลับอย่างสงบนิ่งแต่ด้านในของวังผู้คนกลับตื่นตระหนก
หนานกงเย่ปิดกั้นทุกเรื่องของสองตำหนักและส่งคนไปดูแลอย่างเข้มงวด ผู้คนในสองตำหนักเปลี่ยนเป็นคนของจวนท่านแม่ทัพ
สำหรับวังหลวงทั้งวังทุกอย่างอยู่ในฝ่ามือของหนานกงเย่
ทุกคนในวังตกอยู่ในอันตรายจึงไม่กล้าผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย
คนของทั้งสองตำหนักได้รับคำสั่งจากไทเฮาให้ประหารทั้งหมดไปแล้ว ในเวลานี้ผู้ใดก็ไม่กล้าทำผิดแม้แต่ก้าวเดียวเนื่องจากกลัวว่าจะถูกประหารชีวิต
ในเวลานี้พระมเหสีหวาก็เดินไปเดินมาอยู่ในวังและไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วรู้สึกหวาดกลัว
“พระสนม” แม่นมเว่ยที่ติดตามพระมเหสีหวามานานหลายปีได้เดินมาอยู่ต่อหน้าพระมเหสีหวา
พระมเหสีหวาวิตกกังวลยิ่งนัก: “เมื่อวานนี้อ๋องตวนและพระชายาตวนได้เข้าวังมาใช่หรือไม่”
แม่นมเว่ยเข้าใจความหมายของพระมเหสีหวาอย่างแน่นอน: “พระสนม อ๋องตวนภักดีและซื่อสัตย์มาโดยตลอดพระสนมนั้นรู้ดี”
“ก็เพราะว่าอ๋องตวนซื่อสัตย์และภักดีข้าถึงได้กลัว จวินฉูฉู่ผู้นี้ต้องการชีวิตข้าหรือ? ครั้งที่แล้วที่ข้าให้บทเรียนแก่นางคงยังไม่พอ นางจะทำให้ข้าต้องตายจริงๆ”