องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 228 ช่วยเหลือจวนเสนาบดี
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 228 ช่วยเหลือจวนเสนาบดี
หนานกงเย่ทอดถอนใจอยู่ข้างกายของฉีเฟยอวิ๋น : “ข้าควรจะชื่นชมหรือควรจะเป็นห่วงดีล่ะ?”
“มีอะไรต้องเป็นห่วงละเจ้าคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เห็นด้วย
“บัดนี้อวิ๋นอวิ๋นอยากได้อะไรก็ได้ อยากได้ลมก็ได้ อยากได้ฝนก็ย่อมได้ โชคชะตาก็ดีเพียงนั้น ข้าจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร?” หนานกงเย่กล่าวด้วยเสียงหยาบและทุ้มต่ำ
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม : “เช่นนั้นท่านหากท่านไม่พอใจ ก็แยกทางกับหม่อมฉัน เช่นนั้นจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เหลวไหล ข้าไม่มีแยกทางเด็ดขาด”
“ท่านอ๋อง ท่านเป็นห่วงอะไรหรือเจ้าคะ ตรงกันข้ามควรจะมีความสุขเสียด้วยซ้ำที่มีพระชายาเช่นหม่อมฉัน หากไม่มีหม่อมฉันแล้ว ท่านก็คงจะแต่งพระชายารองเช่นนั้นเข้ามาเหมือนท่านอ๋องตวน ทั้งสองฝ่ายเกิดความสั่นคลอน จึงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นวันนั้น”
“ข้าไม่แต่งพระชายารองเข้ามาถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่ออวิ๋นอวิ๋นไม่ใช่หรือ?”
“ท่านอ๋องก็ลองดูสิเจ้าคะ ดูว่าหากแต่งพระชายารองเข้ามา หม่อมฉันจะเป็นอย่างไร?” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่ด้วยความไม่พอใจ ยิ่งมองก็ยิ่งไม่สบายใจ
หนานกงเย่รู้สึกไม่ดี จึงรีบกล่าวออกไป : “ข้าไม่หวงแหนพระชายารอง แต่หวงแหนอวิ๋นอวิ๋น”
“หึ! หม่อมฉันว่าท่านตัดใจไม่ได้หรอก คงรู้สึกปวดใจครั้นเห็นผู้อื่นแต่งพระชายารอง”
“ข้าไม่เป็น หยุดกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว”
หนานกงเย่ดึงมือของฉีเฟยอวิ๋น แต่ไม่กล้ามองฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นกลอกตาไปทางหนานกงเย่แวบหนึ่งด้วยแววตาหยิ่งผยอง และตามไปอย่างไม่แยแสนัก
ทั้งสองคนมาถึงจวนอ๋องใหญ่ ประตูด้านหน้าของจวนอ๋องใหญ่ล้วนประดับไปด้วยโคมไฟขาว มีเสียงร้องไห้เลือนรางดังมาจากด้านใน
คนที่เพิ่งสิ้นใจ คงจะยังไม่ถูกเก็บร่างสินะ
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดมองเข้าไปด้านใน
หนานกงเย่เองก็หยุดเช่นกัน
“ท่านอ๋อง ยามที่ท่านฆ่าคนเคยลังเลบ้างหรือไม่เจ้าคะ?” ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัว
“ไม่มี ข้านึกถึงหน้าของอวี้ชินอ๋องจึงอ่อนข้อให้ไม่ได้ พวกเขาสังหารอวี้ชินอ๋องแต่ข้าไว้ชีวิตพวกเขา พวกเขาฆ่าปิดปากตระกูลของอวี้ชินอ๋อง ข้าจึงไว้ชีวิตพวกเขาไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่ด้วยความโกรธ จากนั้นก็ดึงเขาเดินไป
หลังจากเดินอ้อมจวนอ๋องใหญ่แล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงเอ่ยถามขึ้นว่า : “ท่านอ๋อง เรื่องนี้เป็นเรื่องของจวนอ๋องใหญ่จริง ๆ หรือเจ้าคะ?”
หนานกงเย่ส่ายหน้า : “ไม่ใช่ อย่างมาสุดจวนอ๋องใหญ่ก็มีส่วนเกี่ยวข้อง สำหรับคนชักใยพวกเขาย่อมเป็นไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อครั้งท่านอ๋องใหญ่ทรงวัยเยาว์ยังไม่มีเมืองเหล่านั้น เติบใหญ่เขาจึงไม่มีความทะเยอทะยานอะไร ดังนั้นจึงไม่ใช่จวนอ๋องใหญ่
อวี้ชินอ๋องเองคงทะเยอทะยานไม่ได้ หรงชินอ๋องมีความทะเยอทะยานมากกว่า แต่ความทะเยอทะยานของเขาไม่ได้อยู่ที่ราชสำนัก เขาแค่อยากติดตามใครผู้หนึ่ง ออกอุบายกลยุทธ์เท่านั้น
ครั้นนายท่านเกิดเรื่อง ในบรรดาพวกเขาจะต้องมีคนถกประเด็นแน่นอน เดิมทีคิดยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ช่วยเหลือนายท่าน ทำร้ายข้า
แต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าข้าจะย้อนกลับมาแว้งกัดพวกเขา
เสด็จอาใหญ่ปวดใจกับข้ามาโดยตลอด ท่านอ๋องตวนล้มป่วย เสด็จอาใหญ่จึงไม่พอพระทัยนัก แต่ท่านอ๋องตวนไม่เป็นอะไรนางจึงยังอดทนได้ ข้าดันเกิดปัญหาไปยั่วโมโหเสด็จอาใหญ่เข้า การสืบหาย่อมเกิดขึ้น
เสด็จอาใหญ่สืบหา จะต้องสืบหาคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
พวกเขาแค่ออยากให้คนมาเป็นตัวชูโรง
หนานกงเฮ่าฉือไม่น่าได้ อวี้ชินอ๋องจึงต้องรับไป”
“พวกเขาคิดเช่นนี้หรือ?”
หนานกงเย่ส่ายหน้า : “หากง่ายเช่นนี้คงไม่ใช่พวกเขา ข้ายังไม่ลืมตาดูโลกพวกเขาก็สมคบคิดกันแล้ว ข้าอายุไม่กี่ปี บุตรชายก็คลอดออกมา พวกเขายังไม่ปล่อยวาง หากจะปล่อยวางก็คงทำไม่ได้”
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็รู้สึก จึงอดถามไม่ได้ : “ท่านอ๋องคิดว่าใครคือนายท่านหรือเจ้าคะ?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าเห็นใครก็คล้ายคลึงไปเสียหมด” หนานกงเย่ไม่สบอารมณ์ ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากคุยกับเขาต่อ
เห็นผู้ใดก็คล้ายคลึงไปหมดเช่นนั้นหรือ?
แต่ไม่เห็นจะเหมือนอย่างที่เขาพูดเลย
ไม่พูด ก็แค่ไม่อยากยอมรับเท่านั้น
ทั้งสองคนเดินอ้อม กระทั่งมาถึงหน้าประตูของจวนเสนาบดี
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถาม : “จะเข้าไปหรือ?”
หน้าประตูของจวนอ๋องตวนมีรถม้าจากในวังจอดอยู่ มีทหารจำนวนมากยืนอยู่หน้าประตู เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าจักรพรรดิอวี้ตี้และฮองเฮาอยู่ด้านในอย่างแน่นอน
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่กลับมา
“ข้าไม่เข้าไปแล้ว”
จากนั้นก็พาฉีเฟยอวิ๋นจากไป ทั้งสองคนกลับมายังจวนอ๋องเย่
ท่านแม่ทัพฉีรออยู่ในจวนหลายชั่วยามแล้ว
ทันทีที่ฉีเฟยอวิ๋นพ้นประตูเข้ามาท่านแม่ทัพฉีก็รีบเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
“นี่มันยามใดแล้วยังจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสบายใจอีก รอพวกเจ้ามาหนึ่งวันเต็ม เพิ่งกลับมา ไปเดินเล่นที่ใดมารึ?”
ทันทีที่ท่านแม่ทัพฉีเห็นหน้าก็เริ่มวิจารณ์ ฉีเฟยอวิ๋นแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ นางคงไม่ได้ไปยั่วยุใครเข้าหรอกกระมัง?
“ใต้เท้ามีเรื่องอะไรถึงต้องมาหากระหม่อมและอวิ๋นอวิ๋นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หนานกงเย่เอ่ยถาม
ท่านแม่ทัพฉีเพิ่งนึกถึงเรื่องที่ตนมาหาฉีเฟยอวิ๋นได้ : “ฮูหยินเสนาบดีป่วยหนัก ข้าไปเยี่ยมมาแล้ว นางไอออกมาเป็นเลือดตลอดเวลา แม้แต่หมอประจำจวนก็หมดปัญญา ข้าคิดได้ อวิ๋นอวิ๋นก็เป็นหมอ ไปดูนางก็คงไม่เสียหายอะไร”
“ไม่ได้!”
ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่ทันกล่าวอะไร หนานกงเย่รีบปฏิเสธทันควัน
ฉีเฟยอวิ๋นและท่านแม่ทัพฉีไม่เข้าใจ พ่อลูกมองไปทางหนานกงเย่โดยไม่ได้นัดหมาย หนานกงเย่จึงกล่าวว่า : “ฮูหยินเฉินป่วยเป็นวัณโรค ย่อมแพร่เชื้อได้ง่าย แต่ไหนแต่ไรผู้ที่ป่วยเป็นวัณโรคไม่มีใครมีชีวิตรอด ทั้งยังแพร่เชื้อ อวิ๋นอวิ๋นเองก็มีร่างกายอ่อนแอ ไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่แสดงสีหน้าหนักแน่น ท่านแม่ทัพฉีไม่พอใจ : “ชีวิตคนสำคัญดุจฟ้า จะไม่ไปได้อย่างไร อวิ๋นอวิ๋นเป็นหมอ ไม่เป็นอะไรหรอก”
“ใต้เท้า แม้ว่าอวิ๋นอวิ๋นจะมีน้ำมีนวลขึ้นบ้างในช่วงนี้ แต่ร่างกายของนางนั้นพิเศษ ไปไม่ได้เด็ดขาด”
“เหลวไหล” ท่านแม่ทัพฉีคิดจะกล่าวบางอย่าง แต่ก็ถูกฉีเฟยอวิ๋นขัดเสียก่อน
“เสด็จพ่อ ท่านไปจวนเสนาบดีก่อนเถอะ ข้าจะไปหยิบกล่องยา อย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหลเลย ช่วงนี้เขาช่างไร้น้ำใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เสด็จพ่อพูดถูก ชีวิตคนสำคัญดุจฟ้า จะไม่ไปได้อย่างไร”
“อวิ๋นอวิ๋น….” หนานกงเย่ไม่มั่นใจ
ฉีเฟยอวิ๋นไม่พอใจนัก นางมองไปยังหนานกงเย่แวบหนึ่ง และมองไปยังท่านแม่ทัพฉี : “เสด็จพ่อ ท่านไปเถอะ”
ท่านแม่ทัพฉีจึงเดินจากไป ในระหว่างที่จะออกเดินทางเขาได้มองมายังหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์
ท่านแม่ทัพฉีจากไป หนานกงเย่จึงกล่าวว่า : “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไป”
“ท่านอ๋อง ท่านกำลังควบคุมหม่อมฉัน?” ฉีเฟยอวิ๋นพยายามทำเป็นเก่ง
สีหน้าของหนานกงเย่ดูแย่ลงมาก : “ข้าควบคุมเจ้าไม่ได้แล้วหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล่าวอะไร
พ่อบ้านอาวุโสไม่กล้าโผล่หน้า แอบมองอยู่ในที่มืด
กล่าวในใจ ดูท่าทางท่านคงควบคุมไม่ได้แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวกลับไป หนานกงเย่จึงเดินตามกลับไปเช่นกัน
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปเตรียมตัว หนานกงเย่ขัดขวาง : “ตอนนี้อวิ๋นอวิ๋นกำลังตั้งครรภ์อยู่ จะไปสถานที่เช่นนั้นได้อย่างไรกัน?”
ฉีเฟยอวิ๋นเก็บกล่องยา นำเข็มฉีดยาและวัสดุยาใส่ลงไป จากนั้นก็หมุตัววางกล่องยาลงในมือของหนานกงเย่ : “เช่นนั้นท่านอ๋องก็พาหม่อมฉันไปยังจวนเสนาบดี จะลังเลอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
“……..”
หนานกงเย่ไม่กล่าวอะไร เพราะถูกจี้ใจดำ
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถาม : “ท่านอ๋อง หากท่านไม่ไป เช่นนั้นหม่อมฉันไปเองนะเจ้าคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเตรียมจะไป หนานกงเย่รีบเข้าไปขวางฉีเฟยอวิ๋น : “มั่นใจหรือไม่?”
“ไม่มั่นใจ ท่านอ๋องเคยเห็นหมอคนไหนกล่าวอย่างมั่นใจว่าช่วยชีวิตคนได้อย่างแน่นอนบ้างละเจ้าคะ มันเป็นไปไม่ได้”
หนานกงเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย : “แล้วป้องกันได้หรือไม่?”
“ท่านอ๋อง วัณโรคหม่อมฉันเคยสัมผัสมันมาแล้ว ผู้ลี้ภัยนอกเมืองในครานั้น ข้าก็เป็นคนช่วยชีวิต ตอนนั้นข้าไม่ติดเชื้อ ตอนนี้ข้าจะติดเชื้อหรือไม่ละเจ้าคะ?”
หนานกงเย่จึงหลีกทางให้ ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปเขาจึงเดินตามอยู่ด้านหลัง ด้วยความเป็นห่วง
ระหว่างทางทั้งสองคนไม่กล่าวอะไร นั่งรถม้าจนไปถึงจวนเสนาบดี
หนานกงเย่ลงมาจากรถม้า มือข้างหนึ่งถือกล่องยา มืออีกข้างยื่นไปหาฉีเฟยอวิ๋น ครั้นฉีเฟยอวิ๋นลงมา เขาใช้มือข้างเดียวอุ้มเจ้าตัวลงมาจากรถม้า
เมื่อขาทั้งสองข้างของฉีเฟยอวิ๋นแตะพื้นอย่างมั่นคง หนานกงเย่จึงได้ปล่อยมือ