องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 214 อากับหลานรู้กัน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 214 อากับหลานรู้กัน
พอพูดถึงตรงนี้ ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างนั่งคุกเข่าลง “พวกกระหม่อมรับประกัน เรื่องการเสียชีวิตของจงชินอ๋อง ไม่ใช่การกระทำของท่านอ๋องเย่ ขอให้ฝ่าบาทพิจารณา คืนตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนแก่ท่านอ๋องเย่ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ส่ายหน้ากล่าวว่า “เหล่าอ้ายชิงกำลังบังคับข้าหรือ?”
“พวกกระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “พวกเจ้าไม่กล้าหรือ นี่ก็ไม่ใช่ว่าออกมากันหมดแล้วหรือ?เสด็จอาใหญ่มาแล้ว พวกเจ้ากลัวไม้ตะบองแส้ที่อยู่ในมือนาง แต่ละคนเลยมาบีบบังคับข้า!”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้หมุนตัวขึ้นไปบนที่สูง และนั่งมองอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสายตาเย็นชา อย่างน่าเกรงขาม
“ข้าไม่อนุญาต!”
พูดจบองค์จักรพรรดิอวี้ตี้เลยหมุนตัวเดินไป องค์หญิงใหญ่มองไปก็ไม่ได้รั้งองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ พระองค์ลุกขึ้นก็เดินไปเลยเช่นกัน
คนอื่นๆเงยหน้าขึ้นชำเลืองมอง ดูเหมือนว่าอากับหลานชายเป็นกลุ่มเดียวกัน เพียงแค่วิธีการของพวกเขามันค่อนข้างลึกลับ
ท่านแม่ทัพฉีลุกขึ้นก่อน
คนอื่นๆถึงได้ลุกขึ้นตาม เวลานั้นแม่ทัพฉีก็ได้เดินออกไปแล้ว
ราชครูจวินมององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ที่เดินออกไป จากนั้นก็ออกไปเช่นกัน
เสนาบดีเฉินมีโอกาสเลยกล่าวถามว่า”ราชครู”
ราชครูจวินเดินไปแล้วกล่าวว่า”เสนาบดีเฉินมีสิ่งใดจะกล่าวหรือ?”
“เรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยให้เหล่าจงชินเครือญาติขององค์จักรพรรดิกำเริบเสิบสานได้อีกต่อไปแล้ว”มหาเสนาบดีเฉินกับราชครูจวินนั้นมีบุญคุณความแค้นส่วนตัวกัน แต่ทว่าเวลานี้เขากับราชครูจวินมีความแค้นต่อศัตรูเหมือนกัน
เพราะว่าพวกเขาล้วนมีความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ และความคิดของจงชินเครือญาตินั้นต่างกับพวกเขา
ราชครูจวินกล่าวว่า”องค์หญิงใหญ่ออกหน้าแล้ว เรื่องนี้ดูว่าองค์หญิงใหญ่จะจัดการอย่างไรกันเถอะ”
“อืม”
มหาเสนาบดีเฉินก็คิดเช่นนั้น แต่เหล่าจงชินก็ยังไม่เก็บอาการ เช่นนั้นเขาก็ต้องคุยเรื่องนี้กับราชครูจวินแล้ว
ฉีกั๋วกงเดินอยู่ด้านหน้ากับต้ากั๋วจิ้ว
ต้ากั๋วจิ้วสีหน้าอึมครึม ฉีกั๋วกงเลยถามว่า “กั๋วจิ้วคิดเห็นอย่างไรหรือ?”
“เชอะ ไม่มีอะไรต้องคิด”
ฉีกั๋วกงหัว้ราะหึหึในลำคอกล่าวว่า “คนแก่อย่างข้าก็เป็นเรื่องการทหาร ความคิดค่อนข้างตรงไปตรงมา“
ต้ากั๋วจิ้วเลยกล่าวว่า”เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ”
ต้ากั๋วจิ้วกลับไปก่อน เสี่ยวกั๋วจิ้วมองแล้วเลยเดินมาทางฉีกั๋วกง
“ท่านปู่กั๋วกง”
“อันกั๋วจิ้ว”
“กั๋วกงคิดว่าเรื่องนี้ผู้ใดเป็นผู้กระทำหรือ?”
“ข้าก็ไม่รู้สิ”ฉีกั๋วกงกล่าวอย่างราบเรียบ
เสี่ยวกั๋วกงยิ้มกล่าวว่า”ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ท่านปู่กั๋วกง ข้ายังมีภารกิจ ขอตัวก่อนนะ”
กล่าวจบเสี่ยวกั๋วจิ้วก็เดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เสนาบดีเฉินชำเลืองมองแล้วก็เดินไป
ท่านอ๋องหย่งจวิ้นเห็นเสี่ยวกั๋วจิ้วเดินไป เขาก็เดินตามไปด้วยเพราะว่ามีเรื่องจะคุยกับเสี่ยวกั๋วจิ้ว
ราชครูจวินกับฉีกั๋วกงเดินด้วยกันอย่างไม่เร่งรีบ
ราชครูจวินเลยกล่าวขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าเสือน้อยจะติดปีกเสียแล้ว”
ฉีกั๋วกงหัวเราะหึหึกล่าวว่า “เจ้าเสือน้อยนี่เก่งเสียจริง”
“…..”
ทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไป แต่กลับไม่ได้พูดอะไรกันมากมาย พอออกจากนอกพระราชวังก็ต่างคนต่างไป
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเสียงวุ่นวายโหวกเหวกดังอยู่หน้าประตูตั้งแต่เช้า ลืมตาจะลุกขึ้น ออกแรงใช้มือดันเอวลุกขึ้น ชำเลืองมองดู หนานกงเย่ก็ตื่นแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ประตู ไม่มีคนเฝ้าพวกเขา เธอเลยจูบหนานกงเย่หนึ่งที
หนานกงเย่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ เลยออกแรงกอดฉีเฟยอวิ๋น
ผู้หญิงที่นี่ส่วนใหญ่จะสงวนท่าที หวานหยาดเยิ้ม เขินอาย มิสู้เธอที่เป็นตัวของตัวเองเป็นอิสระ
หนานกงเย่มองที่ประตู พลิกตัวนำฉีเฟยอวิ๋นวางไว้ใต้ร่าง ลูบคลำ แล้วก็อยากจะถอดกางเกงออก ฉีเฟยอวิ๋นกอบกุมมือของเขาไว้ ส่ายศีรษะแล้วชำเลืองมองที่ประตู
เรื่องนี้ไม่ใช่การกินข้าว เงียบสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
กลัวว่าเขาต้องการแล้วจะควบคุมไม่ได้ คนเพิ่งจะผ่านด่านนรกมา จะหายไวได้เร็วขนาดนี้ที่ไหนกันล่ะ
หนานกงเย่จูบฉีเฟยอวิ๋น ถึงแม้ว่าจะไม่ยอม แต่ก็ต้องกลับไปนอน
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น เปิดแผลบริเวณข้อมือของหนานกงเย่ออกมาดู บาดแผลมีสัญญาณว่าจะหายดี แต่การดื่มเลือดของเธอมีมาก่อนหน้านี้นานมากแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ถึงได้หายช้า
ฉีเฟยอวิ๋นค่อนข้างห่อเหี่ยวใจ หากว่าหนานกงเย่ดื่มเลือด บาดแผลของเขาจะหายดี คนที่มองเห็นก็จะคิดว่าเขาหลอกลวงคนนอกเป็นแน่
หากไม่ดื่มเลือด จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้
ฉีเฟยอวิ๋นลูบสัมผัสข้อมือของหนานกงเย่ มีความรู้สึกที่ปวดร้าวทนไม่ไหว
“ข้าเป็นชายชาตรี ไม่กลัวสิ่งเหล่านั้นหรอก”หนานกงเย่อ่านความคิดของฉีเฟยอวิ๋นออก เลยอดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมเธอ
ฉีเฟยอวิ๋นทอดถอนหายใจออกมา กล่าวว่า “หากรู้ก่อนหน้าหม่อมฉันให้ท่านอ๋องกินยาขจัดพิษไปแล้ว จะทำให้มันผ่านไป แต่ท่านเป็นอย่างนั้น หม่อมฉันเจ็บปวดหัวใจเป็นอย่างมาก”
หนานกงเย่มองด้วยสายตาอบอุ่นราวกับน้ำกล่าวว่า “ข้ามีอะไรดี ถึงได้ทำให้หมอทหารที่มีความสามารถรอบด้านเป็นเช่นนี้ได้?”
มือของหนานกงเย่นวดคลึงมือของฉีเฟยอวิ๋น แล้วแยกนิ้วมือเธอออกเกี่ยวกวัดกับมือของตนเอง แล้วถามฉีเฟยอวิ๋นอีกว่า “นิ้วมือสอดกวัดเกี่ยวกัน แบบนี้ใช่หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า หนานกงเย่กอบกุมมือของฉีเฟยอวิ๋นมาวางตรงหน้าอก กล่าวว่า”ที่จริง ข้าก็ไม่ใช่มุ่งมาดป่าเถื่อนไปเสียหมด เมื่ออดีตข้าไม่ได้หวงแหนอำนาจเหล่านั้นหรอก แต่พอเห็นอวิ๋นอวิ๋นน้ำตาไหลริน ได้ยินว่าอวิ๋นอวิ๋นถูกคนตามสังหาร ทันใดนั้นกลับเป็นสิ่งที่ต้องการ ข้าโลภเกินไปใช่หรือไม่?มีสาวงามแล้วยังต้องการอำนาจบ้านเมือง?”
