องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 223 อวิ๋นจิ่นเข้าไปในจวน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 223 อวิ๋นจิ่นเข้าไปในจวน
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินถือโคมไฟไปถึงหน้าประตูของหนานกงเฮ่าฉือในเวลากลางคืน ฉีเฟยอวิ๋นปรากฏตัวขึ้นและหนานกงเฮ่าฉือก็ทราบแล้ว
ทุกคนถูกทุบตียกเว้นเขาเพียงคนเดียว คนที่ถูกทุบตีหากไม่หมดสติไปก็จะบาดเจ็บคร่ำครวญ ใครก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปถามว่าใครมา
หนานกงเฮ่าฉือนอนไม่หลับจึงมีความสนอกสนใจเรื่องภายนอก
เมื่อหนานกงเฮ่าฉือมองเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกตกใจอยู่ครู่หนึ่งและรีบเดินไปอยู่ตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น มองไปที่ลำคอของฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวว่า “ทำไมเจ้าถึงมีสิ่งนี้?”
“ข้าแลกกับคนอื่น โดยให้สีทองกับเขาไป”
“พูดจาไร้สาระ!” หนานกงเฮ่าฉือโกรธจัดแต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับยืนนิ่งเฉยไม่ขยับไปมา
หนานกงเฮ่าฉือถาม “เจ้าทำอะไรน้องชายของข้า?”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า “น้องชายของท่านยังสบายดีอยู่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าเพียงแค่ต้องการบอกท่านว่าอย่าถูกคนอื่นหลอก หากท่านจะตาย น้องชายของท่านก็ไม่สามารถมีชีวิตได้
หากพวกเขาต้องการให้น้องชายของท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็คงไม่นำน้องชายของท่านไปข่มขู่คนอื่นหรอก”
“เจ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร เขายังเป็นเด็ก พวกเจ้าต่างก็ทำร้ายเขา”
หนานกงเฮ่าฉือหันหลังกลับ “ข้าจะรับผิดชอบทั้งหมดหากเจ้าทำร้ายน้องชายของข้า ต่อให้ข้าตายไปเป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”
เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นยังต้องการพูดอะไรอีก แต่ดูท่าทางของหนานกงเฮ่าฉือแล้ว ดูเหมือนจะไม่อยากประนีประนอม
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ใช้เวลานานและออกจากห้องขังกลับออกไป
เมื่อเข้าประตูมา หนานกงเย่ได้หลับไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าเขาคงเหนื่อย
เมื่อขึ้นเตียงมา ฉีเฟยอวิ๋นก็นั่งลงสักครู่หนึ่ง หนานกงเย่ลืมตาขึ้นและขยับเข้ามาใกล้ “ไม่สำเร็จหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า “ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ทำเพื่อน้องชายของเขา และเขาก็ไม่ตกลง”
“เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไป แต่เรื่องนี้หากไม่ดึงพี่น้องร่วมสายเลือดไปด้วยก็คงไม่ใช่ เขาเป็นคนไม่มีตำแหน่งยศถาใดๆ ไม่สามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ หากพรุ่งนี้เขาออกมาก็คงต้องบอกว่าเป็นคนอื่น”
“ในเมื่อรู้ว่าเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นทำไมยังต้องการให้หม่อมฉันไปอีกหรือเพคะ?”
หนานกงเย่ล้มตัวลงนอน “นี่เป็นอีกหนึ่งโอกาส ข้าเพียงแค่ต้องการให้โอกาสเขามีชีวิต แต่เขาไม่ยอมและตัดสินใจที่จะตาย ข้าก็จะไม่มีความเมตตาให้แล้ว”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว หลังจากถอดเสื้อผ้าออกก็พักผ่อนลง
ความตายของคนใครก็ไม่สามารถควบคุมได้ หรงชินอ๋องก็ยังตายไปแล้ว
เช้าวันถัดไป ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมาก็ได้ยินว่า หนานกงเฮ่าฉือให้การเป็นชินอ๋องอีกคนหนึ่ง
หนานกงเย่ยืนอยู่ที่ประตู หันหน้าไปทางวังหลวงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เขา “ท่านอ๋องไม่ดีใจหรือเพคะ?”
“ไม่มีอะไรให้น่าดีใจหรือเสียใจ ครั้งนี้พวกเขาก็ได้รับบทเรียนแล้ว ตายไปแล้วหนึ่งคน ตกขั้นลงมาหนึ่งคน และอีกสองคนก็ถูกรับโทษ” หนานกงเย่ไม่มีความสุขตลอดทั้งวัน ฉีเฟยอวิ๋นไม่ใช่คนโง่เขลาอะไร
เมื่อเดินไปถึงข้างกายของหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า “ให้การออกมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลท่านอ๋องคนโต ตอนนี้อายุสี่สิบกว่าแล้ว”
“แม้ว่าอวี้ชินอ๋องจะเป็นฐานะเป็นชินอ๋อง แต่เขาไม่นับว่าเป็นชินอ๋องโดยแท้จริง เดิมทีท่านแม่ของเขาเป็นนางกำนัลอยู่ในวังหลวง เป็นนางกำนัลที่โปรดปรานของเสด็จย่า หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรจึงตั้งครรภ์ขึ้น เมื่อสืบค้นจึงรู้ว่าเป็นท่านอ๋องคนโต เสด็จย่าโกรธจัดจึงแต่งตั้งให้เป็นพระชายา
แต่ท่านอ๋องคนโตไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์นัก หลังจากที่คลอดลูกออกมาไม่นานเด็กก็ตาย เสด็จย่าจึงไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะถึงอย่างไรคนก็ตายไปแล้ว
อวี้ชินอ๋องยังคงดำรงตำแหน่งฐานันดร แต่กลับไม่ทำงานใดๆ ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเรือนก็ไม่ใช่จะดีนัก
แต่วันนี้กลับให้การเป็นเขา
หรงชินอ๋องกำลังกำจัดผู้ที่ไม่ยินยอมที่จะร่วมมือ โดยไม่ฟังคำอธิบาย
เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ จึงต้องทำอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นจับมือของหนานกงเย่แน่น “พวกเขาไม่สามารถทำสำเร็จ”
หนานกงเย่จับมือของฉีเฟยอวิ๋นแน่น “ข้าไม่สามารถช่วยอะไรได้สำหรับความโง่เขลาของพวกเขาที่ใช้ชีวิตเข้าแลกกับสิ่งที่ไม่ใช่คุณค่าของพวกเขา ฐานะต่ำต้อยเป็นอะไรที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ได้รับกลับมามันไม่ใช่เรื่องง่าย”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้่าจะพูดอะไรจึงได้แต่เงียบไว้
มีคนยอมรับแล้ว องค์หญิงใหญ่จึงปล่อยคนออกมา
ส่วนอีกสองคน องค์หญิงใหญ่ได้ติดผนึกแล้ว และถูกลงโทษโดยการส่งไปที่เขตชายแดน
ส่วนเรื่องความตายของหนานกงเย่ องค์หญิงใหญ่บอกเพียงว่าศพกระตุก หลังจากนั้นก็ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมอีก และก็บิดเบือนผ่านไป
ก่อนที่หนานกงเฮ่าฉือและอวี้ชินอ๋องจะจากไป ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ได้ไปส่งพวกเขาทั้งสอง
ทั้งสองถูกใส่ไว้ในเกวียนของเรือนจำ โดยถูกใส่ข้อมือและข้อเท้าไว้ และนั่งยองๆ อยู่ในรถเกวียนที่รกรุงรัง
ฉีเฟยอวิ๋นอดรู้สึกน่าเห็นใจไม่ได้ ทั้งสองคนไม่มีความผิด แต่สุดท้ายกลับมีจุดจบเช่นนี้
และพวกเขาไปที่เขตชายแดนเช่นนี้ด้วยระยะทางอันยาวไกล ต่อให้ไม่ตายก็ไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้
ท่าทางของอวี้ชินอ๋องเหมือนจะเจ็บป่วยมาเป็นเวลานานแล้ว ดวงตาเหม่อลอยไม่มีกะจิตกะใจใดๆ!
หนานกงเย่เดินตามไปข้างหน้า มีคนถือถาดเข้ามา ภายในถาดมีเหล้าอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นเทเหล้าลงสองถ้วย หนานกงเย่ส่งให้กับอวี้ชินอ๋อง “หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตกลับมา”
หนานกงเย่กล่าวด้วยเสียงเรียบ ถึงแม้ว่าอวี้ชินอ๋องจะอายุเพียงสี่สิบกว่า แต่ดูเหมือนราวกับหกสิบเจ็ดสิบ เขาดูแก้กว่าพระพันปีมาก
เสียงที่แหบแห้งนั้นนึกถึงอวี้ชินอ๋องยกสองมือที่สั่นขึ้นมารับถ้วยเหล้าไป ดื่มเหล้าพลางกับร้องไห้ออกมา
เมื่อดื่มเหล้าเสร็จก็โยนทิ้งไปอีกด้านหนึ่ง “ไม่คิดเลยว่าข้าต่อสู้มาตลอดชีวิตแต่กลับแลกมาด้วยจุดจบเช่นนี้ ข้าตายไปก็ไม่เป็นไร ท่านอ๋องเย่ได้โปรดนึกถึงที่ข้ายังเป็นสายเลือดของจักรพรรดิ และลูกหลานของข้าก็ยังมีสายเลือดของจักรพรรดิ ได้โปรดเมตตาต่อพวกเขา ให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าจะขอบคุณอย่างสูง”
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่มีทางปล่อยไว้โดยไม่ดูแลหรอก”
หนานกงเย่มองไปที่หนานกงเฮ่าฉือ “ข้าก็หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตกลับมา”
หนานกงเฮ่าฉือถาม “น้องชายของข้าล่ะ?”
“หายไปแล้วก็หายไปแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถนำไปด้วยได้ ปล่อยเอาไว้ ต่อไปจะเป็นทางลงให้กับเจ้า”
หนานกงเย่หันหลังกลับไปมองที่รถม้า ม่านหน้าต่างของรถม้าถูกเปิดออก อวิ๋นจิ่นอุ้มหนานกงเฮ่าเริ่นที่กำลังหลับอยู่ปรากฏตัวออกมา หนานกงเฮ่าฉือยกถ้วยเหล้าขึ้นมาดื่ม “หากชาติหน้ามีจริง ข้าจะตอบแทนความเมตตานี้”
หลังจากดื่มเหล้าก็โยนถ้วยเหล้าทิ้ง หนานกงเฮ่าฉือเหลือบมองไปที่หนานกงเฮ่าเริ่นโดยไม่พูดอะไรอีก
หนานกงเย่มองไปที่รถม้าที่กำลังออกไป หลังจากนั้นจึงพาฉีเฟยอวิ๋นกลับออกไป
เมื่อขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางกลับพร้อมกัน ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปที่เด็กคนนั้น “นำเด็กคนนี้ไปแอบซ่อนที่นั่นหรือ?”
“ข้ามีที่ไปของข้า อวิ๋นอวิ๋นไม่จำเป็นต้องถามมาก”
“อืม”
เมื่อรถม้ามาถึงจวนท่านอ๋องเย่ ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ลงจากรถม้า หนานกงเฮ่าฉือตื่นขึ้นมาและพูดกับอวิ๋นจิ่น หลังจากนั้นจึงนำตัวเด็กไป
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงจัดการธุระของอวิ๋นจิ่น
“อวิ๋นจิ่น นี่คือท่านอ๋อง”
อวิ๋นจิ่นก้มตัวโค้งคำนับ “อวิ๋นจิ่นคารวะท่านอ๋องเพคะ”
“อืม”
“ท่านอ๋อง นับจากวันนี้ไปอวิ๋นจิ่นเป็นคนของหม่อมฉัน แต่นางจะไม่อาศัยอยู่ในจวน แต่ถูกจัดเตรียมไว้ที่เรือนจู๋อวิ๋นไจเพื่อนางเป็นพิเศษ นางจะกลับมาที่จวนท่านอ๋องเป็นครั้งคราว
นางไม่นับว่าเป็นคนใช้ในจวน แต่นับว่าเป็นเจ้านายครึ่งหนึ่ง”
“พระชายาจัดการเองเลย ข้ายังมีธุระ ขอตัวกลับก่อน” หนานกงเย่หันหลังกลับออกไป และถือว่าส่งถึงเรือนจู๋อวิ๋นไจแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นสั่ง “พ่อบ้าน”
“พระชายา” พ่อบ้านรีบเดินไปข้างหน้า
ฉีเฟยอวิ๋นออกคำสั่งออกไป “ดูแลปรนนิบัติอวิ๋นจิ่นให้เหมือนกับเป็นเจ้านายคนหนึ่งในจวน เรียกอวิ๋นจิ่นว่าคุณหนูอวิ๋นจิ่น นางจะไม่ถามเรื่องราวภายในจวนมากนัก พ่อบ้านต้องดูแลนางอย่างดี ส่วนเรื่องที่นางต้องการไปที่นั่น พ่อบ้านไม่จำเป็นต้องถามมากเกินไป และพยายามที่จะทำตามความต้องการ”
“ขอรับ”
พ่อบ้านเหลือบมองไปที่อวิ๋นจิ่น ขอเพียงแค่อย่าให้เขาต้องเกษียณเขาก็พอใตมากพอแล้ว
“อวิ๋นจิ่น เจ้าตามข้ามา”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้พักผ่อนและออกไปโดยทันที
พ่อบ้านเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นออกไปแล้ว เขาส่ายหน้าไปมา พระชายาช่างแตกต่างกับคนทั่วไปจริงๆ
เมื่อออกจากประตูไป ฉีเฟยอวิ๋นพาอวิ๋นจิ่นไปที่ร้านค้าสามร้านนั้น และใช้เวลานานกว่าครึ่งวันในการอธิบายทุกอย่างอย่างละเอียด อวิ๋นจิ่นพยักหน้าราวกับว่าเข้าใจ
ทังเหอค้นพบว่าพระชายาไม่ใช่คนที่ฉลาดธรรมดาเท่านั้น
ความสามารถของอวิ๋นจิ่นนั้นดีกว่าเขา แต่น่าเสียดายที่นางให้กำเนิดลูกผู้หญิง