องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 198 สังหารหนึ่งคนเพื่อเตือนคนเป็นร้อย
บทที่ 198 สังหารหนึ่งคนเพื่อเตือนคนเป็นร้อย
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังนอนอยู่บนเตียงของพระพันปีหนานกงเย่เข้าประตูมาเดินพุ่งตรงไปยังฉีเฟยอวิ๋น พอถึงยังตรงหน้าก็นั่งลงจับมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้
“อวิ๋นอวิ๋น”
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันสบายดี” ฉีเฟยอวิ๋นยังคงรู้สึกตื้นตันใจ
หนานกงเย่ตรวจมองขึ้นลงฉีเฟยอวิ๋นอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่เป็นไรจึงมองลงมายังท้องของฉีเฟยอวิ๋น
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่เป็นไร” รู้ว่าหนานกงเย่เป็นกังวลฉีเฟยอวิ๋นเลยรายงานความปลอดภัยให้ก่อน
หนานกงเย่ถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก: “เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบตาย ข้ากำลังสอบปากคำพอได้ยินว่าในวังมีงูพิษข้าก็วิ่งหัวซุกหัวซุนมาเลย”
“……ท่านอ๋อง……”ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก เห็นชัดว่าเดินมายังจะกล่าวว่าวิ่งหัวซุกหัวซุนมา
พระพันปีทรงลุกขึ้นเสด็จไปนั่งลงยังอีกฝั่งหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นดึงมือออกหนานกงเย่ถึงได้นึกถึงพระพันปีแล้วจึงลุกขึ้นน้อมทักทาย: “เสด็จแม่”
“อืม เจ้ายังรู้จักกลับมา ได้ข่าวว่าเมื่อคืนเจ้าไม่อยู่ในวัง?”
“ลูกไปเรียกไต่สวน เมื่อคืนเรียกไต่สวนจนดึกดื่นจึงมิได้เข้าวังพะย่ะค่ะ” หนานกงเย่ก็อยากจะเข้าวังอย่างไรภรรยาก็อยู่ในวัง ใครจะไม่อยากอยู่เป็นเพื่อนภรรยา
แต่คนพวกนั้นไม่ยอมให้ความร่วมมือ หากเขาไม่เร่งไต่สวนก็คงจะไม่มีโอกาสมากนัก
พระพันปีทรงตรัสถามว่า: “แล้วสอบสวนเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
“ยังไม่มีความคืบหน้าเลยพะย่ะค่ะ”
“ไม่มีก็ปล่อยคนซะ เจ้าโตแล้วไม่ใช่เด็กๆ จับตัวพวกเขาอยู่เช่นนั้นไม่ปล่อยจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อจงชินอ๋องน่าสงสัยที่สุดงั้นก็ขังไว้เถอะ รอให้อ๋องตวนอาการดีขึ้นบ้างก็มอบให้อ๋องตวน”
“ลูกก็คิดไว้เช่นนี้เหมือนกันพะย่ะค่ะ” หนานกงเย่สอบปากคำแล้วก็ไม่มีปัญหาจริงๆจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยคนไป
พระพันปีจึงทรงตรัสขึ้นว่า: “อาไห่”
“ไทเฮา”
“ไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋แล้วเชิญฮองเฮามา”
“พะย่ะค่ะ”
ไห่กงกงเพิ่งจะออกไปอวิ๋นหลัวฉวนก็มาถึงตำหนักเฉาเฟิ่งแล้ว
“ลูกถวายบังบังคมเสด็จแม่เพคะ” อวิ๋นหลัวฉวนคุกเข่าลงคารวะ
“ลุกขึ้นเถิด” พระพันปีตรัสด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนขึ้นมาก กับอวิ๋นหลัวฉวนไม่จำเป็นต้องเหมือนจวินฉูฉู่
“อวิ๋นหลัวฉวนลุกขึ้นจากพื้นมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นและถามว่า: “เสด็จแม่ หม่อมฉันไปดูท่านพี่เสียนเฟยได้หรือไม่เพคะ?”
“ไปเถอะ”
อวิ๋นหลัวฉวนไปหาฉีเฟยอวิ๋นพอเห็นนางไม่เป็นไรก็โล่งอก
“ได้ยินคนในวังพูดว่าท่านเจองูพิษ ข้าเป็นห่วงจึงมาดูท่าน หากรู้แต่แรกว่าท่านไม่เป็นไรก็ไม่มาแล้ว ตอนนี้อ๋องตวนต้องทานข้าวข้าต้องกลับไปดู” อวิ๋นหลัวฉวนถือเอาเรื่องดูแลอ๋องตวนว่าเป็นหน้าที่ของนางซะแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นคุ้นเคยกับอวิ๋นหลัวฉวนแล้ว นางพูดจาตรงไปตรงมาและไม่สนใจว่าผู้อื่นจะคิดเช่นไร
“ข้าไม่เป็นไรพักผ่อนครู่หนึ่งก็ดีขึ้นแล้ว พระชายารองอวิ๋นกลับไปกราบทูลพระมเหสีหวาว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปดูอ๋องตวนอีก”
“ได้” เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นไม่เป็นไรอวิ๋นหลัวฉวนเลยคิดจะจากไป
เพิ่งหันหลังกลับก็เห็นฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูเสด็จมา
เข้าประตูมาเฉินอวิ๋นชูคุกเข่าต่อพระพันปี: “ลูกขอถวายบังคมเสด็จแม่เพคะ”
พระพันปีแววตาเฉยเมย แม้ว่าฮองเฮาจะทรงพระครรภ์แต่ก็ไม่ได้ให้ลุกขึ้น
“ฮองเฮา เหตุใดถึงมีงูพิษอยู่ในตำหนักของเจ้า?” พระพันปีตรัสถามอย่างไม่พอพระทัย
เฉินอวิ๋นชูตอบว่า: “ลูกกำลังสืบสวนเรื่องนี้อยู่เพคะ แต่ว่าสืบสวนทั้งในและนอกตำหนักแล้วไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้เลยเพคะ”
พระพันปีทรงกริ้วจัด ปัดแขนจนจานชาบนโต๊ะตกลงกับพื้นเกือบจะกระทบใบหน้าของเฉินอวิ๋นชู เฉินอวิ๋นชูไม่กล้าขยับเลยแม้แต่น้อย
“เสด็จแม่ ลูกผิดไปแล้วเพคะ”
“ฮึ่ม รู้แล้วยังไม่สำนึกผิดให้ดี เจ้าไปศาลบรรพชนหากไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามออกมา”
“ลูกขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของเสด็จแม่เพคะ” เฉินอวิ๋นชูลุกขึ้นถอยหลังแล้วเสด็จไปศาลบรรพชนเลย
อวิ๋นหลัวฉวนไปยังหน้าฮองเฮาแล้วย่อกายถวายความเคารพ และไม่ได้สนใจเรื่องของผู้อื่นแล้วจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นนอนลงครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้น หนานกงเย่รีบถามขึ้นว่า: “ดีขึ้นบ้างแล้วหรือ?”
“เพียงแค่ตกใจเท่านั้นแต่ไม่เป็นไร”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกจากเตียงไปเฝ้าพระพันปี: “เสด็จแม่ ลูกต้องการตามไปตรวจสอบเรื่องงูพิษเป็นเพื่อนท่านอ๋องเพคะ”
“ไปเถอะ ระวังด้วย!” พระพันปีสีหน้าหนักแน่น ช่างบังเอิญเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่เกิดเหตุการณ์มากมาย ช่างครึกครื้นเสียจริงๆ!
“เสด็จแม่ ให้เจ้าจิ้งจอกน้อยอยู่เป็นเพื่อนพระองค์ มีท่านอ๋องอยู่ลูกก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอันใดหรอกเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นเป็นห่วงพระพันปีอยู่บ้าง
พระพันปีชำเลืองพระเนตรยังจิ้งจอกหางสั้นซึ่งนอนอยู่บนเตียง ในช่วงเวลานี้มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยอยู่เป็นเพื่อนก็มิได้น่าเบื่อเช่นนั้นแล้ว
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ออกจากตำหนักเฉาเฟิ่งและตรงไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋ ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นบอกหนานกงเย่เรื่องที่เห็นงูในพระตำหนักเฟิ่งอี๋
“ตัวหนาเท่าแขนไม่มีทางเลี้ยงไว้จนโตเป็นแน่ ตอนที่ข้าฝึกอยู่นอกป่าก็ไม่เคยเห็นงูตัวใหญ่เช่นนี้มาก่อน งูชนิดนี้ชื่องูห้าก้าวมีพิษที่รุนแรงนัก”
หลังจากกัดแล้วผู้ที่ถูกกัดจะตายภายในห้าก้าวที่เดิน ถึงแม้ว่าคนในวังคิดจะกลั่นแกล้งแล้วจะมีงูพิษชนิดนี้ได้เช่นไร? “ฉีเฟยอวิ๋นงุนงง แม้ว่าเฉินอวิ๋นชูจะวิตกกังวลก็ไม่น่าจะนำงูพิษมายังตำหนักของตน
แต่หากว่าไม่ใช่นางแล้วจะเป็นผู้ใดได้หล่ะ?
“ข้าต้องตรวจสอบอย่างละเอียดไม่มีทางปล่อยพวกเขาไว้อย่างแน่นอน” หนานกงเย่คิดขึ้นมาก็รู้สึกกลัว ได้ยินว่าฉีเฟยอวิ๋นเกิดเรื่องเขาก็ตระหนกตกใจหวั่นวิตกยิ่งนัก
เข้าพระตำหนักเฟิ่งอี๋แล้ว ในพระตำหนักเฟิ่งอีมีคนกลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่
รู้เรื่องราวแล้วไม่สืบหาความจริงให้ปรากฏ ใครก็อย่าหวังว่าจะรอด ทุกคนที่คุกเข่าอยู่ตกใจกลัวตัวสั่นเทาไม่หยุด
ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าประตูมาก็เห็นป้าสี ป้าซีกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น
“ป้าซีลุกขึ้นเถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว ป้าซีจึงลุกขึ้น
“ท่านอ๋อง พระชายา” ป้าซีสีหน้าซีดเซียว ก่อนหน้านี้หวาดผวาและตอนนี้ก็ยังตกใจไม่หาย
“พระชายาไม่เป็นไรก็ดีแล้วเพคะ”
“ขอบคุณป้าซีห่วงใย ท่านอ๋องมาเพื่อสอบสวนเรื่องงูพิษ คนในวังก็ไม่ต้องคุกเข่าลุกขึ้นกันเถอะ ควรทำสิ่งใดก็ทำเพียงแค่ไม่จากออกไปก็พอ”
ท่านอ๋องสืบคดีอาจมีการเรียกตัวได้ตลอดเวลา อย่าให้ถึงเวลาหาคนไม่พบ”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวจบป้าซีก็เรียกคน ฉีเฟยอวิ๋นบอกให้ป้าซีไม่ต้องติดตามมา แล้วจึงไปยังด้านในของตำหนักด้านข้าง
เข้าประตูไปฉีเฟยอวิ๋นเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้และชี้ไปยังงูห้าก้าวที่ยังไม่ได้จัดการบนพื้น
หนานกงเย่เดินไปด้านหน้าเพื่อมองดูแล้วขมวดคิ้ว
“ของสิ่งนี้ไม่มีทางคลานเข้าวังด้วยตัวเอง”
“ตัวใหญ่เช่นนี้ หากมีคนคิดจะนำเข้ามาไม่ใช่เรื่องง่าย ปืนเข้ามายังจะน่าเชื่อได้มากกว่า!”
หนานกงเย่ไม่ได้ฟังย่อตัวนั่งลงเพื่อตรวจสอบงูที่ตายไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปยังด้านข้างของหนานกงเย่: “อย่างไรก็ตามฮองเฮาก็ยังทรงพระครรภ์อยู่”
“พระราชโอรสกระทำผิดโทษเท่าสามัญชน เรื่องนี้หากว่ามีผู้ใดต้องการทำร้ายอวิ๋นอวิ๋น ข้าจะไม่มีทางปล่อยไป”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ทำอะไรไม่ได้ ผู้กระทำการชั่วช้าดังศัตรูของเขา
หลังจากตรวจสอบแล้วหนานกงเย่ลุกขึ้นมองเข้าไปในเรือน เขาออกมาจากเรือนเพื่อสอบสวนทีละคน เรียกหนึ่งคนไม่พูดโบยหนึ่งรอบ เบาที่สุดโบยสามสิบทีและหนักที่สุดโบยถึงหนึ่งร้อยที
ทุกคนในตำหนักเฟิ่งอี๋นอกจากป้าซีแล้วไม่มีผู้ใดรอดพ้นไปได้
หนานกงเย่เริ่มช่วงบ่ายและโบยจนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้นใช้เวลาในการโบยทั้งคืน
ฉีเฟยอวิ๋นหลับไปหนึ่งตื่น ด้านนอกยังมีเสียงร้องห่มร้องไห้อยู่และก็ยังคงโบยอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นนับว่ายอมใจซะแล้ว หนานกงเย่สังหารหนึ่งคนเพื่อเตือนอีกเป็นร้อยคนซึ่งเป็นการนำความเฉลียวฉลาดมาเล่น
เขาไม่จำเป็นต้องตรวจหางูพิษ ในวังนั้นแม้แต่ไส้เดือนก็ไม่มีทางปรากฏตัวขึ้นได้อีก