ฉีเฟยอวิ๋นปิดปากของหนานกงเย่ จากนั้นกล่าวว่า “ท่านอ๋องกล่าวเรื่องเลอะเลือนอะไรกัน?”
มืออีกข้างหนึ่งของหนานกงเย่ดึงมือของฉีเฟยอวิ๋น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ข้าพูดว่า ตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่มีความรู้สึกที่อยากจะปกป้องเลย อวิ๋นอวิ๋นเป็นคนเดียวที่ข้าอยากปกป้อง “หนานกงเย่พูดกล่าวจบแล้วหลับตาลง
ฉีเฟยอวิ๋นตื้นตันใจจนจะร้องไห้ เธอนึกว่าตนเองที่เป็นผู้หญิงประเภทนี้จะไม่มีผู้ชายที่มาพูดคำพูดน่าประทับใจเช่นนี้ได้ แต่ตอนนี้ดูว่าจะไม่ใช่แล้ว
หลังจากมาที่นี่ สภาพดินฟ้าอากาศไม่ดีเป็นแน่ กลืนกินเธอไปแล้ว
เธอถึงได้ประทับใจอย่างนี้
“ท่านอ๋อง….”
ฉีเฟยอวิ๋นจะพูดอะไร เธอก็คิดมันไม่ออกแล้ว เลยเงียบไว้
มืออีกข้างหนึ่งของหนานกงเย่ตบที่มือของฉีเฟยอวิ๋นเบาๆ”อีกสักครู่ไปบอกพวกเขา ว่าข้าไม่เป็นไรแล้ว”
“เช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะต้องกลับคุกแล้วหรือ?”
”ไม่หรอกน่า แต่ว่านอนอยู่ที่นี่ไม่กี่วันก็ดีจริง”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กล่าวพูด หนานกงเย่พูดอีกว่า”ข้าอยากพักอีกไม่กี่วัน อวิ๋นอวิ๋นทำตามปกติที่เคยทำเถอะ”
“ท่านอ๋อง….”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างลังเลใจ
หนานกงเย่ยังเป็นท่าทางอย่างนั้น กล่าวว่า”อืม”
“หากไม่รับพิษ ยังมีวิธีอื่นหรือไม่?
“มีมากมาย แต่ข้าอยากให้อวิ๋นอวิ๋นมา”
“….”ดวงตาของฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้หลบลง เธอตาค้าง ก็เพื่อสิ่งนี้หรือ?
เป็นสถานการณ์ที่จนปัญญาทำตัวไม่ถูก ฉีเฟยอวิ๋นเลยลุกขึ้นยืน
ด้านนอกมีเสียงโหวกเหวกโวยวาย ที่ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรกัน
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันไปดูก่อนนะ”
หนานกงเย่เลยปล่อยฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นห่มผ้าให้หนานกงเย่ แล้วจูบแก้มของเขา เธอถึงได้ออกไปด้านนอก
หนานกงเย่พลิกตัวขึ้นเอียงตัวมอง มือจับใบหน้า มองฉีเฟยอวิ๋นที่เดินไปทางประตู
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าแววตาด้านหลังร้อนดั่งเปลวเพลิง เธอเลยหันกลับไปมองหนานกงเย่ หนานกงเย่แสยะริมฝีปาก ฉีเฟยอวิ๋นมองบนใส่เขา แล้วหมุนตัวไปที่ประตู ผลักออกแล้วกลับมามองหนานกงเย่อีกที หนานกงเย่ก็นอนลงไปแล้ว คล้ายดั่งว่าไม่ได้ลุกขึ้นมาเลย
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวออกไปแล้วปิดประตู
ตรงประตูไม่มีคน ฉีเฟยอวิ๋นวางใจลงมาก ถึงอย่างไรหากคนรู้ว่าหนานกงเย่หลอกลวงเสแสร้งนั้นมันจะไม่ดี
แต่ด้านหน้าเรือนเสียงดังเอะอะมาก ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปดูเลยเห็นอาอวี่เคาะประตูอยู่ด้านนอก
“ข้าต้องการพบท่านอ๋อง”อาอวี่กำลังเคาะประตู
คนของศาลพิเศษกลางกำลังพูดคุยกับอาอวี่ว่า ใครก็ไม่สามารถเข้าด้านในนั้นได้
ด้านนอกยังมีคนอื่น โดยรวมคือโหวกเหวกโวยวายมาก