องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 180 บาดเจ็บสาหัส
บทที่ 180 บาดเจ็บสาหัส
ทั้งสองคนโอบกอดกันและกัน ฉีเฟยอวิ๋นสัมผัสได้ คืนนี้หนานกงเย่อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างกระวนกระวายใจ
ครั้นตื่นขึ้นมาในยามเช้าอารมณ์ของหนานกงเย่ก็ดีขึ้น แต่ยังขุ่นเคืองอยู่บ้าง
“ข้าจะไปดูเขื่อนตู้ฟางจุน กลับมาก็จะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท” หลังจากพูดคุยกับหนานกงเย่เรียบร้อยแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็กลับไปศึกษาเรื่องพิษของจักรพรรดิอวี้ตี้ต่อ
ช่วงกลางวันฉีเฟยอวิ๋นออกจากห้องทดลองเพื่อไปกินอาหาร อาอวี่ได้เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน : “พระชายา เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงรึ? เมื่อวานเจ้าไปที่แห่งนั้นมาแล้ว เจ้ายังมีหน้ามาบอกข้าว่าเกิดเรื่องใหญ่อีก ข้าว่าเจ้าต่างหากที่จะเกิดเรื่องใหญ่ ถึงได้โหวกเหวกโวยวายอกสั่นขวัญแขวนถึงเพียงนี้” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
อาอวี่สีหน้าหม่นหมองลง ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งอยู่ยิ่งร้ายกาจขึ้น
“ว่ามา มีเรื่องอะไร?” ฉีเฟยอวิ๋นหมดความอดทน
นางเสียใจที่ให้ทังเหอไปดูแลร้านเหล่านั้น น่าจะส่งอาอวี่ไปต่างหาก
“ท่านอ๋องตวนเกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” สีหน้าของอาอวี่ร้อนใจมาก ฉีเฟยอวิ๋นกลับทำเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟัง จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ คงไม่ถึงตายหรอกกระมัง
“ไม่ใช่เรื่องของท่านอ๋องเย่ เขาจะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างเขาสิ ไม่เกี่ยวกับเรา ข้ามีเรื่องต้องทำ อย่างมารบกวน” ฉีเฟยอวิ๋นเตรียมจะเดินไปศึกษาพิษของจักรพรรดิอวี้ตี้ต่อ
“พระชายา ท่านอ๋องตวนโดนมีดนับไม่ถ้วนแทงพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เป็นตายร้ายดีเท่ากัน จวนอ๋องตวนอลหม่านมาก ท่านอ๋องเย่ให้ข้ากลับมาโดยเร็ว เขาบอกว่าจะให้ท่านอ๋องตวนมาในเรือนของเราพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นพรวดลุกขึ้นทันที จากนั้นก็มองไปยังอาอวี่ : “มีดนับไม่ถ้วนรึ?”
“พระชายา รีบไปเถอะ ช้ากว่านี้เกรงว่าคงจะไม่ทันการณ์” อาอวี่หมุนตัวและวิ่งออกไป ฉีเฟยอวิ๋นกระวนกระวายใจมาก จากนั้นก็เรียกคนให้เตรียมพร้อมโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก
ไม่นาน ท่านอ๋องตวนก็ถูกคนหามเข้ามาทางประตู ตามมาด้วยคนกลุ่มหนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นตกใจอย่างมาก หนานกงเย่กลับมาด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยเลือด ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินเข้าไปหาด้วยความตกใจ : “เจ้าได้รับบาดเจ็บรึ? ตรงไหนเจ้าคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นดึงตัวหนานกงเย่มาตรวจดู ด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ข้าไม่เป็นไร นั้นคือเลือดของพี่รอง เจ้ารีบไปดูเถอะ พี่รองเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” หนานกงเย่ดึงตัวของฉีเฟยอวิ๋นไปตรวจคนที่ถูกหามเข้ามา
ครั้นฉีเฟยอวิ๋นได้ยินว่าหนานกงเย่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จากนั้นก็ตามฉีเฟยอวิ๋นไปตรวจดูอาการของท่านอ๋องตวน ซึ่งมองไม่ออกว่าเป็นอย่างไร เพราะเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด
ครั้นฉีเฟยอวิ๋นเดินมาถึงตรงหน้าของท่านอ๋องตวนก็รีบตรวจดูอาการทันที มือข้างหนึ่งจับข้อมือของเขาไว้ เพื่อตรวจชีพจรของเขา
ชีพจรของเขาอ่อนแอมาก ฉีเฟยอวิ๋นจึงเริ่มตรวจอาการทันที
หลังตรวจพบว่าไม่เพียงแค่บาดแผลฉกรรจ์
ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยมือและตรวจดวงตาของท่านอ๋องตวน รอบดวงตาเป็นสีแดง ริมฝีปากก็ยังมีสีม่วงคล้ำ
ฉีเฟยอวิ๋นง้างปากของท่านอ๋องตวนเพื่อตรวจดูด้านใน เนื้อเยื่อใต้ผิวปรากฏเป็นเส้นเลือดสีดำ เห็นได้ชัดว่าพิษได้แล่นเข้าสู่หัวใจแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางอาอวี่ : “รีบพาตัวไปยังเรือนของข้า”
อาอวี่พาคนช่วยกันหามท่านอ๋องตวนไปยังเรือนของฉีเฟยอวิ๋น ระหว่างทางหนานกงเย่ก็ได้คว้ามือของฉีเฟยอวิ๋นไว้ ให้นางเดินช้าลง
ฉีเฟยอวิ๋นร้อนใจอย่างมาก จึงยกชายกระโปรงและวิ่งไปอย่างอดไม่ได้
หนานกงเย่ทำได้แค่ตามมาอธิบายต้นสายปลายเหตุให้แก่ฉีเฟยอวิ๋น หลีกเลี่ยงไม่ให้นางวิ่ง จนกระทบทั้งแม่ทั้งลูก
“เดิมทีข้าตั้งใจจะเข้าวัง แต่มีคนบอกว่าท่านอ๋องตวนเกิดเรื่อง ข้าจึงรีบมายังตรอกด้านหลังจวนอ๋องตวน ซึ่งท่านอ๋องตวนกำลังปะทะอยู่กับนักฆ่าหลายคน
อีกทั้งคนเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดาด้วย หากไม่ใช่เพราะข้ามาทันเวลา ป่านี้ท่านอ๋องตวนคงจบชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย”
ฉีเฟยอวิ๋นเย็นชาลง : “แล้วท่านอ๋องตวนถึงไปทำอะไรอยู่ในตรอกด้านหลังละเจ้าคะ?”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ คงต้องรอให้เขาฟื้นขึ้นมา” หนานกงเย่เองก็สงสัยเช่นกัน ว่าเป็นฝีมือของใคร?
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจมาก : “ท่านอ๋อง เขาจะกล่าวหาเราไหมเจ้าคะ?”
หนานกงเย่ส่ายหน้า : “ไม่ทราบ”
หนานกงเย่แสดงสีหน้าสงสัย ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่รู้จะกล่าวอะไร นางรีบไปตรวจอาการของท่านอ๋องตวน จากนั้นก็ยกชายกระโปรงและเดินไป หนานกงเย่ที่อยู่ตามมาด้านหลังก็ขวางไว้ไม่ได้ กระทั่งโน้มตัวลงมาอุ้มฉีเฟยอวิ๋นและพานางไปยังสวนดอกกล้วยไม้
ครั้นมาถึงสวนดอกกล้วยไม้ฉีเฟยอวิ๋นก็รีบเข้าไปดูอาการของท่านอ๋องตวน จากนั้นก็สั่งให้คนอื่นออกไป เหลือเพียงแต่หนานกงเย่และอาอวี่ หงเถาและลี่ว์หลิ่ว
อาอวี่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก หงเถาและลี่ว์หลิ่วเตรียมน้ำร้อนเพื่อชำระล้าง เหล่าหมอประจำจวนได้แต่รออยู่นอกสวนดอกกล้วยไม้
ฉีเฟยอวิ๋นทำการปิดประตู และหยิบมีดเล่มหนึ่งออกมา กรีดไปบนข้อมือเล็กน้อย อย่างชำนาญการ
หนานกงเย่เจ็บปวดใจอย่างมาก แต่กลับไม่เข้าไปขวางนางแต่อย่างใด
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มง้างปากของท่านอ๋องตวน และหยดเลือดลงไปในปากของท่านอ๋องตวน ปากของท่านอ๋องตวนที่เดิมทีเป็นสีม่วงคล้ำ ก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นรอจนกระทั่งสีหน้าของท่านอ๋องตวนค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมา ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ จึงได้พันข้อมือ
