องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 179 เรื่องของพี่น้อง
บทที่ 179 เรื่องของพี่น้อง
เมื่ออวิ๋นหลัวฉวนตื่นขึ้นมา นางรู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าอ๋องตวนยังอยู่
ดื่มเหล้าแล้วหลับฝันไปหรือ ?
หลังจากนั่งอยู่พัก อวิ๋นหลัวฉวนก็กล่าวว่า:ข้าดื่มมากเกินไปจนฝันเห็นท่านเลยหรือนี่ ?”
อ๋องตวนชักสีหน้าด้วยความโกรธ:“งั้นหรือ ?”
อวิ๋นหลัวฉวนหยิกมือตัวเองและรู้สึกเจ็บมาก ไม่กล้าแล้ว
“ออกไปดื่มเหล้าได้อย่างไร?เจ้าเป็นพระชายารอง ลืมฐานะของตนเองไปแล้วหรือ?”
“……” อวิ๋นหลัวฉวนอยากจะตอบกลับ แต่ก็รู้สึกละอายใจ ดังนั้นนางจึงก้มหน้าลง
อ๋องตวนโกรธจัดและอยากจะต่อว่านาง แต่เมื่อเห็นอวิ๋นหลัวฉวนก้มหน้าลงเหมือนปลาตาย เขาก็ไม่สามารถต่อว่าได้
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน อวิ๋นหลัวฉวนลุกขึ้นและถอนสายบัว:“ท่านอ๋อง”
อ๋องตวนยืนเอามือไพล่หลัง:“อืม”
“หย่ากับข้าเถอะเพคะ!”
อ๋องตวนตกตะลึง อวิ๋นหลัวฉวนเงยหน้าขึ้น:“ท่านไม่ชอบข้า ไม่รับข้ากลับมา อยู่ที่จวนอ๋องเย่ข้าไม่สามารถกลับไปเอาเงินที่จวนกั๋วกงได้ เงินเดือนของข้าถูกส่งมาที่จวนอ๋องตวน ข้าไม่สามารถมาเอาได้ก็ไม่มีคนเอาไปให้ ตอนนี้ข้าไม่มีเงิน ข้านั่งกินนอนกินอยู่ที่จวนอ๋องเย่ สุดท้ายก็ไม่เป็นผล”
“……”
อ๋องตวนคิดว่านางจะหย่าเพราะเขาไม่ได้มาและทอดทิ้งนาง
แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเหตุผลนี้
ในเวลาเขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
“พระชายาเพิ่งจะอาการดีขึ้น และข้าต้องการให้นางมารับเจ้า” อ๋องตวนกล่าวด้วยความสำนึกผิด แต่เดิมทีแล้วไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่จะมารับ
อวิ๋นหลัวฉวนไม่ใช่คนโง่ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็รอเถอะเพคะ”
อ๋องตวนมองดูท่าทีที่จนปัญญาของอวิ๋นหลัวฉวน และอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า:“ข้ากลับไปแล้วจะเตรียมการมารับเจ้าโดยเร็วที่สุด”
“……” อวิ๋นหลัวฉวนไม่ตอบ
นางมองไปรอบ ๆ:“หากท่านอ๋องไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะเพคะ””
“ข้าจะอยู่ทานอาหารที่นี่”
“อ้อ”
อวิ๋นหลัวฉวนนึกขึ้นได้แล้ว เป็นธรรมดาที่จะอยู่ต่อ ถึงอย่างไรก็เป็นท่านอ๋อง เมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่ทานอาหาร
ฉีเฟยอวิ๋นให้คนมาเชิญเสด็จอ๋องตวน แต่อวิ๋นหลัวฉวนไม่อยากไป อิ่มหมีพีมันแล้วไม่อยากจะขยับเขยื้อน
ฉีเฟยอวิ๋นขอให้นางไปอยู่เป็นเพื่อน นางจึงไปที่ห้องอาหาร
เมื่อเห็นจงชินอ๋อง อวิ๋นหลัวฉวนก็เดินไปถอนสายบัว:“คารวะจงชินอ๋องเพคะ”
จงชินอ๋องประหลาดใจ:“เจ้าคือหลัวฉวน?”
“เพคะ”
“เมื่อก่อนเจ้ามักจะกวนใจข้า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” จงชินอ๋องยังไม่รู้เรื่องที่อวิ๋นหลัวฉวนแต่งงานกับอ๋องตวนและเป็นพระชายารอง
“นางเป็นพระชายารองของข้า” อ๋องตวนกล่าวอย่างราบเรียบ
จงชินอ๋องประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เขาจ้องไปที่อวิ๋นหลัวฉวนและถามว่า:“เป็นไปได้อย่างไร?”
อวิ๋นหลัวฉวนทำอะไรไม่ถูกและเม้มริมฝีปาก
จงชินอ๋องดูงุนงง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในร้านเหล้าเขาจำไม่ได้ ในเวลานี้เขาจำได้แล้วแต่กลับต้องประหลาดใจ
จงชินอ๋องพูดออกมาอย่างไม่ทันได้คิด:“แต่เจ้า?”
“จงชินอ๋อง เชิญพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเย่เชิญให้จงชินอ๋องนั่งลง และอ๋องตวนก็ไม่พอใจเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจงชินอ๋องนั่งลงข้าง ๆ อวิ๋นหลัวฉวน
“หลัวฉวน ท่านกั๋วกงสบายดีหรือไม่?” จงชินอ๋องนั่งลงและถาม
อวิ๋นหลัวฉวนพยักหน้า:“สบายดีเพคะ จงชินอ๋องไม่ได้ไปนานมากแล้ว เสด็จปู่มักจะพูดถึงท่านบ่อย ๆ”
“งั้นหรือ?” จงชินอ๋องดูผิดหวัง และมองดูแววตาของอวิ๋นหลัวฉวนอย่างหมดหนทาง
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นทุกอย่าง และแน่นอนว่าอ๋องตวนก็เห็นเช่นกัน
หลังทานอาหารแล้ว นางก็คิดว่าจไปส่งอ๋องตวนและจงชินอ๋อง แต่ไม่คิดว่าจงชินอ๋องจะยังไม่อยากไป และอ๋องตวนก็ไม่ไปเช่นกัน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ข้างหน้าเพื่อรอส่งจงชินอ๋อง แต่จงชินอ๋องยืนอยู่ในเรือนและพูดคุยกับอวิ๋นหลัวฉวน เขาไม่ได้ตั้งใจจะจากไป
และไม่รู้ว่าพูดอะไร ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะสนิทกันมาก
อ๋องตวนยืนมองอยู่ข้าง ๆ หนานกงเย่ ดูเหมือนเขาจะอารมณ์เสีย สีหน้าของเขาทรุดลงและจ้องทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้าม
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกได้ว่าความคิดของอ๋องตวนอยู่ที่อวิ๋นหลัวฉวน
เพียงเพราะว่าเขาใส่ใจ ดังนั้นจึงโกรธมาก
เพียงแต่เขาชอบจวินฉูฉู่มากขนาดนั้น แล้วเหตุใดเขาต้องโกรธด้วย?
บางครั้งฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เข้าใจผู้ชายเลยจริง ๆ แต่งงานแล้วก็ชอบอย่างนั้นหรือ?
“พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยนท่านกั๋วกง เจ้าจะกลับไปหรือไม่?” จงชินอ๋องถาม
อวิ๋นหลัวฉวนหน้าแดงเล็กน้อยและก้มหน้าลง นางไม่มีหน้าที่จะตอบกลับไป
แต่อ๋องตวนเห็นอย่างชัดเจนว่านางเขินอาย
อ๋องตวนเดินไปหาอวิ๋นหลัวฉวนและจงชินอ๋อง และโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
หากยังไม่ได้แต่งงานเป็นพระชายารองของเขา และหากในตอนนั้นจงชินอ๋องอยู่ที่จวน เช่นนั้นพวกเขาก็คงจะได้เป็นสามีภรรยากันแล้วใช่หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ที่อยู่ข้าง ๆ เขาอย่างไม่อาจคาดเดาได้:“ท่านอ๋องทรงคิดว่าเกิดอะไรขึ้นเพคะ?”
หนานกงเย่อารมณ์ไม่ดีและอยู่ได้ทั้งวัน
ในตอนนี้เขาถอนหายใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก:“จงชินอ๋องเป็นโอรสของเสด็จอาห้า เขาเป็นบุตรคนที่สาม และเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ตอนอายุเจ็ดขวบเขาก็มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊
เสด็จอาห้าต้องการให้บุตรชายของเขากลายเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียง จึงส่งเขาไปที่จวนกั๋วกง จงชินอ๋องเป็นโปรดปรานของท่านกั๋วกง และเขาพาเขาไปกับเขาตลอดทั้งวัน
เมื่อสามปีก่อนจงชินอ๋องเดินทางออกไปท่องเที่ยว ก่อนที่จะมีข่าวลือว่าจงชินอ๋องอยากออกไปท่องโลกก่อนที่จะแต่งงาน ส่วนหญิงสาวที่ต้องการจะแต่งงานด้วยนั้น ถูกทุกคนคาดเดามาโดยตลอด
บางคนบอกว่าเป็นหญิงสาวในจวนกั๋วกง และบางคนก็บอกว่าเป็นจวิ้นจู่ แต่ก็ไม่มีใครสามารถตอบได้
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังรอใครสักคน”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าการวิเคราะห์นี้สมเหตุสมผล แต่นางก็ยังแปลกใจเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หนานกงเย่และถามเขาว่า:“หรือว่าตอนที่จงชินอ๋องจากไป เขาจะชอบพระชายารองอวิ๋นแล้ว แต่ในเวลานั้นพระชายารองอวิ๋นยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาออกไปท่องโลก จากนั้นก็กลับมาเป็นจงชินอ๋องอย่างสบายใจ และอยู่ด้วยกันกับพระชายารองอวิ๋นไปตลอด
หนานกงเย่ขบขัน:“น่าจะใช่?”
“ท่ายอ๋อง เป็นเพราะท่านทรงอารมณ์ไม่ดี เห็นใครก็ไม่เจริญหูเจริญตา หรือเป็นเพราะเรื่องนี้ ความจริงแล้วท่านก็ไม่ได้ชอบจงชินอ๋อง?”
ความจริงจงชินอ๋องก็เป็นคนดีมาก ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนมาก เหมือนหยกที่อ่อนโยนโดยไม่ต้องแกะสลัก
ไม่เคยได้ยินว่าเป็นต้นกล้าในจวนกั๋วกงก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นพูดก็เป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง และดูหยาบน้อยลงเล็กน้อย
แต่ละคนในจวนกั๋วกงต่างก็กล้าหาญ เขาเติบโตขึ้นมาที่นั่น และหายากที่เขาจะอ่อนโยน
นี่คือสิ่งที่น่าแปลกใจ
หากไม่ใช่เพราะสิ่งที่คนผู้นี้พบในช่วงสามปีที่ผานมา และถูกขัดเกลาจนเป็นเช่นนี้ ตัวตนของเขาก็ถือว่าดี
หากไม่ใช่เพราะเดิมทีเขาใจร้อน ทุกอย่างก็เป็นเพียงภาพลวงตา
สีหน้าของหนานกงเย่เย็นชา เขาไม่อยากพูดอะไร
และฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่พูดอะไรอีก นางมองไปที่ประตู
อ๋องตวนเดินไปที่ด้านข้างของอวิ๋นหลัวฉวนและมองไปที่จงชินอ๋อง:“คุยอะไรกันหรือ กลัวว่าข้าจะได้ยินหรืออย่างไร?”
“ไม่มีอะไรเ พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปที่จวนกั๋วกง จึงถามพระชายารองอวิ๋นว่าจะไปที่นั่นหรือไม่?” จงชินอ๋องกล่าว
อ๋องตวนเหลือบมองไปที่อวิ๋นหลัวฉวนอย่างลังเล และรู้ว่านางไม่กล้าที่จะกลับไป
“พรุ่งนี้ข้ากำลังจะไปอยู่พอดี และฉวนเอ๋อร์ก็จะไปกับข้า” อ๋องตวนอนุญาต อวิ๋นหลัวฉวนประหลาดใจ นางเงยหน้าขึ้นมองอ๋องตวนและอ๋องตวนก็มองนางด้วยสายตาที่อ่อนโยน
อวิ๋นหลัวฉวนไม่เข้าใจว่าเขากำลังสับสนวุ่นวายอะไร
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะกลับก่อน แล้วพรุ่งนี้พบกันที่จวนกั๋วกง” จากนั้นจงชินอ๋องก็จากไป อวิ๋นหลัวฉวนจึงไปส่งที่หน้าประตู เมื่อเห็นว่าเขาจากไปแล้ว นางจึงหันหลังกลับไป
สีหน้าของอ๋องตวนไม่ค่อยดีนัก เขามองไปที่อวิ๋นหลัวฉวนและกล่าวว่า:“ดูเหมือนจงชินอ๋องจะประทับใจเจ้านะ?”
“เขาถือได้ว่าเป็นศิษย์พี่ของข้า ตอนที่อยู่ในจวนกั๋วกงทักษะการต่อสู้ของเขาเป็นเลิศ พวกเรามักจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ต่อมาเขาพาข้าไปเที่ยวแล่น และยังบอกว่าจะแต่งงานกับข้า”
อวิ๋นหลัวฉวนไม่ได้ตั้งใจที่จะโอ้อวด นางเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่ได้คิดอะไรมาก
นางไม่ได้ตั้งใจพูดแต่คนฟังกลับตั้งใจฟัง
อ๋องตวนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง:“เจ้าเป็นพระชายารองของข้า หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว”
เดิมทีอวิ๋นหลัวฉวนก็ไม่ไม่สนใจว่าอ๋องตวนจะโกรธหรือไม่ นางเหลือบไปที่อ๋องตวน:“พรุ่งนี้ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องกลับไปที่จวนกั๋วกงกับข้า รถม้าจากจวนกั๋วกงจะมารับ และข้าจะไปที่นั่นก่อน”
“เจ้านั่งรถม้าของข้าไม่ได้แล้วหรือ?” อ๋องตวนโมโห
อวิ๋นหลัวฉวนจากไปอย่างสง่าผ่าเผย โดยไม่สนใจ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าอารมณ์โกรธของอ๋องตวนกับหนานกงเย่นั้นเหมือนกันมาก
ฉีเฟยอวิ๋นรอให้คนเดินออกไปและหันหลังกลับไปในห้อง จากนั้นก็รอให้หนานกงเย่มาหานาง แต่หลังจากที่หนานกงเย่เข้ามาแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรและนั่งลงอย่างเหม่อลอย
ฉีเฟยอวิ๋นจึงไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า และหนานกงเย่ก็ยังคงนั่งอยู่บนเตียง
โดยปกติแล้วถ้านางไปอาบน้ำ เขาก็จะตามไปด้วย แต่วันนี้กลับไม่ปกติ
ฉีเฟยอวิ๋นลากเสื้อคลุมตัวใหญ่มาแล้วนั่งลง หนานกงเย่ถามว่า:“สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นกำลังพิจารณาว่าจะตอบดีหรือไม่ ถ้าตอบกลับก็เท่ากับยอมรับว่าชะตากรรมของจักรพรรดิอวี้ตี้นั้นอยู่ได้ไม่นาน และถ้าไม่ตอบ……ก็ยังมีหนทางอื่น
เช่นนั้นเขาจะลองหยั่งเชิงหรืออย่างไร?
แต่ท้ายที่สุดแล้วหนานกงเย่ก็ทนไม่ไหว หลังจากที่รออยู่นานแล้วฉีเฟยอวิ๋นไม่พูด หนานกงเย่ก็สารภาพออกมา
“ข้าไม่ได้เข้าไป ประตูวังถูกกำลังทหารปิดล้อมไว้ พระองค์ไม่ยอมพบข้า” หนานกงเย่รู้สึกหมดหนทาง หลังจากที่รออยู่สองชั่วยาม สิ่งที่รอก็คือความไม่พอพระทัยของฮองเฮา ฝ่าบาททรงอยู่เป็นเพื่อนฮองเฮา และไม่มีเวลามาพบเขา
ข้ออ้างที่ชัดเจนเช่นนี้ เขาจะเชื่อได้อย่างไร?
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจและลุกขึ้นเพื่อถอดผ้าให้หนานกงเย่
“ไปอาบน้ำแล้วนอนกันเถอะเพคะ หม่อมฉันจะลองคิดดูว่าควรพูดดีหรือไม่” ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกสับสนเช่นกัน
หนานกงเย่เงยหน้าขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋น และกอดร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นไว้:“ข้าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง”
“ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องไร้ประโยชน์ ท่านอ๋องเพียงแค่เป็นกังวลและสับสนเพคะ ทรงต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็ต้องได้เข้าเฝ้า เพียงแต่ในเวลานี้ท่านอ๋องทรงอารมณ์ไม่ดี ไม่ได้เข้าเฝ้าก็เป็นธรรมดาเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นถอดเสื้อผ้าให้หนานกงเย่เสร็จเรียบร้อยแล้ว หนานกงเย่จับข้อมือของฉีเฟยอวิ๋นและดึงมันมาตรงหน้า จากนั้นก็ลูบอย่างนุ่มนวล:“เพื่อข้าหรือเพื่อฝ่าบาท?”
“ทั้งสองอย่างเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากหลอกหนานกงเย่ นางเป็นห่วงหนานกงเย่มาก แต่นางก็สงสารจักรพรรดิอวี้ตี้ด้วยเช่นกัน
เขาเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ต้องอดทนต่อผู้คนที่เข้ามาลอบทำร้าย
หากเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นร้อยปี ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจมากนัก เมื่อรู้ว่าเขากำลังจะตายในวัยกลางคน ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเจ็บปวดใจ
เขาไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายอะไร และดูเหมือนจะเป็นจักรพรรดิที่ดีคนหนึ่ง แต่กำลังจะตายในวัยกลางคน ทำไมกันนะ?
หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋น:“ข้ามีนิสัยเกียจคร้านมาตั้งแต่เด็ก ข้าไม่ชอบอ่านเขียน แต่เสด็จแม่ก็ทรงเคี่ยวเข็ญ
เขาสอนคำแรกให้ข้าด้วยตนเอง คือคำว่าสวรรค์
ข้าถามเขาว่าสวรรค์คืออะไร เขาบอกว่าเป็นแผ่นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา และยังบอกอีกว่าขอเพียงแค่มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ก็จะสามารถยืนอยู่บนสวรรค์นี้ได้อย่างมั่นคง
แต่ข้ายังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจ เขาจะอุ้มข้าไปที่เขาทุกวัน และค่อย ๆ สอนข้าทีละคำ
เมื่อเขากลับมาจากการสู้รบ สิ่งแรกที่เขาทำคือการมาหาข้า
ไม่ว่าใครจะพูดว่าเขาเป็นอย่างไร ข้าก็เชื่อว่าเขาปฏิบัติต่อข้าด้วยความจริงใจ”
หนานกงเย่ปล่อยฉีเฟยอวิ๋น และปลดเข็มขัดบนร่างของนาง จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออก