องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 224 บอกตามความจริง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 224 บอกตามความจริง
ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายอย่างชัดเจนว่าต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการเขียนสิ่งที่ต้องทำและส่งให้อวิ๋นจิ่น แล้วนำเงินทั้งหมดไปมอบให้อวิ๋นจิ่น
“ตอนนี้มีแค่นี้ แต่เจ้าต้องหาทำกำไรให้ได้ ภายในหนึ่งเดือนนี้ เจ้าจัดการตามที่ข้าเขียนไว้ เจ้าต้องไตร่ตรองให้ดี ร้านค้านี้ให้เจ้าเป็นผู้ดูแล มีเรื่องอะไรก็มาหาข้า หากไม่พบก็ไปหาคุณชายทัง”
“อวิ๋นจิ่นเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่ออวิ๋นจิ่นเก็บทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เตรียมจะจากไป
อวิ๋นจิ่นไปส่งฉีเฟยอวิ๋นออกไปครึ่งทาง:“นายท่าน ข้าต้องการให้คนสองคนมาคอยคุ้มกันข้า อีกอย่างข้าเห็นว่ามีเด็กอยู่ในสวนหลังจวน นายท่านช่วยเลือกให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ข้าจะให้อาอวี่เลือกคนสักสองสามมาคอยคุ้มกันเจ้า คนข้างนอกไม่อาจเชื่อถือได้ เมื่อเจ้าพบแล้วก็รีบสับเปลี่ยน ส่วนเด็กในจวนเจ้าก็เลือกเอาเถอะ ขอเพียงคนในจวนเห็นด้วย เจ้าก็นำตัวไปได้”
“เจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นยุ่งมาทั้งวัน และนางก็รู้สึกเหนื่อยล้า นางจึงรีบกลับไปพักผ่อนที่จวนอ๋องเย่
เสียงร้อนใจของอาอวี่ดังมาจากด้านนอกประตูกลางดึก:“ท่านอ๋อง เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่ลุกขึ้นนั่งและลงจากเตียงไปสวมเสื้อผ้า ฉีเฟยอวิ๋นตกใจตื่นและลุกขึ้นนั่งมองดู หนานกงเย่:“ท่านอ๋อง มีอะไรหรือเพคะ?”
“ข้าจะไปดูหน่อย ไม่นานก็จะกลับมา”
หนานกงเย่เดินออกไป และฉีเฟยอวิ๋นก็นอนไม่หลับแล้ว นางจึงสวมเสื้อผ้าแล้วออกไป ลานบ้านเงียบสงบ และมีคนสองสามคนยืนอยู่ที่หน้าประตู
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รีบคุกเข่าลงในทันที
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกคุ้นเคยกับหนึ่งในนั้น:“เจ้าคือคนที่อยู่ในวังวันนั้น……”
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้น้อยมาที่นี่” ฉีเฟยอวิ๋นยังพูดไม่ทันจบ คนที่อยู่ตรงหน้าก็พูดแทรกขึ้นมา
ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่พูดอะไรและถามว่า:“ท่านอ๋องไปทำอะไร?”
“ผู้น้อยก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ
“เจ้าชื่ออะไร?”
“ปู้เหวินพ่ะย่ะค่ะ” ปู้เหวินตอบ
“พวกเจ้าไม่ฟัง ไม่ดู ไม่พูดใช่หรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ถามอะไรอีก นางเดินออกไปข้างนอก และปู้เหวินก็เดินตามไป
ฉีเฟยอวิ๋นชินแล้ว อาอวี่ก็เป็นเช่นนี้ ครั้งก่อนที่ในวังเกิดเรื่องขึ้น หนานกงเย่ก็เป็นกังวลมาก และจัดกำลังคนไปหลายคน
หนานกงเย่กลับมาตอนรุ่งสาง บนร่างของเขาเปื้อนเลือด
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจและรีบเดินไปดู:“ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
สีหน้าของหนานกงเย่ดูเคร่งขรึม:“อวี้ชินอ๋องสิ้นพระชนม์แล้ว”
“สิ้นพระชนม์แล้ว?”
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ:“ถูกพวกเขาฆ่าปิดปากงั้นหรือ?”
“อืม”
หนานกงเย่เข้าไปข้างในและเปลื้องผ้าออก หนานกงเย่นั่งอยู่ในสระกำมะถัน เขาหลับตาลงและผมสยาย ฉีเฟยอวิ๋นยืนมองเขาอยู่ข้าง ๆ
มีพลังงานบางอย่างออกมาจากร่างกายของเขา และเส้นเลือดบนร่างกายปูดขึ้นมาด้วยความโกรธ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา
ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนัก ความโกรธของเขาทำร้ายร่างกาย หากเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาก็ไม่เป็นไร
น้ำเริ่มมากแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นนมองดูน้ำที่เดือดและไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม ก่อนที่น้ำจะค่อย ๆ สงบลง จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ถอดเสื้อผ้า แล้วลงไปหาหนานกงเย่ในน้ำ
นางลงไปอย่างนุ่มนวล และมือของหนานกงเย่ก็โอบรอบตัวนาง และจ้องมองแววตาที่งดงามคู่นั้น
ฉีเฟยอวิ๋นลูบใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเย่และจูบเบา ๆ ที่คิ้ว ปลายจมูก ริมฝีปาก……
หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังจูบหน้าอกของเขาและกล่าวว่า:“ตอนที่ข้าไปถึง ครอบครัวของอวี้ชินอ๋องก็ถูกสังหารจนหมดสิ้นแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าสั่งให้คนคอยคุ้มกันอวี้ชินอ๋องและหนานกงเฮ่าฉือตลอดทาง แต่ก็สายเกินไป ตายหนึ่งและบาดเจ็บหนึ่ง
อวี้ชินอ๋องถูกตัดหัว และหนานกงเฮ่าฉือแขนขาดไปข้างหนึ่ง”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น นางน้ำตาคลอเบ้าและเศร้าใจ:“ท่านอ๋อง พวกเขาสามารถลงมือกับพี่น้องของตนเองได้ แล้วยังมีอะไรที่พวกเขาไม่สามารถทำได้อีก เครือญาติก็ไม่ยกเว้น และจะเป็นภัยในภายหน้า !”
ไม่ใช่ว่าฉีเฟยอวิ๋นโหดเหี้ยม แต่เครือญาติข่มเหงกันมากเกินไป
ฆ่าล้างตระกูลในชั่วข้ามคืน พวกเขาเฆ่าพี่น้องแท้ ๆ จองตนเอง
สัตว์ร้ายเช่นนี้ อยู่ต่อไปก็จะมีแต่หายนะ
หนานกงเย่หันกลับไปอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา และใช้กำลังป่าเถื่อนกับฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นไม่ขัดขืน และนอนมองเขาอยู่บนก้อนหิน
หัวใจของหนานกงเย่หนักอึ้งและดึงนางลงมา
“เป็นข้าเองที่ไม่ดี ทำให้อวิ๋นอวิ๋นต้องตกใจแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นกอดหนานกงเย่:“ท่านอ๋อง ยิ่งถูกโจมตีทุกทิศทางก็ยิ่งต้องจัดการอย่างสงบเยือกเย็น ท่านเป็นราชาแห่งขุนเขา ท่านเป็นราชาแห่งขุนเขา เป็นเสือที่แข็งแกร่ง แต่พวกพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดหาทางที่จะปิดล้อมท่าน พวกมันใช้วิธีการหลอกล่อ เพื่อที่จะทำให้ท่านสับสน ถ้าหากท่านสับสนแล้ว พวกเขาก็จะทำสำเร็จ
พวกเขากลัวเสือที่นอนหลับ แต่หากเสือตื่นขึ้นมาและวิ่งอาละวาด พวกเขาจะไม่กลัว
เสือยิ่งโกรธก็จะยิ่งเหนื่อย เมื่อเสือเหนื่อยแล้ว พวกเขาก็จะโอบล้อมเข้ามาปราบ
หากเสือใหญ่เป็นอะไรไป แล้วเสือน้อยจะทำอย่างไร?”
แววตาของหนานกงเย่สงบลง และจ้องมองฉีเฟยอวิ๋นอยู่นาน จากนั้นก็กอดแน่นขึ้น:“ข้าเข้าใจแล้ว:“
“ท่านอ๋อง เดิมทีหม่อมฉันมีเรื่องที่ตั้งใจจะบอกท่านอ๋องเพคะ แต่ในตอนนี้ท่านอ๋องมีศัตรูรายล้อม จึงทำได้เพียงบอกตามความจริงเพคะ”
“อืม”
ดูเหมือนหนานกงเย่จะรู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะพูดอะไร จึงตอบรับอย่างเรียบง่าย
ฉีเฟยอวิ๋นยืนเขย่งปลายเท้าและจูบริมฝีปากของหนานกงเย่ เช่นนี้แล้วเขาจะได้ใจเย็นลง และเขาจะได้ไม่ฉุนเฉียวอีก
เขาบอกว่าเขาใจเย็นลงแล้ว และอารมณ์ของเขาก็ดีขึ้น
หนานกงเย่ก้มหน้าลงและให้ความร่วมมือกับฉีเฟยอวิ๋น
หลังจากจูบกันอยู่ครู่หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นก็นอนลงบนร่างของหนานกงเย่และกล่าวว่า:“ฝ่าบาทถูกวางยาพิษ”
หนานกงเย่ขมวดคิ้วแน่น:“พิษอะไร?”
“ยังไม่ทราบเพคะ หม่อมฉันลองถอนพิษมาหลายวิธีแล้ว เลือดของหม่อมฉันก็ให้ฝ่าบาทกินแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล พิษไม่ได้ฆ่าคนให้ตายในทันที และพิษนี้ทำให้ฝ่าบาททรงเดินละเมอ”
“เดินละเมอคืออะไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายอีกครั้ง จากนั้นหนานกงเย่ก็ถามว่า:“แล้วจะถอนพิษได้อย่างไร?”
“หม่อมฉันก็ยังไม่ทราบเพคะ จึงต้องรอ และหาวิธีที่จะถอนพิษ หม่อมฉันสงสัยฮองเฮามาโดยตลอด แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับคนในตำหนักของฮองเฮา หม่อมฉันก็ไม่ได้สงสัยแล้ว ฮองเฮาจะโง่เขลาขนาดนั้นหรือเพคะ?ถึงได้ส่งคนของตนเองมาฆ่าหม่อมฉัน?
เมื่อนางกับฝ่าบาททรงแยกออกจากกัน พิษของฝ่าบาทก็สามารถควบคุมได้
แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้เพคะ มันชัดเจนมากเกินไป”
เมื่อรู้สถานการณ์ของจักรพรรดิอวี้ตี้แล้ว หนานกงเย่ก็สงบลงมาก
และเมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นเงียบ หนานกงเย่ก็อุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปวางลงบนหิน:“ข้าจะทำเบา ๆ ”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไร ในเวลานี้ยังจะคิดเรื่องนี้อยู่อีก
แต่หนานกงเย่ยืนกราน ฉีเฟยอวิ๋นจึงตามใจเขา
หลังจากที่ขึ้นมาจากสระกำมะถัน ฉีเฟยอวิ๋นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและตามหนานกงเย่เข้าไปในวัง
หนานกงเย่สวมเสื้อคลุมสีม่วง ฉีเฟยอวิ๋นได้รับคำสั่งให้สวมชุดเหมือนกัน และฉีเฟยอวิ๋นก็ทำได้เพียงเชื่อฟัง
จักรพรรดิอวี้ตี้รออยู่ที่ตำหนักบำรุงฤทัยแล้ว นับตั้งแต่อ๋องตวนดื่มเลือดถ้วยนั้น ร่างกายของเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว รอยแผลเป็นบนร่างกายของเขาหายไป และร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาดใจ
แต่เขายังอยู่ในวังและไม่ได้จากไปในทันที
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่ก้มลงคารวะ
“ไม่ต้องมากพิธี”
หนานกงเย่เงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า:“กระหม่อมมีฎีกาพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปนำมา”
สวีกงกงนำมาถวายให้จักรพรรดิอวี้ตี้ แล้วจักรพรรดิอวี้ตี้ก็หยิบไปอ่าน สีหน้าของเขามืดมน และโยนฎีกาในมือทิ้งไป จากนั้นก็หันกลับไปนั่งลงบนบัลลังก์อย่างโกรธเคือง และจับหัวมังกรบนบัลลังก์ไว้แน่น
อ๋องตวนเหลือบมองฎีกาที่อยู่บนพื้น และไปหยิบมันขึ้นมาดู จากนั้นก็มองไปที่หนานกงเย่:“ตายกันหมดแล้ว?”
“ยังเหลืออีกหนึ่งคน”
อ๋องตวนถาม:“หนานกงเฮ่าฉือ?”
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ด้านหลังสุด นางรู้สึกเสียใจที่เข้ามาที่นี่
นางเป็นหญิง และไม่ควรตามเข้ามา