“หงเถาลี่ว์หลิ่ว เข้ามา” ฉีเฟยอวิ๋นวางมีดไว้ด้านข้าง และเดินไปชำระล้างร่างกายให้แก่ท่านอ๋องตวน เสื้อผ้าได้ถูกมีดนับสิบกรีดจนเห็นเนื้อหนัง รอยมีดลึกจนเห็นกระดูกแทบจะคร่าชีวิต
ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ก้มหน้าลงตรวจสอบบาดแผล กระทั่งเห็นบาดแผลมากมายบนตัวขา ฉีเฟยอวิ๋นผงะทันที จากนั้นก็มองไปยังหนานกงเย่: “ท่านอ๋อง เจ้าดูนี่สิ”
หนานกงเย่เดินขึ้นหน้า และก็ผงะไปเล็กน้อย
“พวกเขาต้องให้ท่านอ๋องตวนคุกเข่า แต่ท่านอ๋องตวนไม่ยอม พวกเขาจึงใช้มีดบีบบังคับเขา” ฉีเฟยอวิ๋นเองก็คิดเช่นนี้ ทักษะการต่อสู้ของท่านอ๋องตวนไม่เท่าไร คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่มีฝีมือสูง พวกเขาต้องการให้ท่านอ๋องตวนคุกเข่า แต่ท่านอ๋องตวนไม่ยอม พวกเขาจึงบีบบังคับท่านอ๋องตวนมาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง จากนั้นก็ใช้มีดปักลงไปบนขาทั้งสองข้างของเขา ท่านอ๋องตวนก็ยังไม่ยอมคุกเข่า พวกเขาจึงลงมือหักขาของเขา
ฉีเฟยอวิ๋นกรีดลงไปบนหัวเข่าของท่านอ๋องตวน เพราะเข่าข้างหนึ่งของเขาบวมแดงแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นไม่คิดว่าท่านอ๋องตวนจะไม่ยอมคุกเข่า กระทั่งพวกเขาต้องใช้วิธีการมากมาย
เนื้อบริเวณข้อพับเข่านั้นเจ็บปวดที่สุด มีดเล่มเดียวสามารถตัดเอ็นจนขาดได้ จะต้องเจ็บปวดร้าวรานมากอย่างแน่นอน และจะใช้การไม่ได้อีก
ฉีเฟยอวิ๋นรีบจัดการบาดแผลบนร่างกายของท่านอ๋องตวน หลังจากที่ชำระล้างแล้วก็ทำการห้ามเลือด
“ไปเชิญหมอประจำจวนเข้ามาสองคน” ฉีเฟยอวิ๋นออกคำสั่ง หมอประจำจวนด้านนอกก็รีบเข้ามาเพราะเตรียมตัวไว้แล้ว กระทั่งถกแขนเสื้อและเริ่มทำงานทันที
เวลานี้จวินฉูฉู่ได้มาถึงที่แห่งนี้แล้วเช่นกัน นางถลันเข้ามาพลางหาคนของตนทันที : “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเจ้าคะ?”
จวินฉูฉู่ไม่เป็นอะไรแล้ว แน่นอนสิ เพราะยาของฉีเฟยอวิ๋นนั้นยอดเยี่ยมมาก หลังจากที่นางได้ใช้ก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะบอกว่าอาจจะทิ้งรอยแผลไว้ แต่สุดท้ายกลับไม่ทิ้งรอยแผลใด ๆ ไว้แม้แต่นิดเดียว
แต่จวินฉูฉู่ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจต่อฉีเฟยอวิ๋น ตรงกันข้ามจวินฉูฉู่ยังคงเกลียดชังฉีเฟยอวิ๋น
ดังนั้นนางจึงไม่ยอมกล่าวขอบคุณ ต่อให้ท่านอ๋องตวนจะกล่าวอย่างไร นางก็ไม่ยอมฟัง
จวินฉูฉู่เข้ามาโวยวายใส่ฉีเฟยอวิ๋นถึงในเรือนด้วยความขุ่นเคือง : “บอกให้นางเงียบปาก และโยนนางออกไป”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ และกำลังวุ่น นางไม่อยากให้ใครมารบกวน
หนานกงเย่ส่งสัญญาณ อาอวี่รีบพาจวินฉูฉู่ออกไป จากนั้นก็ปิดประตูของเรือนสวนดอกไม้ อาอวี่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบเข็มขนาดเล็กออกมา จากนั้นก็ทำการทิ่มแทงลงไปบนตัวของท่านอ๋องตวน
หลังจากดึงเข็มออก ฉีเฟยอวิ๋นก็หมุนตัวและเดินไปด้านข้าง จากนั้นก็หยิบหลอดสีเงินอ่อนชิ้นหนึ่งออกมา หลอดนั้นมีความหนาเท่ากับตะเกียบ มีเข็มอยู่อีกด้านหนึ่ง เพราะเป็นความชำนาญเฉพาะทาง หลอดเงินนี้อาจจะมีพันกันโดยง่าย ระดับความอ่อนเหมือนกับเชือกทั่วไป แม้ว่าจะแบน แต่ก็สามารถมองเห็นว่ามีรูได้
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากหยิบออกมาใช้ แต่ยามนี้คงจะคิดมากไม่ได้แล้ว
จากนั้นก็หยิบขวดใสขวดหนึ่งออกมา ฉีเฟยอวิ๋นแขวนยาแก้อักเสบที่ทำการกลั่นไว้แล้ว จากนั้นก็เสียบหลอดสีเงินนั้นเข้าไป ก่อนจะนำเชือกมามัดเข้าไว้ด้วยกัน และฉีดยาฆ่าเชื้อเข้าไป
ทำการเปิดปุ่มเปิดปิดตรงกลาง มือของฉีเฟยอวิ๋นจับชีพจรบนแขนของท่านอ๋องตวน หลอดนี้ของนางมองไม่เห็นสถานการณ์ของเหลวข้างใน นางแค่สัมผัสได้
นางมองไปยังขวดด้านบน ที่กำลังเกิดเป็นฟอง
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
นางทำการทดสอบปฏิกิริยาการแพ้ไม่ทัน แต่มันบริสุทธิ์ ซึ่งอาจจะเกิดอาหารแพ้น้อยมาก
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มทำความสะอาดบาดแผลอย่างชำนาญ เช็ดทำความสะอาดและห้ามเลือด จากนั้นก็ทายาและพันแผล บางแห่งต้องรีบเย็บเพื่อสมานบาดแผลโดยเร็ว
หนานกงเย่ยืนอยู่ด้านข้าง ด้วยความรู้สึกไม่สู้ดีนัก
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่ดีเลย : “ท่านอ๋อง เข้ามาเถอะเจ้าค่ะ หม่อมฉันหมดแรงแล้ว แต่บาดแผลหนักเกินไป”
หนานกงเย่เมินหน้าไปทางอื่น สีหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ จากนั้นก็ย่างก้าวเดินเข้าไป
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าช่วยเหลือทันที สถานการณ์ย่ำแย่เกินไป ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าท่านอ๋องตวนจะมีชีวิตอยู่ได้ต่อไป
นางทำได้แค่ให้หนานกงเย่เข้าวัง
ครึ่งชั่วนามผ่านไป จักรพรรดิอวี้ตี้รีบมาทันที
ในตอนที่จักรพรรดิอวี้ตี้มาถึงนั้น จวินฉูฉู่กำลังโหวกเหวกโวยวายอยู่ด้านนอก สีหน้าของจักรพรรดิอวี้ตี้จึงแย่ลง : “ไปลากตัวนางออกมาให้ข้า”
“ฝ่าบาท…”
จวินฉูฉู่ตกใจกำลังจะคุกเข่า แต่ก็ถูกคนลากออกไป
เมื่อเห็นจักรพรรดิอวี้ตี้ จวินฉูฉู่จึงเลิกโวยวายทันที สีหน้าของนางซีดเผือดลง ท่านอ๋องตวนเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ ?
ทันทีที่จักรพรรดิอวี้ตี้เข้ามาก็มองเข้าไปในห้อง คนในเรือนก็รีบคุกเข่าลงทันที
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า : “เชิญฝ่าบาทเสด็จเพคะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้รีบเดินมาตรงหน้าประตูจากนั้นก็เปิดเข้าไป กระทั่งเห็นคนที่นอนผ่าตัดอยู่บนเตียง ร่างทั้งร่างจึงสั่นไหว จนเกือบจะล้มลงไป
สวีกงกงรีบเข้ามาประคอง : “ฝ่าบาท ท่านอย่าทำให้ข้าน้อยตกใจสิพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิอวี้ตี้พยายามทรงตัว จากนั้นก็มองไปยังท่านอ๋องตวนที่อยู่ตรงหน้า และโบกมือไปมา : “ข้าไม่เป็นไร”
สวีกงกงรีบประคองจักรพรรดิอวี้ตี้เดินไปด้านข้าง หลังจากยืนอย่างมั่นคงแล้วจักรพรรดิอวี้ตี้จึงเอ่ยถามขึ้นว่า : “อ๋องตวนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“หม่อมฉันพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ ฝ่าบาทเองก็ต้องทรงเตรียมใจไว้บ้างนะเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเรื่องอื่นไม่ออก แม้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะยังมีลมหายใจ แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ
จักรพรรดิอวี้ตี้ยืนขึ้น ไม่นานก็มีคนปรี่เข้ามาจากข้างนอก
พระมเหสีหวารีบเข้ามาในสวนดอกกล้วยไม้ด้วยความรีบร้อน : “เหยี่ยนเอ๋อร์ เหยี่ยนเอ๋อร์….”
“อย่าส่งเสียงดัง พระมเหสีโปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบพันแผลเดี๋ยวนี้”
“ขวางพระมเหสีไว้” จักรพรรดิอวี้ตี้รีบออกคำสั่ง เป็นคู่บารมีของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
สวีกงกงรีบขวางพระมเหสีหวาไว้ด้านนอก พระมเหสีหวาร้องไห้จนเกือบจะสลบไป
หนานกงเย่เดินตามเข้ามาพร้อมกับพระพันปี
พระมเหสีหวาจึงได้สงบลง อยากเข้าพบหนานกงเหยี่ยน พระพันปีตะโกนใส่นางอย่างฉับพลัน : “รีบเงียบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้ หากอ๋องตวนเป็นอะไรไป ข้าจะฝังเจ้าลงไปด้วย”
พระพันปีโกรธเคืองมาก พระมเหสีหวาจึงรีบหยุดพูดทันที
พระมเหสีหวายืนจับเสื้อคลุมด้วยความเป็นกังวล คนโดยรอบต่างทยอยกันคุกเข่าลง
พระพันปีมองเข้าไปในห้องและเอ่ยถามว่า : “ยังอีกนานไหม?”
“ฝ่าบาทยังประทับอยู่ในห้อง คงต้องรออีกชั่วครู่ พระพันปีได้โปรดรอสักครู่ บ่าวจะยกเก้าอี้มาให้เพคะ”
สวีกงกงรีบย้ายเก้าอี้มาโดยเร็ว จากนั้นก็ประคองพระมเหสีหวานั่งลง
พระมเหสีหวาร่ำไห้อยู่ตลอด
ครั้นฉีเฟยอวิ๋นพันแผลให้แก่ท่านอ๋องตวนเสร็จ นางเกือบจะเป็นลม กระทั่งโอนเอนไปมา จักรพรรดิอวี้ตี้เข้ามาประคองไว้ได้ทัน
ในตอนที่หันกลับไปฉีเฟยอวิ๋นก็ก้มหน้าลงและถอยออกไป
“ยกท่านอ๋องตวนมานอนด้านข้าง ระวังด้วย”
เหล่าหมอประจำจวนก็พากันเข้ามา และช่วยกันยกไปนอน
ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นพักผ่อนนั้น เหล่าหมอประจำจวนเก็บของ พระพันปีและพระมเหสีหวาก็เข้ามา
ครั้นเห็นสภาพของท่านอ๋องตวน ร่างกายของพระมเหสีหวาเกือบล้มไปกับพื้น พระพันปียื่นมือออกไปออกไปประคอง พระมเหสีหวาจึงได้ยืนอย่างมั่นคงอีกครั้ง ครั้นเห็นบุตรชายน้ำตาของพระมเหสีหวาก็ไหลพราก อ้าปากค้างแต่ไม่กล่าวอะไรออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า : “เขาต้องการพักผ่อน ตอนนี้ข้าทำได้เพียงแค่รักษาชีวิตเขาไว้ แต่ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก เสียเลือดมากก็เรื่องหนึ่ง ตั้งแต่แรกกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ชีวิตคนเราบางครั้งก็ต้องมีความหวังบ้าง หากเขาอยากมีชีวิตต่อไป แม้เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอแค่ผ่านเวลานี้ไปได้ เขาจะมีชีวิตต่อ
แต่หากเขาไม่อยากมีชีวิตต่อ ใครก็ช่วยเขาไม่ได้ ข้ารักษาให้เขาได้ แต่เขาก็ต้องมีใจอยู่ต่อด้วย
ในสองชั่วยามนี้ เขายังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เรื่องนี้ข้าเองก็เป็นห่วง”
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็เหนื่อยแทบขาดใจ กล่าวออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง