องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 166 พูดเรื่อยเจื้อยตาใส
บทที่ 166 พูดเรื่อยเจื้อยตาใส
อวิ๋นหลัวฉวนมองออกไปข้างนอกก่อนจะลากโซ่กลับไปข้างๆ ฉีเฟยอวิ๋น นางนั่งลงและเริ่มร้องไห้เพราะรู้สึกเสียใจกับการตายของตงเอ๋อร์และร้องไห้อยู่อย่างนั้นพักใหญ่
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งอวิ๋นหลัวฉวนหยุดร้อง จากนั้นจึงได้ยินอวิ๋นหลัวฉวนพูดขึ้นมาว่า “ข้าฝัน ในฝันนั้นท่านอ๋องตวนมาปรากฏตัวในห้องของข้า แล้วก็เข้ามาหาข้า บอกว่าเขาชอบข้า
ตอนแรกข้าไม่ชอบให้เขาเข้ามาใกล้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในฝันนั้นข้าจึงปฏิบัติต่อเขาผิดไปจากเดิม และข้าก็ค่อนข้างชอบ
เขากับข้าเริ่มรักกัน และข้าก็ค่อนข้างเอาแต่ใจ…”
อวิ๋นหลัวฉวนเขินอายจนหน้าแดง ฉีเฟยอวิ๋นฟังแล้วเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ทันที
“ท่านจะบอกว่า วันนั้นท่านหลับไป จากนั้นก็มีใครคนหนึ่งเข้ามาในห้องและทำเรื่องอย่างนั้นกับท่าน ท่านคิดว่าคนคนนั้นคือท่านอ๋องตวนและไม่ได้ปฏิเสธเขา? จนเมื่อตื่นขึ้นมาท่านจึงรู้เรื่องของไฉฝู ก็เลยคิดว่าตนเองทำเรื่องที่ผิดศีลธรรมลงไป”
ฉีเฟยอวิ๋นแจกแจงต้นสายปลายเหตุ อวิ๋นหลัวฉวนพยักหน้า
ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะอย่างโกรธเคือง “สิ่งที่ท่านทำในความฝันนำมาใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ เรื่องแค่นี้ท่านน่าจะรู้”
“แต่ในฝันนั้นข้าเห็นชัดเจน และมันก็เหมือนจริงมาก ถ้าข้าหลับไปจริงๆ และที่ข้าฝันถึงไม่ใช่ท่านอ๋องตวน ไม่ได้หมายความว่านั่นคือไฉฝูหรอกหรือ ข้าเพียงแค่จำคนผิด แต่ข้าก็ยังคงทำเรื่องแบบนั้นต่อไป”
อวิ๋นหลัวฉวนยิ่งพูดก็ยิ่งน้อยใจ ท้ายที่สุดก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“เขียนทุกสิ่งที่ท่านพูดลงไป เรื่องอื่นข้าจะจัดการให้เอง” ฉีเฟยอวิ๋นส่งกระดาษกับพู่กันให้อวิ๋นหลัวฉวน อวิ๋นหลัวฉวนร้องไห้ไปเขียนคำให้การไปจนเสร็จ
ฉีเฟยอวิ๋นเพ่งมอง แต่ละคำแต่ละประโยคนั้นเต็มไปด้วยความตั้งใจและไร้ซึ่งการเสแสร้ง
แม้แต่เรื่องความฝันนางยังพูด
แม่นางผู้นี้ช่างโง่เขลาจนน่าสงสาร ต้องรู้ว่าเมื่อเปิดเผยคำให้การนี้ไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นไปบ้าง คำพูดของคนนั้นน่ากลัว และอนาคตของเด็กสาวผู้นี้จะต้องพังทลายเป็นแน่
แม้ว่ากฎหมายของที่นี่จะไม่ได้แย่กับผู้หญิงไปเสียทั้งหมด แต่ถ้าพูดกันตรงๆ ผู้หญิงที่นี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าหมูหมากาไก่สักเท่าใดนัก
ถ้าหากทำพลาดขึ้นมา จะมีคนมากมายที่เกลียดคุณ
จุดจบจะลงเอยอย่างเลวร้าย
การที่อวิ๋นหลัวฉวนมีความฝันเช่นนี้ความจริงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย แต่การพูดออกไปอาจเป็นผลร้ายถึงชีวิต
ฉีเฟยอวิ๋นรับคำให้การนั้นและลุกเดินออกมา
อวิ๋นหลัวฉวนนั่งมองฉีเฟยอวิ๋นจากข้างใน พูดไปร้องไห้ไปว่า “แล้วตงเอ๋อร์ล่ะ”
“วางใจเถิด เรื่องตงเอ๋อร์ข้าบอกให้อาอวี่คอยดูแล้ว ท่านวางใจได้” ฉีเฟยอวิ๋นบรรลุเป้าหมายแล้วและโบกมือเตรียมจะออกไป
“อา?”
สีหน้าของอวิ๋นหลัวฉวนว่างเปล่าและไม่ตอบสนองใดๆ นางไม่เข้าใจสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นพูด ในหัวมีแต่คำที่บอกว่าตงเอ๋อร์ไม่เป็นไร
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดชะงักอยู่ข้างนอกและเอ่ยว่า “ตงเอ๋อร์สบายดี ท่านวางใจได้ ข้าอยากจะให้ท่านร่วมมือกันและบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ต้องโกหกท่านก็เพื่อตงเอ๋อร์
ท่านต้องทนรับความไม่เป็นธรรมไปชั่วคราวก่อน แล้วท่านจะออกไป ข้าจะตรวจสอบ เพียงแต่มีปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไปที่ประตูและมองเว่ยหลินชวนอย่างขมึงทึง เว่ยหลินชวนชี้หน้าด่าฉีเฟยอวิ๋น “แต่เดิมได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพฉีจงรักภักดีและอุทิศตนต่อบ้านเมือง สาบานว่าจะถวายความจงรักภักดีแก่เมืองต้าเหลียง เป็นบุรุษผู้ยึดมั่นในคุณธรรม เหตุใดจึงให้กำเนิดคนอย่างท่านออกมา”
“การที่ท่านพ่อให้กำเนิดข้านั้นย่อมเป็นความโชคดีของข้า เรื่องนี้คงไม่ลำบากให้ท่านต้องพูดถึง จั่วจงเจิ้งควรจะรีบไปดูองค์หญิงใหญ่มิใช่หรือ”
“ฮึ รอให้องค์หญิงใหญ่ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าจะดูว่าเจ้าจะทำอะไรได้” เว่ยหลินชวนชี้หน้าและผรุสวาทใส่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างโกรธเคือง
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังจากไปและพูดว่า “อาอวี่ อยู่ที่นี่คอยดูพระชายารองอวิ๋นไว้ สภาพแวดล้อมที่นี่เลวร้ายมาก จั่วจงเจิ้งผู้นี้ยักยอกหาผลประโยชน์ใส่ตัว ถ้าเขาฉวยโอกาสก่อเรื่องตอนที่คนอื่นเผอเรอ ข้าคงจนปัญญาที่จะไปกราบทูลพระพันปี”
“ขอรับ” อาอวี่รับคำและมองฉีเฟยอวิ๋นที่เดินกรีดกรายออกไปจากศาลพิเศษกลางด้วยความกังวล
ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปบนรถม้าหลังจากออกไป จากนั้นคนคุมม้าจึงรีบพานางไปส่งที่จวนอ๋องตวน
ฉีเฟยอวิ๋นตรงไปหาท่านอ๋องตวนทันทีหลังจากลงมาจากรถม้า
เวลานั้นอ๋องตวนกำลังยืนชมดอกไม้อยู่ที่ลานด้านหน้า เมื่อเข้าไปแล้วเห็นท่านอ๋องตวน ฉีเฟยอวิ๋นจึงเอ่ยอย่างยั่วเย้า “ดูไม่ออกเลยนะเพคะว่าท่านอ๋องตวนจะมีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้ จนถึงตอนนี้แล้ว ไฟที่หลังเรือนกำลังลุกโชน แต่ท่านยังคงชมดอกไม้ได้อย่างสบายใจ ช่างน่าเลื่อมใสเสียจริง
กลับกัน ถ้าเป็นท่านอ๋องเย่ หม่อมฉันคิดว่าเวลานี้เขาคงจะกระสับกระส่ายเหมือนมดบนกระทะร้อนๆ เป็นแน่”
“ปากของพระชายาเย่ช่างอาบไปด้วยยาพิษ ด่าคนได้โดยไม่มีคำหยาบเลยสักคำ” อ๋องตวนหันกลับมามองฉีเฟยอวิ๋นก่อนจะหันไปอีกทางซึ่งมีม้านั่งตั้งอยู่ เขาเดินไปและนั่งลงตรงนั้น
แม้ว่าจะไม่ได้ชอบฉีเฟยอวิ๋น แต่เขาก็ไม่ได้เบื่อนาง
ถึงอย่างไรตอนนี้แม้แต่แมลงวันก็ไม่อยากจะบินเข้าไปในจวนท่านอ๋องตวน มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่ยังมาหาอย่างไม่สนใจอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นถอนสายบัว “คารวะท่านอ๋องตวน”
หนานกงเหยี่ยนรู้สึกขบขัน “นี่เป็นอีกด้านของท่าน เห็นท่านแสดงความเคารพเช่นนี้แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าท่านกำลังคิดร้ายอะไรกับข้าอีกหรือไม่”
“ท่านอ๋องตวน ข้าไม่ชอบฟังอะไรเช่นนี้เลย เมื่อไหร่กันที่ข้าวางแผนคิดร้ายกับท่านอ๋องตวน”
หนานกงเหยี่ยนนิ่งคิดนิดหนึ่งและก็พบว่าเขาไม่มีหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นจึงถือวิสาสะนั่งลง
นางหยิบคำให้การของอวิ๋นหลัวฉวนที่เก็บไว้ในแขนเสื้อออกมาให้หนานกงเหยี่ยน “นี่คือคำให้การของอวิ๋นหลัวฉวน ท่านอ๋องตวนลองอ่านดูเถิด”
หนานกงเหยี่ยนรับคำให้การไปอ่านและชะงักไปนิดหนึ่ง
เขาหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น “หมายความว่า วันนั้นไฉฝูแตะต้องพระชายารองอวิ๋นจริงๆ รึ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหดหู่ คนผู้นี้ก็ช่างทำให้กังวลเสียจริง
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบพู่กัน หมึกและกระดาษออกมา เพื่อจะได้สะดวกเรื่องคำให้การ นางจึงพกของเหล่านี้ติดตัวไว้ตลอด
แม้ว่าจะเป็นหมอ แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็คิดว่านางอาจจะเปิดร้านขายของโชห่วยสักร้านและหาอะไรมาขาย เช่น หมึก พู่กัน กระดาษ ที่ฝนหมึก หรือกระเป๋าสะพายหลังก็ได้ทั้งนั้น
คนโบราณเมื่อออกไปไหนมาไหนมักจะถือกระดาษกับหมึกพู่กันด้วยมือ ถ้าทำกระเป๋าออกมาจะต้องขายดีแน่ๆ
เมื่อนำกระดาษออกมา ฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดไปเขียนไป “ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว ถ้าท่านอ๋องตวนจำไม่ได้นั่นก็เป็นเรื่องของท่านอ๋อง”
หนานกงเหยี่ยนไม่พูดอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นพูดต่อไปว่า “สมมุติว่าชุนหงวางยาพิษในบ่อน้ำและตงเอ๋อร์ตักน้ำกลับมาให้พระชายารองอวิ๋นดื่ม พิษที่อยู่ในน้ำไม่ใช่ยาพิษสำหรับใช้ปลิดชีพคน แต่แค่ทำให้ประสาทหลอน เสริมด้วยสรรพคุณในการปลุกอารมณ์ ยาชนิดนั้นหลังจากดื่มไปแล้วจะทำให้เพ้อฝันถึงบุรุษที่ชอบ
ในเวลานั้น พระชายารองอวิ๋นฝันว่าอยู่กับท่านอ๋องตวน ที่ด้านนอกมีเสียงตะโกนจับคนคบชู้ ไฉฝูถูกจัดการไว้ล่วงหน้าว่าให้วิ่งเข้ามา ปลดกางเกงออก หลังจากนั้นจึงวิ่งกลับออกไป
เมื่อพิจารณาตามผลของยา พระชายารองอวิ๋นจะได้ยินเสียงเอะอะแล้วตื่นขึ้นพอดี
เพราะเสียงตะโกนโวยวายจากด้านนอกและตงเอ๋อร์ถูกจับเอาไว้ พระชายารองอวิ๋นจึงวิ่งหนีไปอย่างสะลึมสะลือ
เมื่อถูกคนพบเห็นเข้า ทุกอย่างจึงประจวบเหมาะ”
“แต่ไฉฝูไม่ได้ให้การแบบนั้น เขาบอกว่าเขาเข้าไปตอนมืดและอยู่ค้างคืนในห้องของพระชายารองอวิ๋น ถึงจะไม่ได้พูดความจริง ตลอดทั้งคืนนั้นในห้องของพระชายารองอวิ๋น เขาเองก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นข้า…”
หนานกงเหยี่ยนโมโหขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะเมื่ออ่านคำให้การของอวิ๋นหลัวฉวน
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า “ท่านอ๋องตวน ท่านคิดว่าไฉฝูจะกล้าอยู่ในห้องของพระชายารองอวิ๋นทั้งคืนหรือ”
“มันกล้าไหม?” หนานกงเหยี่ยนกัดฟันและกำหมัดแน่น “ข้าไม่มีทางปล่อยมันไปแน่”
“ท่านอ๋องตวน ท่านไม่จำเป็นต้องอารมณ์เสียขนาดนั้น อันที่จริงท่านก็รู้ว่าทุกอย่างเป็นการหลอกพวกสายสืบเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง ข้ายกเลิกคำให้การของไฉฝูได้ง่ายๆ ส่วนเรื่องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพระชายารองอวิ๋นก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เพียงแต่พระชายารองอวิ๋นบอกว่านางไม่มีหน้าจะอยู่ในจวนท่านอ๋องตวนอีกต่อไป นางหวังว่าท่านอ๋องตวนจะมอบใบหย่าให้นางและปล่อยนางไป นางต้องการจะออกบวช”
“ว่าไงนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยอย่างน่าฟัง เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหนานกงเหยี่ยนนางจึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่มีทาง ข้าจะหย่ากับนางในช่วงเวลานี้ได้อย่างไร ต่อไปนางจะพบหน้าใครได้อีก ข้าจะต้องสนใจทำไม ในเมื่อทุกอย่างเป็นเพียงข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล”
หนานกงเหยี่ยนนึกถึงใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของอวิ๋นหลัวฉวนและทนไม่ได้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ในเมื่อท่านไม่ยอม เช่นนั้นก็ช่างเถิด อย่างไรเสียพระชายารองอวิ๋นก็ไม่จำเป็นต้องออกมาแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นเตรียมจะกลับไป หนานกงเหยี่ยนลุกขึ้นตาม
“ท่านพูดเรื่องอะไร” หนานกงเหยี่ยนไม่อยากจะเชื่อหู
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “พระชายารองอวิ๋นไม่ต้องการจะออกมา นางรู้สึกผิดต่อท่านอ๋องตวนและไม่มีหน้าจะพบท่านอีก นางบอกว่านางจะไม่ยอมออกมาเว้นแต่จะได้รับใบหย่า”
“นางไม่สนเรื่องจวนกั๋วกงแล้วงั้นหรือ” หนานกงเหยี่ยนโกรธขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
สาวน้อยผู้นั้นมีความกล้าหาญ
“ข้าถามไปแล้วเช่นกัน นางบอกว่าไม่สน”
“…” หนานกงเหยี่ยนมีสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าไม่ให้”
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด”
ฉีเฟยอวิ๋นทำท่าจะจากไป แต่ถูกหนานกงเหยี่ยนเรียกเอาไว้ก่อน “ท่านคือผู้รับพระดำรัสของฝ่าบาท ท่านจะทำแบบนี้ไม่ได้”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมา “ในเมื่อพระชายารองอวิ๋นไม่ต้องการจะออกมา ข้าจะทำอะไรได้!”
“…..”
หนานกงเหยี่ยนพูดไม่ออก ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับและเดินออกไปจากจวนอ๋องตวน
ขึ้นรถม้าแล้วกลับไป
หลังจากได้พักผ่อนไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงลุกขึ้นไปกินอาหารเย็น นางหันไปเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ด้านนอก ดูเหมือนจะเป็นคนมีฐานะ
ฉีเฟยอวิ๋นพยายามมองว่าเป็นใครแต่ก็นึกไม่ออก จึงเรียกพ่อบ้านมาถาม หลังจากมองดูอย่างพิจารณาแล้วพ่อบ้านก็ถึงกับสะดุ้ง
“นั่นคือรถม้าขององค์หญิงใหญ่ขอรับ” พ่อบ้านมั่นใจมาก
ฉีเฟยอวิ๋นนิ่งคิดอยู่นิดหนึ่ง “ไปบอกในครัว เตรียมพวกผักดองเอาไว้ ทางที่ดีเอาแบบที่กินไม่ได้นะ เพิ่มกากเหล้าและรำได้สักนิดยิ่งดี อีกครู่หนึ่งค่อยกินข้าว”
“พระชายา นี่มัน?”
“อย่าถามน่ะ แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ” ฉีเฟยอวิ๋นโบกมือไล่พ่อบ้าน
พ่อบ้านไปทำงานที่ได้รับมอบหมายในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นไปพบแขกที่ด้านนอก
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปที่รถม้าและเดินวนไปรอบๆ ก่อนจะถามว่า “เหตุใดเสด็จอาองค์หญิงใหญ่จึงอยู่ในนี้กันนะ”
“หากข้าไม่มา เจ้ายังจะไปที่ศาลพิเศษกลางเพื่อทำลายข้าหรือไม่ล่ะ”
น้ำเสียงของพระองค์ราบเรียบทว่าทรงพลัง ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินแล้วก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้ค่อนข้างจะรับมือยาก
“เสด็จอาใหญ่ตรัสสิ่งใดกันเพคะ ลูกสะใภ้คิดจะไปเยี่ยมเสด็จอาใหญ่ตั้งนานแล้ว เป็นท่านอ๋องที่บอกว่าเสด็จอาใหญ่ยุ่งมาก และหม่อมฉันก็ไม่มีหน้าออกไปพบเจอเพราะเกรงว่าจะทำให้เสด็จอาใหญ่เคราะห์ร้าย
แม้กระทั่งคราวนี้ ลูกสะใภ้ก็ไม่ใช่ว่าจะไปหาเสด็จอาใหญ่ เพียงแต่ลูกสะใภ้ต้องจัดการเกี่ยวกับคดี คนที่ศาลพิเศษกลางทำให้ลูกสะใภ้ลำบากใจ ลูกสะใภ้จึงทำเรื่องที่โง่เขลา
เดิมทีวันนี้ที่ไปศาลพิเศษกลางก็เพื่อจะไปขออภัยเสด็จอาใหญ่ แต่กลับถูกจั่วจงเจิ้งขวางไว้
เมื่อนึกถึงว่าปกติตนเองมุทะลุแค่ไหน หม่อมฉันจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม
ไม่คิดว่าเสด็จอาใหญ่จะเป็นห่วงหม่อมฉันจนต้องมาหาถึงที่นี่
ลูกสะใภ้ปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งเพคะ
เกิดเรื่องขึ้นจนอยากจะไปพบเสด็จอาใหญ่ ไม่คิดว่าเสด็จอาใหญ่จะมีพระทัยนึกถึงหม่อมฉัน”
ทังเหอที่เดินเข้ามาในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังพูดอยู่ตัวสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว นี่คือองค์หญิงใหญ่ พระชายาเห็นท่าจะไม่ดีแล้ว
ทังเหอกลัวและไม่ได้เข้าไปใกล้
เมื่อได้ยินพระชายาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนและพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ ทังเหอก็ถึงกับปาดเหงื่อแทน
เป็นอีกครั้งที่ทังเหอได้พบเห็นความคาดเดาไม่ได้ของพระชายา
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินเสียงขององค์หญิงใหญ่หนานกงเกาหยางดังออกมาจากรถม้า “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าท่านแม่ทัพฉีให้กำเนิดบุตรสาวที่น่าเกลียดน่าชัง วันนี้ได้มาเห็น เป็นดังที่คิดจริงๆ
ข้าดูก็รู้ ปากนั่นช่างร้ายกาจนัก
หรือว่าแม่ทัพฉีไม่ยอมพูดอะไรและปล่อยให้เจ้าพูดจนหมด”
ม่านบนรถม้าเปิดออก สตรีอายุประมาณห้าสิบกว่าๆ ซึ่งสวมเสื้อคลุมสีม่วงงดงามตระการตาเดินออกมาโดยมีเว่ยหลินชวนซึ่งรอมานานแล้วรีบเข้ามาประคอง
เมื่อเห็นเว่ยหลินชวน ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เขาต้องได้ยินที่นางพูดเมื่อครู่นี้เป็นแน่ แต่เขากลับซ่อนตัวเงียบๆ อยู่ที่หลังรถม้าเป็นนานไม่ยอมเคลื่อนไหวใดๆ นางเองก็ไม่ทันสังเกต นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!
หนานกงเกาหยางลงมาจากรถม้าและมองไปทางฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบเดินไปหาและย่อตัวถวายบังคมต่อพระพักตร์องค์หญิงใหญ่ “ลูกสะใภ้ถวายบังคมเสด็จแม่… อ๊ะ… ไม่ใช่ ถวายบังคมเสด็จอาใหญ่เพคะ”
หนานกงเกาหยางชะงักไปนิดหนึ่งแล้วจึงตรัสขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงยังแยกไม่ออกอีกว่าใครเป็นใคร ฟ้ามืดจนมองไม่เห็นหรืออย่างไร”
“เสด็จอาใหญ่ไม่ทรงทราบ ตั้งแต่ลูกสะใภ้เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นคนที่งดงามจนทำให้ลูกสะใภ้หลงใหลแค่เพียงสองคนเท่านั้น
คนหนึ่งคือเสด็จแม่ คนหนึ่งคือเสด็จอาใหญ่
เมื่อครู่เสด็จอาใหญ่ลงมา ลูกสะใภ้จึงมองผิดไป”
ทังเหอที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลพูดได้แค่ว่า
พระชายาช่างพูดเรื่อยเจื้อยได้ตาใสจริงๆ